โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

พุทธศาสนา “ลังกาวงศ์” เข้ามาเมื่อไร? ทางไหน?

ศิลปวัฒนธรรม

อัพเดต 27 มิ.ย. 2567 เวลา 07.16 น. • เผยแพร่ 26 มิ.ย. 2567 เวลา 08.47 น.
สันนิษฐานการเข้ามาของลังกาวงศ์ :- 1. เส้นทางเดินถึงนครฯ และนครธม, พุทธศตวรรษที่ 18, 2. เส้นทางเดินถึงรามัญ, สุโขทัย และล้านนา, พุทธศตวรรษที่ 20

พุทธศาสนา “ลังกาวงศ์” เข้ามาเมื่อไร? ทางไหน?

มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ (นครศรีธรรมราช) ร่วมกับเทศบาลนครฯ, สยามมอเตอร์, สถานทูตศรีลังกา และนสพ.มติชน จัดสัมมนาเรื่อง “ไทย-ลังกา, ความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์” (ที่กรุงเทพฯ วันที่ 19-19 และที่นครฯ 21 ตุลาคม 2544)

ผมได้รับมอบหมายให้รวบรวมนิทรรศการภาพเนื่องในงานนี้ ซึ่งสร้างโอกาสให้ทบทวนหลักฐานที่มีอยู่อีกครั้งหนึ่ง ทำให้ตาสว่างขึ้นเล็กน้อย

ใครๆ เชื่อว่า ลังกาวงศ์เข้ามาในสยามครั้งแรกในรัชกาลพญาลิไท (พุทธศตวรรษที่ 20) ตามศิลาจารึกหลักที่ 3-4-5-6 โดยผ่านรามัญประเทศ (ผมขอข้ามจารึกหลักที่ 1 เพราะไม่เชื่อในเหตุผลที่ปรากฏในที่อื่น) ลังกาวงศ์น่าจะเข้ามาครั้งหนึ่งในรัชกาลพญาลิไทผ่านเมืองมอญจริง แต่ถ้าจริงก็สร้างปัญหาให้เราอย่างน้อยสองประการ คือ

1. หากลังกาวงศ์ยังไม่เป็นที่รู้จักกันในอุษาคเนย์อยู่แล้ว ทำไมท่านถึงนิยมและอยากได้มา?

2. ทำไมจารึกสุโขทัย (ตามมาด้วยชาวภาคกลางและภาคใต้ทั้งหมด) ใช้อักษรขอม (เขมร) เขียนพระบาลี? ทำไมไม่ใช้อักษรสิงหลหรืออักษรมอญ?

จะเป็นไปได้ไหมว่า ก่อนรัชกาลพญาลิไท ลังกาวงศ์เคยแอบเข้ามาฝังตัวในนครธม (ผ่านนครศรีธรรมราช?) แล้วค่อยแผ่ขึ้นไปถึงสุโขทัยจนเป็นที่รู้จักดี? ต่อมาพญาลิไท (จารึกหลักที่ 3-4-5-6) และหลวงพ่อศรีศรัทธา (หลักที่ 2, 11 และตำนานพระปฐม-พระประโทน) ได้ติดต่อลังกาโดยตรงผ่านเมืองท่าในพม่าตอนใต้ จึงได้รับลังกาวงศ์เป็นแบบแผนพระศาสนาที่สมบูรณ์?

ในการทบทวนหลักฐานครั้งใหม่นี้ ผมยังอาศัยลายลักษณ์อักษร (จารึกและตำนาน) บ้าง แต่ด้วยเหตุว่าเป็นการรวบรวมภาพสิ่งของเพื่อประกอบนิทรรศการ ผมจึงได้โอกาสพิจารณาสิ่งของเหล่านี้ด้วยสายตาใหม่ ไม่ว่าสิ่งของเหล่านั้นจะมีเอกสารรับรองหรือไม่

จากการศึกษาภาพสิ่งของโดยเทียบกับเอกสารเท่าที่มีอยู่ ผมเข้าใจว่า พุทธศาสนาจากลังกาเข้ามาในสยามอย่างน้อยสามครั้งใหญ่ๆ เพื่อไม่ให้ปะปนกันผมขอแยกเป็นสามบทดังนี้

