ครั้งแรก หนิง ปณิตา เปิดชีวิตคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวหลังผ่านมรสุมครั้งใหญ่ น้องณิริน ย้อนเล่าเหตุการณ์โดนบูลลี่หนัก คิดย้ายโรงเรียน
ครั้งแรก หนิง ปณิตา เปิดชีวิตคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวหลังผ่านมรสุมครั้งใหญ่ น้องณิริน ย้อนเล่าเหตุการณ์โดนบูลลี่หนัก คิดย้ายโรงเรียน
ครั้งแรก หนิง ปณิตา คุณแม่สายสตรองที่วันนี้ขอเปิดชีวิตหลังผ่านมรสุมครั้งใหญ่เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวเต็มตัว ด้านน้องณิริน ลูกสาววัย 11 ขวบ ย้อนเล่าเหตุการณ์ในวัย 9 ขวบโดนเพื่อนบูลลี่หนักจน สูญเสียความมั่นใจ เก็บตัวเงียบ
พร้อมเปิดความสนิทคู่แม่ลูกและความแสบของน้องณิรินที่กล้าขัดใจแม่หนิง จนทำให้แม่หนิงอนหนักมาก ในรายการคุยแซ่บShow สเปเชียล ทางช่องOne31
ตอนนี้พี่หนิงรับบทเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว 100% เลย ?
หนิง : “จะว่าอย่างนั้นก็ใช่ก็เรียกได้ว่าปัญหาที่เราจะต้องเคลียร์แต่ละปัญหาในเรื่องส่วนตัวและแน่นอนที่สุดเรื่องส่วนตัวของคนที่เป็นครอบครัวมันก็เป็นเรื่องของครอบครัวด้วย แล้วส่วนสำคัญที่สุด ปัญหาเกิดขึ้นในช่วงณิรินเองกำลังเข้าสู่วัยรุ่น ถ้าตอนที่เราเกิดปัญหาในช่วงณิรินเด็กๆ มันอาจจะง่าย
แต่ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นช่วงที่เขาเข้าสู่วัยรุ่น เขาจะมีความเป็นวัยรุ่นของเขา เรื่องราวของเขา ฮอร์โมนแปรปรวนของเขาอะไรหลายๆอย่างด้วยกัน เลยรู้สึกว่ามันหนักจังเลยสำหรับเรา”
ใช้วิธียังไง ? “ใช้วิธีปิดเรื่องทุกเรื่องไม่ให้เขารู้เรื่อง แล้วเวลาเกิดเรื่องอะไรก็จะพยายามอธิบายให้เขาฟัง ทำอะไรก็ได้ที่ให้รู้สึกว่าเขาสบายใจที่สุดแล้วเขาอยากได้ยินอะไร ปกป้องรอบด้านเลย แต่สุดท้ายกลายเป็นว่าตัวหนิงเองล้ม เหนื่อย เหมือนพังเอง มีการคุยกับจิตแพทย์สุดท้ายคำตอบที่ดีที่สุดสอนให้เขาเรียนรู้จากความจริงที่เกิดขึ้นในมุมที่เบาที่สุด”
พอรับรู้เรื่องแล้วณิรินจัดการกับตัวเองยังไง ?
