โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

บันเทิง

เจมีไนน์ เล่าจุดเปลี่ยนเข้าวงการแบบไม่ตั้งใจ โดนชมหล่อไม่แฮปปี้เท่าถูกชมว่าเก่ง

Khaosod

อัพเดต 20 มิ.ย. 2567 เวลา 08.18 น. • เผยแพร่ 20 มิ.ย. 2567 เวลา 07.53 น.

เจมีไนน์ เผยความกดดันวัยเด็กที่ต้องแบกไว้โดยไม่มีใครรู้ เล่าจุดเปลี่ยนชีวิตเข้ามาในวงการแบบไม่ตั้งใจ รับเป็นคนไม่มั่นใจ โดนชมว่าหล่อไม่แฮปปี้เท่าถูกชมว่าเก่ง

นักแสดงหนุ่มดาวรุ่ง เจมีไนน์ นรวิชญ์ ฐิติเจริญรักษ์ เปิดใจแบบ Deep Talk ครั้งแรก! ย้อนเล่าชีวิตวัยเด็กกับความกดดันที่ต้องแบกไว้โดยไม่มีใครรู้ เผยเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง จนเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตเข้ามาในวงการบันเทิงแบบไม่ตั้งใจ ในรายการ WOODY FM

เจมีไนน์ กับความกดดันที่ต้องแบกไว้

ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้วครับ ? เจมีไนน์ : “อีกไม่กี่วันจะอายุ 20 ปีแล้วครับ”

รู้สึกว่าช่วงสองปีที่ผ่านมาเรามีประสบการณ์เยอะขึ้น ? เจมีไนน์ : “รู้สึกว่าโตขึ้นมาก(หัวเราะ) เร็วมากๆ เพราะว่าด้วยความที่ทำงานด้วยครับ แล้วก็ต้องมีความรับผิดชอบเข้ามาเยอะขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ ทุกวันครับ ก็เลยรู้สึกว่าจะโตกว่าเพื่อนในวัยเดียวกัน”

ครอบครัวของคุณเป็นครอบครัวใหญ่ไหม ? เจมีไนน์ : “ไม่ใหญ่ครับ จะมีพ่อแม่แล้วก็ผม ผมเป็นลูกคนเดียว ตอนเด็กๆ ก็จะมีเหล่าม่าเป็นทวดมาอยู่ด้วย แต่ว่าตอนนี้เสียไปแล้วครับ”

คุณทวดเสียตอนคุณอายุเท่าไหร่ ? เจมีไนน์ : “เด็กมากๆ เลยครับน่าจะประมาณตอนผม 10-11 ขวบ ตอนนั้นเศร้ามาก เพราะผมอยู่กับเขามาตั้งแต่เด็ก แล้วเขาก็รักผมมากๆ แต่ตอนนั้นผมดื้อมากเลย ทำตัวไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่ เขาดูทีวีอยู่ ผมก็เปลี่ยนไปดูการ์ตูนของผม จะแย่งรีโมททีวีกัน จะทะเลาะกันอย่างนี้ตลอด แค่รู้สึกว่าตอนนั้นก็น่าจะให้เขาดูทีวีไป”

ด้วยความที่เป็นลูกคนเดียวอาจจะมีความคาดหวังประมาณหนึ่งจากพ่อแม่ไหม ? เจมีไนน์ : “ใช่ครับ ด้วยความที่เป็นลูกคนเดียว เขาจะมีความคาดหวังที่สูงมาก ๆ ในสิ่งที่เขาอยากให้เราเป็น เราเป็นความหวังเดียวของเขา ซึ่งผมว่าพ่อแม่ทุกคนอยากให้ลูกได้ดีที่สุดอยู่แล้ว แต่ผมรู้สึกว่ามีความกดดัน โดนกดดันมาตั้งแต่เด็กว่าจะต้องเป็นคนที่ดีที่สุดในบางอย่าง เช่น ถ้าผมเล่นกีฬาก็ต้องเก่งที่สุดในทีมนี้ ถ้าเรียนผมต้องได้ดีที่สุดในห้อง ซึ่งแม่ของผมเป็น Perfectionist อยากให้ทุกอย่างออกมาเพอร์เฟ็กต์ตามที่เขาต้องการ ซึ่งมันก็กดดันมากๆ ตั้งแต่ตอนผมเด็กๆ ก็รู้สึกว่าทำไมเราจะต้องทำขนาดนี้ อายุแค่นี้ทำไมเราต้องกดดันตัวเอง ทำไมไม่เป็นแบบคนอื่นชิลชิล กลับมาบ้านเล่นกับเพื่อนอะไรแบบนี้ แต่ผมช่วงกลับมาจากโรงเรียนก็ต้องไปเรียนพิเศษ เรียนดนตรี เรียนร้องเพลงเรียนพิเศษในวิชาหลัก เรียนตลอดครับ”