บทที่ 1 สมัยทวารวดี (ราวๆ พุทธศตวรรษที่ 10-15)

ภาพชุดที่ 1 ที่เจดีย์ “คลังกลาง” มีรูปแคระแบกที่คล้ายกับแคระแบกที่กรุงอนุราธปุระ (ต่างกับแคระแบกในอินเดีย)

ภาพชุดที่ 2 ที่เมืองศรีมโหสถ ปราจีนบุรี มีอัฒจันทร์ตีนบันไดที่มีทั่วไปในลังกาแต่หายากมากในอินเดีย

ภาพชุดที่ 3 ที่วัดสระมรกต มีพระพุทธบาทคู่คล้ายที่นิยมในลังกา ถูกฝังใต้อาคารคล้ายพระเจดีย์อภัยคีรี กรุงอนุราธปุระ ที่ตำนานว่าสร้างทับพระพุทธบาทคู่

เอกสารกำกับ

จารึกเนินบัว (วัดสระมรกต) ภาษาบาลี ระบุปี ม.ศ. 683 (พ.ศ. 1304) ประกอบด้วยบทที่ 2-3-4 ของพระคัมภีร์ “เตลกฐาหะคาถา” (คาถากระทะน้ำมัน) บทที่ 2-3-4 ที่ปรากฏในจารึกเนินสระบัว ประกอบด้วยการนมัสการพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตามลำดับ แต่พระคาถาบทที่ 1 (ที่ไม่ปรากฏในจารึก) ขึ้นต้นว่า

“ลํกิสฺสโร…” คือ “พระเจ้ากรุงลังกาผู้ทรงพระคุณจงสดับพระคาถานมัสการพระรัตนตรัย ดังนี้…”

ผมจึงเชื่อว่า สยามรู้จักพุทธศาสนาจากลังกาอย่างน้อยตั้งแต่สมัยทวารวดี อย่างไรก็ตาม เราไม่อาจจะติดตามวิวัฒนาการเรื่องนี้ได้เพราะหลักฐาน (ทั้งภาพและเอกสาร) ขาดหายไป

บทที่ 2 สมัย “ขอม” (ราวพุทธศตวรรษที่ 15-20)

ใครๆ ก็รู้ว่าเมืองขอม/เขมรนับถือพราหมณ์และพุทธศาสนาแบบมหายาน/วชิรยาน อย่างไรก็ตามหากใช้สายตาจะเห็นว่าพระพุทธรูปเขมรโบราณส่วนใหญ่จะเป็นพระนั่งสมาธิราบแบบที่นิยมในลังกา ผิดกับพระมารวิชัยนั่งสมาธิเพชรแบบอินเดียเหนือที่ชาวมหายาน/วัชรยานนิยม

ทำไม? ผมไม่รู้

ภาพชุดที่ 1 พระประธานในปรางค์ประธานปราสาทพระขรรค์ของชัยวรมันที่ 7 (พ.ศ. 1724-1753) ไม่ใช่พระพุทธรูปแต่เป็นพระสถูปทรงลังกาแบบรุ่นเก่าๆ (องค์ระฆังป้อมๆ มากกว่ากลม) คล้ายพระสถูปลังกาสมัยโปโลนนารุวะ ที่พอเทียบได้กับพระบรมธาตุเจดีย์ เมืองนครศรีธรรมราช (พ.ศ. 1719 ตามตำนานพระธาตุฯ) และพระเจดีย์น้อยในนิสสังกะลัดดามณฑป (พ.ศ. 1730-1739) ที่กรุงโปโลนนารุวะ

จารึกพระขรรค์ของชัยวรมันที่ 7 ว่านี่คือวัดเฉลิมพระเกียรติพระบิดา และน่าจะเป็นที่ประดิษฐานพระอัฐิแล้วทำไมจึงประดิษฐานพระอัฐิในสถูปทรงลังกา? ฝรั่งเศสแก้ว่าสถูปองค์นี้คงจะเป็นของคนไทยทำขึ้นมาใหม่หลังปราบปรามเมืองเขมรแล้ว (คือราวพุทธศตวรรษที่ 21-22)

ผมขอโต้แย้งว่า

ก. คนไทยเคยรื้อพระพุทธรูปประธานแล้วสร้างพระสถูปแทนเมื่อไร?