ณิริน : “พอหนูรู้เรื่องตอนแรกก็เสียใจ นั่งคุยกัน 3 คน เหตุผลอะไรที่จะทำให้เขาแยกเพราะหนูไม่เข้าใจ ณ ตอนนั้น แต่ว่าหม่ามี๊ก็อธิบายให้ฟังว่าการที่พ่อแม่แยกทางกันมันไม่ใช่เรื่องอะไรที่มันแย่มันคือเรื่องปกติที่เกิดขึ้นเกือบทุกครอบครัวในโลก มันก็คือเรื่องปกติเพราะยังไงเขาก็รักเราเหมือนเดิม
เขาแค่เปลี่ยนสถานะกลายเป็นเพื่อนกันหนูก็ยังได้เจอคุณปู่ คุณย่า ยังได้ทำอะไรเหมือนเดิม แค่พ่อกับแม่เป็นเพื่อนกัน หนูก็มานั่งคิดกับตัวเองว่าถ้าเขาแยกกันปัญหามันจะไม่เยอะกว่าเดิม เขาจะไม่มานั่งทะเลาะกันทุกวัน”
หนิง : “แต่ว่าในมุมของเด็กเขาไม่ได้สามารถจะเข้าใจได้ในแค่วันเดียวนะ สมมติว่า 1 เดือนในคำพูดคำเดิมเขาจะเข้าใจแบบนี้ ผ่านมาอีก 2 เดือนเขาจะเข้าใจดีขึ้น ผ่านมาอีก 3 เดือนเขาจะค่อยๆเข้าใจ เหมือนเป็นเรื่องใหม่สำหรับเขา แล้วต้องทำให้เรื่องใหม่ต้องกลายเป็นเรื่องที่ไม่ได้สร้างปัญหาให้กับเขา
แล้วเขาจะได้เรียนรู้ต่อไปในอนาคตว่าเวลาเรามีเรื่องอะไรเข้ามาต่อให้ไม่ใช่เรื่องนี้ทุกอย่างคือเรื่องใหม่และมันจะดีขึ้นตามสเต็ป ดังนั้นอย่ากังวลถึงสิ่งที่ยังไม่เกิด อันนี้ต้องพยายามใจเย็นและพูดกับเขาในทุกๆวัน มันไม่ใช่แค่เราพูดนะ คำพูดไม่มีประโยชน์เลย การกระทำมีประโยชน์ที่สุด มันเลยทำให้เราต้องเปลี่ยนแปลงตัวเราเองเยอะ ใช้คำว่าเยอะมาก โดยเฉพาะไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต เราต้องโฟกัสลูกเรามากขึ้นกว่าเดิมหลายๆเท่าตัวได้เลย”
ลูกเราเข้าใจเราทุกอย่างคนเป็นแม่รู้สึกยังไงบ้าง ?
หนิง : “คำพูดเขา เขาเข้าใจเพราะเขาไม่อยากทำให้เราต้องมีห่วง ต้องกังวล เด็กคือเด็ก เขาไม่ได้เข้าใจทั้งหมดหรอก แต่ความโชคดีที่สุดของหนิง หนิงมีคนรอบๆข้างที่ทำงานกันเป็นทีมอันนี้เป็นความโชคดีที่สุดไม่รู้จะขอบคุณยังไง แต่ในช่วงกระบวนการ 2 ปีที่ผ่านมาที่มีปัญหาทุกคนจะรู้ว่าเขาจะมีเวย์หลุดๆ ที่บางทีเขาไม่เข้าใจตัวเขาเองแล้วเขาก็จะแสดงพฤติกรรมหรือแสดงอะไรบางอย่างออกไปให้ดูว่าสิ่งนี้มันไม่น่ารัก
แต่ทุกคนก็เข้าใจเขา แต่หนิงกลับมาต้องพยายามอธิบายให้เขาฟังว่าทุกคนพร้อมจะเป็นเบาะให้หนู ฉะนั้นหนูต้องน่ารักด้วย ความรักของหนูไม่ได้หายไปเลย แถมเพิ่มเยอะมากขึ้นด้วยจากที่ทุกคนชื่นชมเขา อยากจะเห็นการเจริญเติบโต ลิตเติ้ลณิรินของพวกเรา”
ปัญหาที่เกิดอีกที่ก็คือที่โรงเรียน การโดนบูลลี่ โดนยังไงบ้าง ?