เจมีไนน์ กับความกดดันที่ต้องแบกไว้

เคยตั้งคำถามไหมว่าทำไมต้องมานั่งเรียนสิ่งนี้ที่เราไม่ชอบ ? เจมีไนน์ : “เคยครับ แล้วถามพ่อแม่ด้วยว่าทำไมต้องทำขนาดนี้เพราะคนอื่นก็ไม่เห็นจะทำกันเลย ทำไปแล้วได้อะไร มันเสียเวลาหรือเปล่า เพราะว่าผมเป็นคนขี้เกียจคนหนึ่ง ท่านก็บอกว่าทำไปเดี๋ยวก็รู้เองว่าได้อะไร ซึ่งตอนนี้ผมรู้แล้วว่ามันควรที่จะเรียนจริงๆ คือตอนเรียนอะไรเด็กๆ มันจะเก็บพื้นฐานได้ แล้วตอนนี้ผมรู้สึกว่าทำอะไรผมเรียนรู้เร็วกว่าคนอื่นค่อนข้างเยอะอยู่เหมือนกัน เพราะว่าเรามีพื้นฐานตั้งแต่เด็กๆ อยู่แล้ว พอกลับมาทำมันก็เลยรู้สึกว่าง่ายขึ้น”

ในตอนที่ไม่เข้าใจมันกดดันขนาดไหน แต่ก่อนคุณอยากเรียนอะไร ? เจมีไนน์ : “เป็นหมอครับ ซึ่งตอนแรกผมยังไม่รู้เลยว่าผมอยากเป็นอะไร ไม่ใช่เรื่องผิดนะที่ยังไม่รู้ว่าอยากเป็นอะไร ตอนนี้เอาจริงๆ ผมก็ยังไม่รู้ว่าผมจะไปทางไหนดีถ้าไม่ใช่ทางวงการบันเทิง พ่อแม่ก็เลยให้ผมลองทำโน่นทำนี่ลองเข้าวงการดู ลองเรียนหมอ ลองเรียนโน้นนี่ดู

ซึ่งในตอนแรกผมไม่เอาเลยกับวงการบันเทิงเพราะว่าผมเป็นคนไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง เป็นคนที่กลัวว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับเรามากๆ ในตอนนั้นผมไปประกวดเข้า GMM TV ซึ่งตอนนั้นผมปล่อยเลยผมไม่อยากเข้า ผมร้องเพลงของพี่เบิร์ด ชื่อเพลงแฟนจ๋า แต่สรุปว่าได้เข้า แล้วได้เซ็นสัญญา ถึงวันที่ผมจะต้องเซ็นสัญญาเข้าออฟฟิศที่ GMM TV แล้วผมอยู่ตรงลานจอดรถกับพ่อแม่ เราก็บอกเขาว่าไม่เอา ไม่อยากทำ ไม่เซ็นก็ได้ เพราะผมกลัวมาก เราไม่รู้ในวงการบันเทิง ไม่มั่นใจในตัวเองมากๆ ผมอยากใช้ชีวิตเหมือนคนอื่น