ข. พระสถูปเป็นที่ประดิษฐานพระอัฐิธาตุของใครที่นครธมในพุทธศตวรรษที่ 21-22?

ค. ถึงพุทธศตวรรษที่ 21-22 ทั้งไทยและเขมรนิยมสร้างเจดีย์สูงชะลูด ใครที่ไหนจะมาสร้างเจดีย์มีองค์ระฆังป้อมๆ ?

ผมจึงสรุปว่า พระสถูปหินทรงลังกาที่เป็นองค์ประธานในปราสาทพระขรรค์ น่าจะเป็นของเดิมที่ชัยวรมันที่ 7 สร้างถวายพระบิดาในพุทธศตวรรษที่ 18

ภาพชุดที่ 2 การลืมตาเป็นสัญลักษณ์แห่งชีวิตและความรับรู้ เทวรูปและพระพุทธรูปล้วนลืมตาเพราะเป็น “ผู้ตื่น” และ “ผู้รู้” พระมหากษัตริย์ยิ่งแล้วใหญ่ หลับตาไม่ได้ แล้วพระมหากษัตริย์ที่ไหนเคยอนุญาตให้ช่างสร้างรูปเหมือนหลับตา? ผมทบทวนศิลปะเอเชียและศิลปะโลกแล้วเห็นมีเพียงองค์เดียว คือชัยวรมันที่ 7 (พ.ศ. 1724-1753)

ผมเข้าใจจากภาพเหล่านี้ว่า ชัยวรมันที่ 7 น่าจะเป็นคนจิตใจสูงที่เข้าถึงแก่นธรรม (ที่ฝรั่งเรียกว่า Mystic) ท่านจึงกล้าให้ช่างสลักรูปท่านหลับตา แสดงถึงวิมุตติสุข หรือการเข้าสมาธิ มีปีติและความสงบ

เป็นที่น่าสังเกตว่า พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เป็นคนล่ำสันไหล่กว้าง มีท่าทีจะลงพุงเล็กน้อยตั้งแต่ยังหนุ่ม มีปากหนา จมูกไม่โด่ง กระดูกกะโหลกหน้าผากเป็นสันใต้คิ้ว และหลับตา เราจะหารูปทำนองนี้ได้ที่ไหนอีกเล่า?

ภาพชุดที่ 3 ใกล้กรุงโปโลนนารุวะในเกาะลังกา มีหน้าผาสลักเป็นรูปราชบุรุษมีอายุ สง่างาม

บุรุษคนนี้รูปหล่อแม้จะอายุมาก ลงพุงเล็กน้อย ปากหนา จมูกไม่โด่ง กะโหลกหน้าผากเป็นสันใต้คิ้ว และหลับตา

ท่านเป็นใคร?

ไม่มีใครรู้เพราะไม่มีจารึกกำกับ นักปราชญ์ชาวลังกามักเหมาว่า นี่คือพระเจ้าปรากรมพาหุที่ 1 (“พระร่วง” ของลังกา) แต่ผมเทียบภาพที่ 14-15 กับภาพที่ 10-11 แล้วอยากเสนอว่านี่น่าจะเป็นคนเดียวกัน เป็นไปได้ไหมว่า ภาพที่ 10-11 (จากนครธม) คือชัยวรมันที่ 7 ตอนหนุ่ม และภาพที่ 14-15 (จากโปโลนนารุวะ) คือชัยวรมันที่ 7 ตอนปลายชีวิต?

ภาพชุดที่ 4 รูปราชบุรุษที่ว่านี้หันหน้าไปที่วัดร้างแห่งหนึ่งที่ชาวบ้านเรียกว่า “โปตคุลวิหาร” (วัดบรรณาลัย) ท่านผู้อ่านควรทราบว่าสถาปนิกลังกามักสร้างวัดตามแต่ภูมิประเทศจะอำนวยโดยไม่สนใจการเข้าระเบียบขนานซ้าย-ขวา (Symmetry) ผิดกับสถาปนิกเขมรที่ถือ Symmetry เป็นที่หนึ่ง วัดโบราณของลังกาทุกแห่งมีแผนผังแบบ “กระจาย” ตามแต่สะดวกจะสร้าง มีแต่วัดโปตคุลวิหารเท่านั้นที่มีแผนผัง Symmetrical