ณิริน : “มันเริ่มจากตอนหนูอยู่ปีห้าเหมือนตอนนั้นเป็นคลาสว่ายน้ำมีเพื่อนคนนึงเขาตะโกนขึ้นมาว่ารู้มั้ยว่าพ่อแม่ของณิรินเขาเลิกกันนะ ตะโกนต่อหน้าเพื่อนๆ ครู อันนั้นหนูก็รู้สึกว่าจะมายุ่งเรื่องบ้านเราทำไม
แต่หนูก็ไม่ได้พูดอะไรก็ปล่อยให้เขาพูดไปเพราะเราไม่ได้รู้สึกอะไรอยู่แล้ว แล้วก็อยู่ดีๆ มีเพื่อนกลุ่มหนึ่งเขาก็มาบอกเราว่าหนูไม่เก่งอะไรซักอย่าง เล่นเปียโนแย่ ทำอะไรไม่ดีซักอย่าง หนูเลยเสียความมั่นใจไป ตรงนั้นเลยไม่กล้าทำอะไรในโรงเรียน เก็บตัว ปิดหน้า ไม่มีตัวตนในโรงเรียน
ส่วนตอนนี้หนูคิดว่าถ้าหนูเอาตัวเองเข้าไปยุ่งกับเขาไปบอกว่าหนูไม่ได้เป็นแบบนี้นะ หนูจะยิ่งเครียด เขาอยากทำอะไรก็ปล่อยให้เขาทำ หนูไม่ยุ่ง หนูอยู่ส่วนของหนู เขาก็อยู่ส่วนของเขา ถ้าเขาจะมายุ่งกับหนูก็ปล่อยให้เขายุ่งไป หนูไม่ได้ทำอะไรผิด”
หนิง : “เหตุการณ์นี้ก็พอจะรู้มาคร่าวๆ แต่ไม่ได้รู้รายละเอียดทั้งหมด ส่วนตัวหนิงเองเชื่อเสมอว่า เราส่งลูกไปเรียนที่โรงเรียนไปเรียนหนังสือและไปเรียนรู้สังคมที่จะปรับตัวและโตขึ้นไปใช้ชีวิตต่อไป ดังนั้นสังคมโรงเรียนผู้ปกครองไม่ควรเอาตัวเองไปยุ่งสักเท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นสังคมโรงเรียนกลายเป็นสังคมผู้ปกครอง
ซึ่งทุกวันนี้มันแทบจะเป็นแบบนั้น เรารู้คร่าวๆ ก็ปล่อยทั้งที่เราเจ็บนะ แล้วต้องฝีนใจไปถามตะล่อมทางนั้นทางนี้ ยืนดูอยู่นิ่งๆใจแข็งๆว่าเขาจะเผชิญมันไปได้ยังไง หลังจากนั้นเขาเผชิญทุกอย่างไปได้ดีหมดเลยนะ แต่เชื่อมั้ยว่าเพิ่งมาทราบเรื่องเมื่อเดือน สองเดือนที่ผ่านมาว่าเขาไปร้องไห้กับเพื่อนสนิทเขาคนหนึ่งในมุมตึกโรงเรียนแล้วไม่เข้าเรียน
ทุกครั้งที่โทรไปหาพี่เนิร์สแล้วโทรมาบอกว่าหนูปวดท้อง หนูปวดหัว ให้คุณแม่มารับกลับบ้านนั่นคือเขาไม่ไหวแล้วที่โรงเรียน แต่มารู้เรื่องนี้ทีหลังจากที่ผ่านไปแล้วนะ เราเล่าสู่กันฟังได้เพื่อเป็นการถอดบทเรียนที่ว่าบางทีผู้ปกครองเองต้องดูแลเวลามีเรื่องราวอะไรต้องอย่าเอาตัวเองเข้าไปยุ่งซักเท่าไหร่”
เลือกที่จะไม่บอกคุณแม่เพราะว่า ?
ณิริน : “หม่ามี๊ก็ทำงานเยอะ มันจะเครียด หนูรู้เลยล้านเปอร์เซ็นต์ว่าถ้าหนูบอกแม่ แม่ต้องโทรไปปรึกษาน้าๆ น้าๆเขาก็มีลูก มีงาน มีอะไรต้องทำ หนูก็เกรงใจหม่ามี๊แล้วก็น้าๆ หนูก็เงียบไม่ได้พูดอะไร”
แล้วต้อนนั้นยังอยากไปโรงเรียนมั้ย ?
