โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

การเมืองเดือด ตลาดหุ้นฝืด! เกมใหญ่เขย่าเชื่อมั่นนักลงทุน

PostToday

อัพเดต 10 มิ.ย. เวลา 21.36 น. • เผยแพร่ 11 มิ.ย. เวลา 04.19 น.

การเมืองไทยกำลังเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออีกครั้ง โดยเฉพาะการปรับคณะรัฐมนตรีที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการในช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2568 พร้อมกับประเด็นร้อนจากกรณีศาลฎีกานัดไต่สวนอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร

ทั้งสองเหตุการณ์ถือเป็น"แรงกดดันทางจิตวิทยา" สำคัญต่อตลาดทุนในระยะสั้น แม้ปัจจัยภายนอกจะส่งสัญญาณบวกชัดเจน ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านทยอยฟื้น แต่ตลาดหุ้นไทยกลับเคลื่อนไหวในกรอบจำกัด

ขณะเดียวกัน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและความคาดหวังจากงบประมาณ 1.57 แสนล้านบาท ยังคงเป็นความหวังที่รอการคลี่คลาย ท่ามกลางความไม่แน่นอน นักลงทุนควรบริหารความเสี่ยงและเลือกหุ้นอย่างไร ?

"วิจิตร อารยะพิศิษฐ" นักกลยุทธ์การลงทุนฝ่ายวิจัย บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวกับ "โพสต์ทูเดย์" ว่า การปรับ ครม. รอบนี้คาดว่าน่าจะเห็นการปรับโฉมครั้งใหญ่และชัดเจนในช่วงปลายเดือนมิถุนายนนี้ ดังนั้นในช่วงนี้จึงทำได้เพียงรอดูความชัดเจน เพียงแต่ในเชิงการลงทุนอาจเป็นกลไกที่อาจจะทําให้ช่วงนี้ตลาดหุ้นดูน่าอึดอัด ด้วยปัจจัยต่างประเทศถือว่าสัญญาณดี แต่กลายเป็นว่าตลาดบ้านเราไม่ค่อยตอบรับเชิงบวกเท่ากับตลาดเพื่อนบ้าน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นประเด็นการปรับ ครม. และ ศาลฯนัดไต่สวนคดีทักษิณจึงเป็นปัจจัยกดดันหลักในช่วงสั้น

ประเด็นการเมืองต้องจับตา

12 มิ.ย.68 แพทยสภานัดประชุม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของไทย เข้าประชุมด้วย เพื่อลงมติยืนยืนยันหรือเปลี่ยนแปลงมติเดิมที่เคยลงโทษแพทย์ 3 คน เกี่ยวกับการรักษานายทักษิณ ชินวัตร ที่ โรงพยาบาลตำรวจ มีแนวโน้มว่า แพทยสภาอาจยืนยันมติเดิมหากไม่มีการถอนตัวหรืองดออกเสียงจากกรรมการจำนวนมาก

13 มิ.ย.68 เวลา 9.30 น. ศาลฎีกาฯนัดไต่สวนนายทักษิณ-ผู้เกี่ยวข้อง กรณีรักษาตัวชั้น 14 ประเด็นที่ศาลจะพิจารณา 1.การบังคับโทษจำคุกเป็นไปตามหมายจำคุกหรือไม่ 2.การอนุญาตให้นอนโรงพยาบาลมีเหตุผลทางการแพทย์จริงหรือเป็นการเอื้อประโยชน์ 3.บทบาทของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กรมราชทัณฑ์, โรงพยาบาลตำรวจ และแพทย์ผู้รับผิดชอบ

"ตอนนี้ตลาดอยากเห็นมาตรการที่กระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างแรกคือ มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว เพื่อกระตุ้นช่วงโลว์ซีซั่นในไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ซึ่งผ่านมาจนถึงเดือน มิถุนายนแล้วยังไม่มีการกระตุ้นใดๆออกมาจึงคาดว่าน่าจะเห็นมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวก่อน ส่วนงบประมาณเก่า 1.57 แสนล้านบาทนั้นอาจต้องชี้แจงให้ชัดเจนว่าจะนำเงินไปทำอะไร อย่างไรบ้าง"

ตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของเดือนมิถุนายนนี้ แม้สัญญาณปรับตัวเชิงบวกตลอด 2 วันแต่ยังไม่สามารถเคลื่อนไหวในทางบวกชัดเจนเหมือนตลาดหุ้นต่างประเทศ

ในเชิงการลงทุนตราบใดที่ดัชนีไม่หลุดต่ำกว่า 1,120 จุด ถือเป็นกรอบที่พอจะซื้อเก็งกำไรได้ แต่ต้องเลือกหุ้นที่มีสภาพคล่อง เนื่องด้วยสภาพคล่องในปัจุบันค่อนข้างเหือดแห้ง ความเชื่อมั่นในการลงทุนเบาบาง หุ้นที่ประคองได้มักเป็นหุ้นที่อยู่ในโซนล่างที่อยู่ไม่เกิน SET50

หุ้นที่มีสตอรี่เฉพาะตัว เช่น บริษัท โมโน เน็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MONO, บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI ฯลฯ แต่ถือว่าเล่นยากสําหรับนักลงทุนที่ไม่เคยโฟกัสหุ้นทั้งสองตัวนี้

ดังนั้นหากจะเล่นแบบง่ายต้องหาหุ้นบิ๊กแคปโซนล่างที่พื้นฐานอาจจะตอบรับเชิงลบ โดยหุ้นโซนล่างในที่นี้หมายถึงหุ้นที่ตอบรับเชิงลบในระดับหนึ่ง พอที่จะเก็งกำไรได้ อาทิกลุ่มท่องเที่ยว ราคาปรับตัวลดลงมาค่อนข้างเยอะ แม้ตัวเลขนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวไทยลดลงและมีโอกาสลดลงในอนาคต แต่อย่าลืมว่านักท่องเที่ยวที่เข้ามาค่อนข้างมีคุณภาพ สะท้อนภาพจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น

โดยหุ้นที่น่าสนใจ คือ หุ้นโรงแรมที่ดีที่สุด "บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL" ราคาหุ้นค่อยๆขยับขึ้นตั้งแต่ต้นเดือนจนถึงปัจจุบันมากว่า 10% จากฐานที่ต่ำในปีที่ผ่านมา และในปีนี้กลับมาเปิดตัวโครงการภูเก็ตและพัทยา รวมถึงได้อานิสงส์จากนักท่องเที่ยวแห่เที่ยวญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นช่วยชดเชยมัลดีฟส์ที่อาจจะลดลง

"CENTEL ถือเป็นหุ้นไซซ์ใหญ่ที่ลงแรง valuation ลึกมากคิดว่าอยู่ในจังหวะของ earning ที่แข็งแกร่งน่าสนใจ"

อีกกลุ่ม คือ โรงไฟฟ้า ชอบ "บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF" สามารถเก็งกำไรช่วงราคาหุ้นแถว 40 บาทได้ไม่แย่สามารถตั้งรับได้ ด้วยกําไรในไตรมาส 1/68 ดีมาก และดีต่อเนื่องในไตรมา 2/68 เริ่มรับรู้ในฝั่ง INTUCH , ADVANC เข้ามาถือเป็นสัญญาณดีต่อเนื่อง

ที่สำคัญในช่วงครึ่งปีหลัง GULF ได้ดาเตอร์เซ็นเตอร์เข้ามาเป็นตัวบวกเพิ่ม ส่วนในปี 2569 เรื่องต้นทุนแก๊ส การนำเข้า LNG เข้ามาหนุนสตอรี่บวกต่อเนื่อง

ส่วนหุ้นโซนล่างอีกตัวที่น่าสนใจ คือ "กลุ่มการเงิน" ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจแย่ นักลงทุนกลัว NPL พุ่งสูง แต่หากคัดเฉพาะหุ้นที่มีสัญญาณดีขึ้น คือ "บริษัท ติดล้อ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR" ในไตรมาส 1/2568 ตัวตั้งสํารองลดลง ดูจาก Credit Cost คือการตั้งสํารองถือว่าผ่าน สินเชื่อลดลงกว่าที่ตลาดคาดเยอะ

