“เด็กไทย” อีก20 ปีก็ไม่พัฒนาเมื่อศักยภาพถูกวัดด้วยผลการสอบ!
BY : TEERAPAT LOHANAN
เรื่องการศึกษาดูจะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรที่คนจะพูดถึงกัน เพราะในทุกวันนี้ระบบการศึกษาก็สามารถที่จะเข้าถึงคนในหมู่มากได้แล้ว แม้แต่ส่วนที่การพัฒนายังเข้าไปไม่ถึง ก็ยังมีครูอาสา หรือครูประจำชุมชนนั้นให้ความรู้แก่คนในละแวก ทำให้การศึกษาถือว่าเป็นเรื่องสามัญสำหรับคนไทยไปแล้ว
แต่ไม่ว่าอย่างไร การศึกษาของประเทศเราก็ดูจะมีปัญหาอยู่วันยันค่ำ และก็เป็นสิ่งที่คนไทยแทบทุกคนรู้อยู่ในใจว่าเป็นในเรื่องของอะไรบ้าง แต่กลับไม่สามารถพูดมันออกมาได้ …หรือสำหรับบางคนอาจจะมีพื้นที่ในการบอกเล่าออกมา แต่ก็ไม่ถูกนำไปแก้ไขอย่างจริง ๆ จัง ๆ สักที
เราให้พื้นที่สำหรับเด็กที่เก่งในด้านวิชาการมากกว่าเด็กที่เก่งเฉพาะทาง
เป็นหนึ่งปัญหาที่เกิดจากระบบการศึกษาที่ให้ความสำคัญกับการจัดลำดับความเก่งของเด็กนักเรียนด้วยผลคะแนน GPA ซึ่งเป็นคะแนนที่วัดรวมจากทุกภาควิชาที่เอามารวมกัน
แต่สำหรับเด็กที่อายุไม่ถึง 18 ปี เราจำเป็นที่จะต้องเก่งทุกวิชาตั้งแต่ ฟิสิกส์ – เคมี – ชีวะ – คณิตศาสตร์พื้นฐาน – คณิตศาสตร์เพิ่มเติม – ภาษาอังกฤษ – ภาษาไทย – สังคมศึกษา – ประวัติศาสตร์ – พุทธศาสนา – พลศึกษา – ศิลปะ – ดนตรี – ฯลฯ ขนาดนั้นกันเลยหรือ
และเมื่อมีเด็กคนหนึ่งที่เกิดมามีอัจฉริยภาพในด้านใดด้านหนึ่งถึงขีดสุดแล้ว เขาจะยังถูกนับเป็น “เด็กโหล่” ของห้องอีกหรือเปล่า
หรือถ้ามีเด็กที่มีความฝันของตนที่ชัดเจนที่อยากจะเป็นในสิ่งสิ่งหนึ่ง ทำไมเราถึงไม่สนับสนุนให้เขาไปถึงสิ่งที่เขาตั้งเป้าไว้ให้ได้อย่างสุดความสามารถกันล่ะ และในทางตรงกันข้าม เรากลับพยายามที่จะไปจี้ในสิ่งที่เป็นจุดอ่อนของเด็กคนนั้นเสียด้วยซ้ำ
ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านของเราอย่างสิงคโปร์ที่มาตรฐานการศึกษาเป็นอันดับต้น ๆ ของภูมิภาคเอเชีย ก็ได้ยกเลิกการสอบไปแล้ว และเปลี่ยนให้เป็นในรูปแบบของ “การเรียนรู้เพื่อชีวิต” (Learn For Life) เพื่อกระตุ้นให้เด็กนักเรียนจดจ่ออยู่กับกระบวนการเรียนรู้ และเปลี่ยนแปลงระบบการสอนในโรงเรียน ให้เป็นการเรียนรู้อย่างแท้จริง ไม่ใช่การแข่งขันเหมือนที่ผ่านมา และสิงคโปร์ก็ได้เปลี่ยนจากการสอบวัดผลมาเป็นการประเมินผลการเรียนรู้แทน
Ong Ye Kung รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการสิงคโปร์ กล่าวว่า “การเรียนรู้ไม่ใช่การแข่งขัน” โดยเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ จะช่วยเน้นไปที่ความรู้ ความเข้าใจของผู้เรียนเป็นหลัก เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาหมดกำลังใจของเด็ก ๆ จากการถูกเปรียบเทียบภายในชั้นเรียน และหวังใช้เป็นการกระตุ้นให้นักเรียน จดจ่ออยู่กับการพัฒนาตนเองให้ดีที่สุด
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเรื่องของการพัฒนาการศึกษาในประเทศไทยก็ยังคงอยู่กับผู้มีอำนาจที่เป็นระบบผูกขาด ทำให้ขาดการพัฒนาทางการศึกษาได้ดีกว่าที่ควรจะเป็น แต่ถ้าหากว่าประเทศเรามีการกระจายอำนาจให้กับทางโรงเรียนต่าง ๆ หลาย ๆ โรงเรียนเพื่อให้ได้ทดลองเปิดโอกาสสร้างหลักสูตรการเรียนการสอนขึ้นมาด้วยตนเอง ให้เด็ก ๆ ได้มีตัวเลือก และวิธีการที่หลากหลายมากกว่าในการเรียนรู้
เด็กแต่ละคนต่างก็มีความสามารถที่ไม่เหมือนกัน แล้วเราจะสามารถสอนเด็กให้เป็นแบบเดียวกันหมดได้อย่างไร
ความเห็น 169
แก๊ก
BEST
ผมเรียนไม่เก่งแต่เงินเดือนสูงกว่าเพื่อนๆที่เรียนเก่ง ชีวิตจริงไม่เหมือนในกระดาษ
14 มี.ค. 2562 เวลา 19.34 น.
Kurt-Jib Lee
BEST
วินัยของประชากร
กฎหมาย
ระดับสติปัญญาของประชากร
พื้นที่ต่างกัน หลายอย่างจึงต่างกัน ผู้เขียนบทความควรไปอาศัยในต่างแดนก่อน แล้วจึงค่อยนำมาเขียน
แนะนำให้ลองไปเดินดูโต๊ะเรียน ผนังห้องส้วมก่อนก็ได้ เดินตามถนนยามค่ำคืนบ้างก็ได้ การดำเนินชีวิตวัยเด็กของเขาต่างจากของเรามากมายนัก
14 มี.ค. 2562 เวลา 23.13 น.
พงศ์ณภัทร บุญโสม
BEST
บ่นไปก็ไม่มีประโยชน์ครับ เพราะคนมีอำนาจไม่ฟัง
15 มี.ค. 2562 เวลา 00.10 น.
Piti
ท่องเป็นนกแก้วนกขุนทอง เพื่อกระดาษใบเดียว
14 มี.ค. 2562 เวลา 21.35 น.
Bunpoj
สร้างคุณค่าไห้เด็กไทยด้านเดียว ทั้งที่ความสำเร็จในชีวิตจริงมีหลายรูปแบบ เกรดหรือสถาบันแค่จุดเริ่มต้น
14 มี.ค. 2562 เวลา 23.47 น.
ดูทั้งหมด