เจมีไนน์ กับความกดดันที่ต้องแบกไว้

พ่อแม่ก็เลยบอกว่าถ้าไม่ไปเซ็นลงจากรถไปเลยแล้วหาทางกลับบ้านเอง ซึ่งตอนนั้นผมไม่รู้อะไรเลยไม่มีเงินสักบาทติดตัว แล้วยังหาทางกลับบ้านเองไม่ได้ ไม่รู้ว่าบ้านอยู่ตรงไหน ก็เลยต้องจำใจยอมไปเซ็นสัญญา แบบที่กล้าๆ กลัวๆ ซึ่งเราไม่รู้ว่าข้างหน้ามันคืออะไร พ่อแม่บอกว่าลองทำดูมันเป็นสิ่งที่ดี มีโอกาสเข้ามาก็ลองทำดู มันไม่ได้มีอะไรผิดแล้วเราก็ร้องเพลงที่โรงเรียนอยู่แล้ว ทางนี้ก็เป็นอีกที่หนึ่งที่เราจะได้มาร้องเพลง ซึ่งเป็นที่ๆ คนอื่นจะได้เห็นเราเยอะขึ้น จำได้ว่าร้องไห้เลยตอนที่อยู่ในรถ”

หลังจากนั้นไม่กี่ปีน่าจะเป็นสิ่งที่ดี เป็นจุดเปลี่ยน ตอนไหนที่รู้สึกว่ามาถูกทางแล้ว ? เจมีไนน์ : “น่าจะตอนหลังจากซีรีส์แฟนผมเป็นประธานนักเรียนจบ ซึ่งตอนนั้นเกือบจะไม่รับซีรีส์แฟนผมเป็นประธานนักเรียน เพราะรู้สึกไม่มั่นใจแอ๊กติ้งตัวเอง ตอนเรียนอยู่ที่โรงเรียนผมตกคลาสแอ๊กติ้ง ผมเลยไม่กล้าทำแอ๊กติ้งหลังจากนั้นเลย ไม่มั่นใจการแสดงเลยแล้วหลังจากนั้นพอเข้ามาที่นี่ได้มีโอกาสได้แสดงซีรีส์เยอะมากขึ้น ตอนนั้นคิดอยู่ว่าจะรับหรือไม่รับดี ตอนนั้นเป็นช่วง ม. 5 ขึ้นม. 6 พอดี ก็เลยลองดูซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกมากๆ ตอนแรกทำไปเหนื่อยมาก แต่พอผลตอบรับออกมาดีมากๆ รู้สึกว่าหายเหนื่อย เริ่มมีกระแสมากขึ้น แล้วก็รู้สึกว่าทางนี้เราก็ไปได้เหมือนกันนะ”

วันไหนที่รู้สึกว่ามีความสุขที่สุดในการทำงานในวงการ ? เจมีไนน์ : “น่าจะเป็นวันที่อยู่บนเวที แฮปปี้ที่สุดน่าจะมีสองครั้ง ครั้งแรกที่มีคอนเสิร์ตที่ยูเนี่ยนมอลล์ ซึ่งเป็นคอนเสิร์ตหลังจากจบซีรีส์ เป็นครั้งแรกที่ผมมีคอนเสิร์ตแล้วร้องไห้บนคอนเสิร์ตเลย ซึ่งผมเป็นคนที่ร้องไห้ยากมากๆ จะไม่มีทางร้องไห้ให้ใครเห็นเด็ดขาด เพราะผมไม่อยากให้คนเห็นในมุมที่เศร้า แต่น้ำตานั้นเป็นน้ำตาของความสุขที่มันบรรยายออกมาไม่ถูก แล้วมันไม่เคยเกิดขึ้นกับผมน้ำตาที่อยู่ดีๆ ไหลออกมาด้วยความภูมิใจในตัวเอง มีความสุขด้วยความที่เราถึงฝันแล้ว รอบที่สองจะเป็นคอนเสิร์ตที่อิมแพ็คอารีน่า มันเป็นฝันของใครหลายคนมากๆ ที่จะได้ขึ้นไปเล่นบนอิมแพ็ค ผมเคยอยู่ในจุดที่ไปดูคนอื่นแต่ว่าคราวนี้เราได้มาแสดงให้คนอื่นดู มันเกินฝันไปมากๆ เลยก็รู้สึกว่าภูมิใจในตัวเอง”