ตั้งแต่ ค.ศ. 1906 อธิบดีกรมโบราณคดีลังกาชื่อ H.C.P. Bell เคยสังเกตว่าวัดโปตคุลวิหารนี้ผิดหลักสถาปัตยกรรมลังกาทั้งหมด แต่เข้าระเบียบสถาปัตยกรรมเขมรได้สะดวก (ดู Epigraphia Zeilanica vol. 2)

เอกสารกำกับ

ตำนานจุลวงศ์ (บทที่ 76) ระบุว่าพระเจ้าปรากรมพาหุที่ 1 (พ.ศ. 1686-1729) เคยส่งพระธิดาไปยังกัมโพชเทศซึ่งน่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนกัน ทำให้ทั้งสองราชวงศ์เป็นพระญาติ ในปี 1708 เกิดความขัดแย้งทางการค้ากับรามัญเทศท่านจึงส่งทัพเรือไปย่ำยีเมืองมอญ ซึ่งเป็นไปไม่ได้หากท่านไม่มีสัมพันธมิตรในอุษาคเนย์มาสมทบ ในปีเดียวกันท่านยังปฏิรูปพระศาสนา (นิกายสามัคคี รวมสามนิกายให้เป็นหนึ่งใต้อำนาจพระมหาเถรองค์เดียวซึ่งต่อมากลายเป็นสถาบันสังฆราช)

จารึกพระเจ้านิสสังกะมัลละ (พ.ศ. 1730-1739) ระบุว่าสร้างพระราชไมตรีกับรามัญและกัมโพช

จารึกกัลยาณีสีมา (เมืองสะเทิม) ระบุว่า ท่านจปฎะ (ชาวมอญ) ออกไปบวชใหม่ในลังกาทวีประหว่าง 1723 ถึง 1733 ได้คบหาและกลับมาพร้อมกับพระสหายชื่อพระตามลินทะ ซึ่งเป็นกัมโพชราชบุตร

ตำนานพระแก้วมรกต (รัตนพิมพ์วงศ์) ว่า พระแก้วมรกตเสด็จจากลังกาเข้าเมืองนครธมก่อน จึงค่อยเสด็จมาอโยชฌปุระ แล้วขึ้นไปเมืองเหนือ

พระราชพงศาวดารลาว มีความว่า เจ้าฟ้างุ้มนำพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์เข้ามาประดิษฐานในเมืองล้านช้าง จากเมืองเขมรในพุทธศตวรรษที่ 19-20

จดหมายเหตุราชทูตลังกา พ.ศ. 2296 มีความว่า “เมืองนครฯ นี้เป็นเมืองใหญ่ชื่อปาฏลีบุตร มีกำแพงล้อมรอบ กลางเมืองมีเจดีย์ใหญ่เท่ารุวันแวลิเจดีย์ในเมืองโปโลนนารุวะ พระเจ้าศรีธรรมาโศก สร้างเพื่อบรรจุพระธาตุพระพุทธเจ้า จากยอดลงมาถึงมาลัยเถาปิดทองล้วนไม่มีตำหนิ รอบพระเจดีย์มีพระพุทธรูป 300 องค์ ทั้งยืน นั่ง และนอน มีเจดีย์น้อย สูง 9 ศอกบ้าง 11 ศอกบ้าง และยังมีต้นโพธิ์ที่อัญเชิญมาจากอนุราธปุระ โดยพระเจ้าศรีธรรมาโศกผู้น้องที่ครองราชย์ที่นี่ต่อมา”

สรุปเบื้องต้น

เราไม่มีเอกสารโบราณระบุว่าพุทธศาสนาลังกาวงศ์เข้ามาถึงเขมรในพุทธศตวรรษที่ 18 ผ่านนครศรีธรรมราช อย่างไรก็ตาม ผมขอเสนอจากหลักฐานวัตถุสิ่งของที่เหลือให้เห็นด้วยตา (ที่มีเอกสารรองรับบ้าง แม้ไม่เป็นหลักฐานผูกมัด) ว่าดังนี้

