โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

เกาะติดยูโร 2024 : เส้นทาง 4 ทีมสุดท้าย ศึกยูโร 2024

สำนักข่าวไทย Online

อัพเดต 08 ก.ค. 2567 เวลา 20.33 น. • เผยแพร่ 08 ก.ค. 2567 เวลา 13.33 น. • สำนักข่าวไทย อสมท

เยอรมนี 8 ก.ค. – ศึกฟุตบอลยูโร 2024 เดินทางมาถึงรอบ 4 ทีมสุดท้ายแล้ว วันนี้จะพาไปดูเส้นทางของทั้ง 4 ทีม ก่อนจะทะลุมาถึงรอบตัดเชือกในศึกยูโรครั้งนี้

สำหรับ 4 ทีมที่ผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ศึกฟุตบอลยูโร 2024 ได้แก่ “ทีมกระทิงดุ” สเปน พบ “ทีมตราไก่” ฝรั่งเศส และ “ทีมอัศวินสีส้ม” เนเธอร์แลนด์ พบ “ทีมสิงโตคำราม” อังกฤษ อดีตแชมป์โลกปี 1966 และรองแชมป์เก่า

เริ่มต้นเส้นทางของ “ทีมกระทิงดุ” สเปน อดีตแชมป์โลกปี 2010 และอดีตแชมป์ยูโร 3 สมัย ที่เป็นเพียงทีมเดียวในยูโรครั้งนี้ที่เก็บชัยชนะได้ 3 นัดรวดในรอบแบ่งกลุ่ม เริ่มต้นด้วยการเอาชนะ “ทีมตราหมากรุก” โครเอเชีย 3-0, ชนะ “ทีมอัซซูรี” อิตาลี แชมป์เก่า 1-0 และชนะแอลเบเนีย 1-0 จากนั้นรอบ 16 ทีมสุดท้าย ถล่มจอร์เจีย ที่สร้างประวัติศาสตร์ผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย 4-1 ก่อนที่รอบ 8 ทีมสุดท้าย จะเฉือนเอาชนะ “ทีมอินทรีเหล็ก” เยอรมนี เจ้าภาพ และอดีตแชมป์ยูโร 3 สมัย 2-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ จากประตูชัยของ มิเกล เมริโน มิดฟิลด์จากเรอัล โซเซียดัด

ส่วน “ทีมตราไก่” ฝรั่งเศส อดีตแชมป์โลก 2 สมัย และอดีตแชมป์ยูโร 2 สมัย อีกหนึ่งทีมเต็งในยูโรครั้งนี้ แต่กลับทำผลงานได้น่าผิดหวัง โดยรอบแบ่งกลุ่มเฉือนชนะออสเตรีย 1-0 จากการทำเข้าประตูตัวเองของ มักซิมิเลียน โวเบอร์ จากนั้นเสมอเนเธอร์แลนด์ 0-0 ก่อนปิดท้ายเสมอโปแลนด์ 1-1 เข้ารอบ 2 ด้วยการเป็นอันดับ 2 กลุ่มดี รอบ 16 ทีมสุดท้าย เฉือนชนะ “ทีมปีศาจแดงแห่งยุโรป” เบลเยียม 1-0 จากการทำเข้าประตูตัวเองของ แยน แฟร์ตองเกน รอบ 8 ทีมสุดท้าย ดวลจุดโทษเอาชนะโปรตุเกส อดีตแชมป์ยูโรปี 2016 ไปได้ 5-3 หลังจบ 120 นาที เสมอกัน 0-0 ทำให้ฝรั่งเศส หนึ่งทีมที่มีมูลค่าค่าตัวนักเตะรวมกันแพงที่สุดในยูโรครั้งนี้ แต่ทั้งทัวร์นาเมนต์กลับยิงประตูด้วยฝีเท้าของตัวเองได้เพียงแค่ลูกเดียวจากจุดโทษของ คิลิยัน เอ็มบัปเป นัดเสมอโปแลนด์ 1-1

“ทีมอัศวินสีส้ม” เนเธอร์แลนด์ อดีตแชมป์ยูโรปี 1988 เป็นอีกหนึ่งทีมเต็งที่ทำผลงานได้น่าผิดหวังในรอบแบ่งกลุ่ม เฉือนเอาชนะโปแลนด์ 2-1, เสมอฝรั่งเศส 0-0 ก่อนพลิกล็อกพ่ายออสเตรีย 2-3 จากประตูชัยของ มาร์เซล ซาบิตเซอร์ ทำให้มี 4 คะแนน ต้องไปลุ้นเข้ารอบในฐานะอันดับ 3 ดีที่สุด 4 ทีม เข้าไปพบ “ทีมผีดิบ” โรมาเนีย ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ก่อนโชว์ฟอร์มถล่มเอาชนะ 3-0 จากฝีเท้าของ ดอนเยลล์ มาเลน ยิง 2 ประตู ในนัดนี้ จากนั้นรอบ 8 ทีมสุดท้าย เฉือนเอาชนะตุรกี 2-1

ปิดท้ายด้วยทีมขวัญใจมหาชน “ทีมสิงโตคำราม” อังกฤษ อดีตแชมป์โลกปี 1966 และรองแชมป์เก่า ที่ก่อนการแข่งขันถูกยกให้เป็นเต็งหนึ่ง แต่หลังจากเริ่มเตะลูกทีมของ แกเร็ธ เซาธ์เกต กลับทำผลงานได้น่าผิดหวัง จนถูกวิจารณ์อย่างหนัก เริ่มต้นด้วยการเฉือนชนะเซอร์เบีย 1-0 จากประตูชัยของ จู๊ด เบลลิงแฮม เสมอเดนมาร์ก 1-1 และเสมอสโลวีเนีย 0-0 เข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย ในฐานะแชมป์กลุ่ม ด้วยผลงาน 5 คะแนน ไปพบสโลวาเกีย ก่อนเฉือนเอาชนะไปได้ 2-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษจาก แฮร์รี เคน จากนั้นรอบ 8 ทีมสุดท้าย ต้องดวลจุดโทษตัดสิน ก่อนชนะสวิตเซอร์แลนด์ 5-3 หลังจบ 90 นาที และ 120 นาที เสมอกัน 1-1 โดย จอร์แดน พิคฟอร์ด นายทวารจากเอฟเวอร์ตัน เซฟจุดโทษของ มานูเอล อคานจี ก่อนที่ขุนพลทรีไลออนส์จะมายิงเข้า 5 คนรวด ลบล้างความผิดหวังจากที่พ่ายจุดโทษอิตาลี ได้เพียงรองแชมป์ยูโร 2020

สำหรับโปรแกรมรอบรองชนะเลิศคู่แรก สเปน พบ ฝรั่งเศส จะเตะคืนวันพรุ่งนี้ (9 ก.ค.) เวลา 02.00 น. อีกคู่ เนเธอร์แลนด์ พบ อังกฤษ เตะคืนวันพุธที่ 10 กรกฎาคม เวลา 02.00 น. -สำนักข่าวไทย

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...