ณิริน : “หนูแค่รู้สึกว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับเพื่อนๆมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการเรียนก็ไปปกติไม่ได้มีคิดว่าอยากไปไม่ไป หนูยังมีเพื่อนกลุ่มหนึ่งที่หนูสนิทเขาก็ช่วยหนู อยากไปโรงเรียนเพราะอยากเจอะเพื่อนกลุ่มนี้
หนิง : “หนิงใช้วิธีซึมๆเข้าไปอยู่ในแก๊งเด็กแล้วก็ไปฟังเด็กๆ คุยถึงลูกเราแล้วก็ประมวลผลและกลับมาบอกณิรินว่า ณิรินยังอยากไปโรงเรียนอยู่อีกมั้ย ถ้าไม่อยากไปย้ายโรงเรียน เขาส่ายหน้า เพราะถ้าเขาย้ายเขาต้องไปเริ่มใหม่แล้วไม่รู้ว่าที่ใหม่ มันจะหนักกว่าเดิม นี่คือคำตอบของลูก
เขาสู้ แล้วก็บอกกับเขาว่า ชีวิตณิรินโคตรมีค่าเลยฉะนั้นใครจะมาบูลลี่เราไม่ได้ ต่อให้เราไม่เก่งเราก็ต้องพยายามฝึกฝน เราอาจจะไม่เก่งจริงก็ได้ ใครว่าอะไรกลับมาดูตัวเอง ว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงๆมั้ย ถ้าเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ ชีวิตคนเราถ้าเรายอมรับว่าเราผิด เรายอมรับว่าเราเป็น เราจะแก้ไขได้ แต่ถ้าเราไม่ยอมรับแล้วมีอีโก้เราจะแก้ไขไม่ได้ เขาก็ยอมรับบางเรื่องว่าเขาเป็นกระต่ายกับเต่า”
มีอะไรมาจุดประกายให้เราลุกขึ้นสู้ ?
ณิริน : “หนูโดนบูลลี่บ่อยจนหนูเริ่มไม่ไหวแล้ว ตอนแรกคิดว่าควรย้ายโรงเรียนมั้ยที่แม่มาบอกกับหนู แต่กลับมานั่งคิดกับตัวเองอีกทีว่าสิ่งที่หนูพูดกับแม่ไปวันนั้น หนูเอากลับมาคิดใหม่ว่าควรมั้ย หนูก็คิดว่าไม่ควร ถ้ามีปัญหาตรงนี้ก็แก้ตรงนี้ไม่ใช่ไปมีที่อื่น กลายเป็นว่ามันจะไม่มีอะไรแก้ได้เลย หนูรู้สึกแบบนั้น
หนูก็กลับมาคุยกับแม่ว่าทำยังไงดี แม่ก็บอกว่าหนูลองทำอะไรซักอย่างในโรงเรียนมั้ย ร้องเพลงหรือว่าเปียโนทำอะไรก็ได้ที่หนูชอบ หนูว่าก็น่าจะโอเค คือโรงเรียนหนูทุกปีสำหรับปี 6 จะมีละครเวทีทุกปี แต่ละปีมันจะเปลี่ยนเรื่องไปเรื่อยๆ ปีนี้เป็นอาลาดิน วันนั้นเป็นห้องออดิชั่นพอดีเลยตัดสินใจที่จะเดินเข้าไปไปออดิชั่น
หนูคิดว่าถ้าหนูออดิชั่นแล้วหนูได้ หนูจะข้ามสิ่งที่อยู่ตรงหน้าหนูไปได้เลย หนูเลยลองเข้าไปออดิชั่น ซึ่งหนูคิดว่าหนูไม่มีทางได้อยู่แล้ว หนูแค่ทำดีที่สุดซึ่งหนูก็ได้เล่นเป็นจัสมิน หนูกลับมาบอกแม่ว่ามันมีออดิชั่นหนูได้เข้าไฟนอลนะ หนูว่าหนูไม่ได้หม่ามี๊ก็ลองเชียร์ดูแล้วกัน อีกสองอาทติย์ผ่านมาเขาก็ประกาศผล เขาก็พูดขึ้นมาว่าณิรินเป็นจัสมิน 1 นะแล้วเพื่อนอีกคนเป็นจัสมิน 2 หนูกก็กกลับมาบอกหม่ามี๊ว่าใจเย็นนะ อย่าเพิ่งกรี๊ดนะหนูได้เป็นจัสมิน