เจมีไนน์ กับความกดดันที่ต้องแบกไว้

ได้มีโอกาสกลับไปขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ไหม ? เจมีไนน์ : “อาจจะไม่ได้ขอบคุณแบบต่อหน้า แต่ว่าขอบคุณผ่านรายการซึ่งผมขอบคุณบ่อยๆ พูดขอบคุณในตอนจบคอนเสิร์ตก็บ่อย แต่ว่าไม่เคยกล้าพูดต่อหน้าเลย เพราะผม Keep Cool กับพ่อแม่มาตลอด ผมไม่เคยให้เขาเห็นในมุมที่ผมอ่อนไหว หรือว่าในมุมที่ผมบอกรักพ่อแม่น้อยมากๆ ซึ่งจริงๆ อยากบอกมากๆ นะ ผมแค่รู้สึกว่าผมไม่กล้าบอก”

ความสัมพันธ์กับ โฟร์ท ณัฐวรรธน์ ตอนนี้เป็นยังไง ? เจมีไนน์ : “ดีครับ เจอกันทุกวันเลย มีงานทุกวันจะเจอกันบ่อย แต่ว่าช่วงนี้เริ่มมีงานเดี่ยวด้วย น่าจะเป็นคนหนึ่งที่ผมเจอเยอะที่สุดในชีวิตแล้ว เป็นความสัมพันธ์ที่แปลกเหมือนกันนะ เพราะเราแทบไม่ค่อยคุยกันในไลน์เลย โทรก็ไม่เคย อินสตาแกรมก็ไม่เคย DM หากัน แต่ว่าทุกครั้งที่เรามาเจอกันในงาน มันคลิกกัน มันมีเคมีบางอย่างที่เชื่อมกันได้แบบที่มองตาก็รู้ใจ ซึ่งมันเป็นกับคนอื่นไม่ได้”

มีความรักที่คุณคู่ควรหรือยัง ? เจมีไนน์ : “ความรักที่ผมคู่ควรคือแฟนคลับ เอาจริงๆ นะในตอนแรกผมไม่รู้ว่าผมคู่ควรกับเขาหรือเปล่าด้วยซ้ำไป ผมคู่ควรที่จะมาอยู่ตรงนี้หรือเปล่า คู่ควรกับการที่จะได้รับความรักมากมายขนาดนี้หรือเปล่า เพราะว่าแฟนคลับนี่แหละที่ทำให้ผมรู้ว่าผมคู่ควรในการมีเขา และเขาก็คู่ควรในการมีผม เพราะว่าทุกอย่างที่ผมทำ ผลงานที่มันออกไปผมตั้งใจในทุกอย่าง และก็อยากทำให้มันออกมาดีที่สุด อยากทำให้ทุกคนชอบ อยากทำให้ทุกคนไม่ได้มองผลงานเราจากการที่เราหล่อเฉยๆ แต่มองว่าผลงานนี้เป็นผลงานที่ดีอีกผลงานหนึ่งในวงการ ซึ่งแฟนคลับผมมองอย่างนั้นค่อนข้างเยอะ ผมเป็นเด็กหลอดแก้วครับ พ่อแม่ผมมีลูกยากมากแต่เขาอยากมีลูกมากๆ แล้วเก็บไข่อยู่ในช่องฟรีซประมาณ 2 ปี ถึงได้ออกมา เวลาใครชมว่าผมหล่อจะไม่รู้สึกแฮปปี้เท่าการที่คนชมว่าผมเก่งมีความสามารถ เพราะคนหล่อมีเยอะแยะมากมายในโลก แต่คนที่มีความสามารถที่คนจะยอมรับว่าคู่ควรมาอยู่ตรงนี้มันมีน้อยมาก”.

https://www.youtube.com/watch?v=IULgnlnODTA

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : เจมีไนน์ เล่าจุดเปลี่ยนเข้าวงการแบบไม่ตั้งใจ โดนชมหล่อไม่แฮปปี้เท่าถูกชมว่าเก่ง

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
- Website : https://www.khaosod.co.th

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...