ก. ในพุทธศตวรรษที่ 18 มีการไปมาหาสู่กันระหว่างนครธมกรุงกัมพูชากับนครโปโลนนารุวะกรุงลังกา และน่าจะไปมาหาสู่กันผ่านนครศรีธรรมราช

ข. ราชวงศ์พระเจ้าปรากรมพาหุที่ 1 กับราชวงศ์พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 น่าจะเป็นพระญาติกัน และอาจจะเป็นมาตั้งแต่ก่อนรัชกาลของท่านทั้งสอง

ค. พุทธศาสนา ลังกาวงศ์ ระลอกแรก (หลังการปฏิรูปศาสนาของพระเจ้าปรากรมพาหุ) น่าจะเป็นที่รู้จักกันนครธมในพุทธศตวรรษที่ 18 พร้อมๆ กับที่ท่านจปฏะนำพระศาสนาไปประดิษฐานในเมืองรามัญ

ฆ. ต่อมาพระศาสนาคงจะแผ่จากนครธมไปทางเหนือ (ลาว) และตะวันตก (สยาม) แล้ว “ชน” กับ ลังกาวงศ์ อีกระลอกหนึ่งที่เข้ามาทางรามัญเทศที่สุโขทัยในพุทธศตวรรษที่ 19-20

บทที่ 3 สมัยสุโขทัย (พุทธศตวรรษที่ 19 ขึ้นมา)

ประวัติศาสตร์ท่อนนี้ค่อนข้างมีเอกสารสนับสนุนมากพอสมควร ผมจึงไม่จำเป็นต้องรายงานรายละเอียดมากนักหนา อย่างไรก็ตามกระแสประวัติศาสตร์ “รักชาติ” ทำให้สายตาสั้นไป (สุโขทัยโดดเด่น ไม่มีสัมพันธ์กับโลกลาว-เขมร-มอญ-พม่า) หรือสายตายาวไป (สุโขทัยมีอำนาจปกครองตั้งแต่สิบสองพันนาถึงเกาะสิงคโปร์) และชวนให้คนมองข้ามหลักฐานสิ่งของที่เห็นด้วยตา

ภาพชุดที่ 1 ที่สุโขทัยและเมืองบริวาร (ซึ่งอยู่ในวงแคบไม่กี่ร้อยกิโลเมตร) มีพระเจดีย์สองชนิดที่มีรูปร่างเข้ากันไม่ได้ คือพระเจดีย์ยอดทรงข้าวบิณฑ์ และพระเจดีย์ทรงลังกา

จนทุกวันนี้ไมมีใครอธิบายได้ว่า เจดีย์ทรงข้าวบิณฑ์คืออะไร มาจากไหน? อย่างมากท่านว่า เจดีย์แบบนี้คงเกิดโดยโอปปาติกะจาก “จิตวิญญาณ” และ “ค่านิยม” ของคนไทย

อีหลีบ่?

หลักฐานอยู่ที่ไหน? ทำไมเจดีย์ทรงข้าวบิณฑ์จึงขี้เหร่จนคนรุ่นหลังไม่เอาเยี่ยงอย่าง?

เป็นไปได้ไหมว่าพระเจดีย์ทรงข้าวบิณฑ์เกิดได้เฉพาะจากเงื่อนไขที่นั่น (สุโขทัย) เมื่อนั้น (พุทธศตวรรษที่ 19-20) ?

ผมอยากอธิบายว่า พระเจดีย์ทรงข้าวบิณฑ์น่าจะเกิดจากปรางค์เขมรที่อยากดิ้นเป็นพระสถูปแบบลังกา แต่ดิ้นไม่หลุดจากแบบเดิม เจดีย์ทรงข้าวบิณฑ์น่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ของนิกายลังกาวงศ์เก่าที่รับเข้ามาผ่านนครธม

ส่วนพระเจดีย์ทรงลังกาที่สุโขทัยน่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ของนิกายลังกาวงศ์ใหม่ที่พญาลิไทนำเข้ามาจากรามัญเทศ

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่

เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 7 ธันวาคม 2562

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : พุทธศาสนา “ลังกาวงศ์” เข้ามาเมื่อไร? ทางไหน?

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.silpa-mag.com

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...