อีก 5 นาทีทุกคนโทรมาหาหนูมิสคอลเป็นสิบๆสาย มีน้า ปู่ ย่า ตา ยาย มาหมดเลยทุกคนเลย หนูก็ไม่คิดว่าหนูได้ก็ยังช็อคกับตรงนั้นอยู่ วันที่ได้โชว์รู้สึกเหมือนอยู่ๆดีก็มีความมั่นใจขึ้นมา รู้สึกว่าถ้าหนูทำตรงนี้ได้เพื่อน ที่เขาเคยบูลลี่เรา เขาจะได้เห็นว่าเราไม่ได้เป็นอย่างที่เขาพูด”
อยากให้เขาโตมาเป็นแบบไหน ?
หนิง : “ให้มีความสุขแล้วก็ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ ให้หาเลี้ยงตัวเองได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งใคร มีความสุขในแบบของเขา ไม่ต้องรวย ไม่ต้องเป็นคุณหนู ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ให้ใช้ชีวิตได้รอดแล้วไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร ไม่ต้องให้ใครมาหลอกเราให้เราต้องร้องไห้ให้เจ็บให้เขาแข็งแรง มันยากมากนะ แต่เชื่อว่าแม่ๆทุกคนอยากให้ลูกมีความสุขแล้วก็ไม่เจ็บปวดเหมือนที่เราโดน เหมือนที่เราเป็น”
วันนี้ลูกอยากจะขออะไรพี่หนิงอย่างหนึ่ง ?
ณิริน : “หม่ามี๊ไม่ว่าหนูเรื่องสีผมได้มั้ย ไม่โกรธหนูเรื่องสีผมได้มั้ย ไม่บ่นหนูเรื่องสีผมได้มั้ยคะ”
หนิง : “มันก็ผ่านไปแล้ว มันเป็นบทลงโทษว่าถ้าเรื่องเล็กๆน้อยๆ ถ้าเราหัดที่จะโกหก การโกหกมันคือความไม่ซื่อสัตย์ ถ้าเรื่องเล็กน้อยเรายังทำแล้วถ้ามันลามไปเรื่องใหญ่แล้วมันมีผลกระทบกับอะไร วันนั้นมันจะไม่ดี นี่ก็เป็นเรื่องที่เรากำลังฝึกเขาอยู่เหมือนกัน”
ณิริน : “หนูขอโทษหม่ามี๊ หนูจะไม่โกหกอีก”
หนิง : “วันนี้วันแม่ ขอส่งความรักให้แม่ๆทุกคนที่อยู่บนโลกใบนี้ พลังของมนุษย์แม่จะทำให้ลูกเรารอดแล้วก็เป็นคนดีของสังคมได้ ขอให้แม่ๆทุกคนบนโลกนี้ไม่ต้องกลัวกับอะไร ขอให้เชื่อในพลังของความเป็นแม่”
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ครั้งแรก หนิง ปณิตา เปิดชีวิตคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวหลังผ่านมรสุมครั้งใหญ่ น้องณิริน ย้อนเล่าเหตุการณ์โดนบูลลี่หนัก คิดย้ายโรงเรียน
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
- Website : https://www.khaosod.co.th