สะท้อนว่า TIDLOR มีคุณภาพสินทรัพย์เริ่มกลับมาดี ถือเป็นตัวหนึ่งที่ค่อนข้างใช้ได้ ขาดทุนจากรถยึดลดลงเพราะว่าตอนนี้ราคารถยนต์มือสอง รถบรรทุกมือสองเริ่มทรงตัวจนถึงปรับขึ้นเล็กน้อย นี่คือภาพของการขาดทุนรถยึดที่น้อยลง และอีกกิมมิค คือเข้า SET50 SET100 หากรอบสุดท้ายสามารถเข้าได้ถือเป็นอีกหนึ่งเซอร์ไพรส์

"TIDLOR เทรดพี/อีต่ำกว่า 10 เท่า ถือว่าเข้าแก๊ปหน้าหุ้นไซส์ใหญ่ที่จะเป็นเซคเตอร์อยู่ในโซนล่างแต่เริ่มเห็นพัฒนาการที่ดีขึ้น ระยะสั้นอาจจะต้องเลือกหุ้นรายตัวที่มีสตอรี่บวก อาจไม่ได้ขึ้นยกแผง อาจจะไม่ได้ขึ้นยกเช็คเตอร์"

ส่วนกลุ่มโซนบนที่หากย่อตัวลงมาน่าสนใจ คือ กลุ่ม ICT จังหวะของการเทรดดิ้งสูงกว่าค่าเฉลี่ยประมาณหนึ่งสแตนดาร์ด ทั้ง บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC และ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ผลกระกอบการในไตรมาส 1/68 ทําได้ดีทั้งคู่ รายได้เฉลี่ยต่อเลขหมายขยับขึ้น และเชื่อว่าจะขึ้นต่อในไตรมาส 2/68 เพราะมีการปรับแพ็คเกจ ปรับราคาเพิ่มขึ้นในไตรมาส 1/68 จะรับรู้เข้ามาในไตรมาส 2

และอีกกิมมิคคือการประมูลคลื่นความถี่ที่จะเกิดขึ้นในสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่ง ADVANC สนใจคลื่น 2001 และ TRUE สนใจคลื่น 2003 ต้องลุ้นว่าการประมูลจะมีราคาที่ฉีกกว่าราคากลางมากน้อยแค่ไหน ต้องจับตาดูความชัดเจน ถ้าหากประมูลได้ราคาที่ไม่หนีราคากลางมาก สัญญาณของปี 2569 จะได้ประหยัดต้นทุนปีละ 1,000 ล้านบาท

"ราคาหุ้น ADVANC และ TRUE หากมีจังหวะย่อตัวลงมาสะสมได้ ส่วนตัวคิดว่าพื้นฐานภาพใหญ่ยังดี ยังหากลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นสินค้าจําเป็นแบบนี้ไม่ได้ เพราะทุกคนใช้มือถือแล้วภาวะแข่งขันเหลือ 2 เจ้า ดังนั้นการแข่งขันต่ำ ประหยัดต้นทุน"

สุดท้ายคือถ้าภาพรวมตลาดหุ้นดีขึ้น สัญญาณ Global Play ฟื้น สงครามการค้าจบเร็วภายใน 1-2 เดือนนี้แน่นอนว่าหน้าหุ้นที่โดนกดดันจากประเด็นการค้าจะเกิดการเก็งกำไรได้ อันนี้คือเป็น Event play นักลงทุนอาจจะต้องติดตามเรื่องของการเจรจาจีน-สหรัฐอย่างต่อเนื่อง แม้ล่าสุดการเจรจาออกมาเชิงบวก แต่รอจนกว่าจะจบจริงในระยะยาว

แน่นอนว่าหากการเจรจาสหรัฐ-จีนจบสวย แม้กำไรยังไม่ฟื้นแต่ราคาหุ้นพร้อมจะแกว่งขึ้น เช่น ปิโตรเคมี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC , โรงกลั่น , อิเล็กทรอนิกส์, นิคมอุตสาหกรรม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA, บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA

ทั้ง 4 กลุ่มอุตสาหกรรมเป็นกลุ่มที่อยากจะเป็น proxy ของเรื่องเทรดวอร์ ดังนั้นต้องติดตามเรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิด หากยืดเยื้อให้ไปเล่นหุ้นกลุ่มแรกก่อนที่เชื่อมกับสัญญาณในประเทศ แต่ถ้าเจรจาออกมาดีผลบวกทุกอย่างจบ 4 กลุ่มนี้จะจุดพลุ

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...