ขณะก้าวเข้าไปนั่งบนรถ ปิดประตูและกำลังจะเคลื่อนออกจากโรงแรม เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย หรือเรียกสั้นๆ ว่า‘ยาม’ ก็เดินเข้ามายกมือไหว้ใกล้ๆ ประตูรถ
ฉุกคิดขึ้นมาแวบนั้นว่า เราควรจะออกรถไปเลยหรือว่าลดกระจกลงแล้วให้เงินเขาดี
ความคิดแล่นไว นึกในใจโดยอัตโนมัติว่า เขาไม่ควรจะเข้ามาใกล้รถขนาดนี้ เป็นยามคอยโบกรถถอยหลัง หรือดูทางให้ก็น่าจะพอ หากใครคิดจะให้เงินก็คงให้เอง ไม่ต้องมาไหว้ชิดกระจกขนาดนั้น มันดูเหมือนขอทานเกินไปหน่อย
ความที่ไม่รีบร้อนทั้งเห็นใจว่า เขาเป็นคุณลุงอายุมากแล้ว จึงกดกระจกลงมาพลางควานหาเศษเงินในกระเป๋า หมายจะให้เพื่อตัดรำคาญ
คุณลุงยามหยิบสมุดเก่าๆ เล่มหนึ่ง ยื่นให้แล้วพูดเบาๆว่า
“ขอลายเซ็นหน่อยครับ”
.
จริงๆ ลุงคงเห็นผมมาพักที่นี่ เฝ้ามอง และแอบชื่นชม
.
.
พอถึงตอนจะกลับ ก็คงเป็นโอกาสเดียวซึ่งเขาจะได้ขอลายเซ็นเก็บไว้เป็นที่ระลึก
เป็นเรานั่นเองที่ผิดพลาดทางความคิด
ผมหยิบปากกาเซ็นให้ด้วยความยินดี
พลางเตือนตัวเองอีกครั้ง ‘อย่ารีบคิดไปเองนักนะ’ โดยเฉพาะคิดมองคนอื่นๆในแง่ลบ
.
การขอลายเซ็นของคุณลุงยามเช้าวันนั้น เป็นปฏิกิริยาบวกซึ่งเรามีให้ต่อกัน ลุงได้ลายเซ็นเพิ่มพลัง ส่วนผมก็ได้พลังบวกเพิ่มก่อนไปทำงาน
แต่ละรอยยิ้ม แต่ละคำพูด แต่ละการกระทำของเรา ส่งผลต่อคนอื่นๆ รายรอบ แม้จะเล็กๆ น้อยๆ
เราต่างเป็นส่วนหนึ่งซึ่งจะต่อเติมหรือถ่ายเทพลังให้แก่กัน
กี่ครั้งกี่หนที่เราประเมินคนอื่นผิดพลาด เพียงเพราะขาดการสื่อสารอันดี และคิดไปเองว่า ถ้าอาจารย์เรียกพบก็คงจะทำผิดอะไรสักอย่าง ถ้าคนอื่นจับกลุ่มกัน เขาคงจะนินทาเราเป็นแม่นมั่น คำพูดนั้นเขาประชดประชันเรานี่นา ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วเขาอาจจะไม่ได้คิดอะไรเลย
และที่สำคัญแม้เขาจะประชดประชัน แต่ถ้าเราไม่รับสารนั้นมามอบให้จิตวุ่นวาย ก็คล้ายจะไม่จำเป็นต้องเสียพลังกับคำนินทาหรือความไม่ชอบมาพากลเหล่านั้น
.
.
ในแต่ละวันแต่ละโอกาส หากเราสามารถมอบพลังเล็กๆ น้อยๆ ให้แก่ใครก็ตามที่ได้พบเจอก็ควรจะรีบทำทันที
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเราค้นพบบางสิ่งซึ่งเป็นพรสวรรค์ในตัวคนอื่น หรือเมื่อเล็งเห็นว่าเขามีทักษะพิเศษ ย่อมควรจะเอ่ยปากเพื่อบอกหรือกล่าวชม
.
ผมยังจำได้ว่า ย่าจะยินยอมจ่ายเงินเพิ่มขึ้นจากค่าขนมเพื่อให้ผมไปซื้อหนังสือที่มีเนื้อเพลงของนักร้อง แม้คนอื่นอาจจะมองว่าฟุ่มเฟือย
หนังสือรวมเพลงเล่มละไม่กี่บาทก็จริง แต่การที่ย่ายอมให้เงินเป็นพิเศษนั่น เพราะย่าเพียรเห็นพรสวรรค์ในด้านการร้องเพลงของหลาน
อาก็เคยบอกว่าหลานเป็นคนใช้ภาษาได้ดี ตอนมีเหตุทำให้อาไม่ค่อยสบายใจผมไปกล่าวปลอบโยน อาโสภายังจำได้พอเจอหน้าจึงเอ่ยว่า ‘แม้ตอนนั้นหลานจะยังเป็นเด็กแต่ก็เลือกใช้วาจาซึ่งทำให้อารู้สึกดีขึ้นได้ อาจึงบอกว่าหลานน่าจะเป็นนักใช้ภาษาที่ดี’
ตอนเป็นนิสิตช่วงทำค่ายอาสา ได้ไปอยู่ฝ่ายการสอน ต้องสรรหาวิธีการต่างๆ เพื่อจะไม่ให้เด็กนักเรียนเบื่อ ทั้งคุยทั้งเล่นทั้งร้องเพลงกัน จนรุ่นน้องที่สอนด้วยกันพูดออกมาว่า ‘น้องเกื้อว่าพี่น่าจะเป็นศิลปินนะ’
คำพูดเล็กๆ น้อยๆ แต่ตรงประเด็นและชี้ให้เห็นพรสวรรค์ในตัวคนนั้นมีคุณค่ายิ่งนัก
อาจารย์สอนวิชาภาษาเพื่อการสื่อสาร ให้ผมเอางานเขียนไปอ่านหน้าห้องแล้วให้คะแนนบีบวก แต่นอกจากคะแนนแล้ว อาจารย์ยังอวยพร เขียนไว้ใต้กระดาษด้วยลายมือว่า ‘มีแววว่าจะเป็นนักเขียนที่ดี’
เหนือยิ่งกว่าคำทำนายของหมอดู คือคำอวยพรของครูบาอาจารย์มันส่งผล เป็นกำลังใจต่อการทำงานในแต่ละวันและสำคัญต่อการเลือกวิถี
ตั้งแต่อ่านคำชมจากอาจารย์ ผมก็กลายร่างเป็นนักเขียนไปครึ่งตัวแล้ว
กลับไปบ้านนอนตื่นเช้าขึ้นมา ผมก็พยายามจะเป็นนักเขียนที่ดี จากวันนั้นจนบัดนี้
และคุณครูคนที่ควรสำนึกในบุญคุณที่สุดในโลก ก็คือครูซึ่งเอามือลูบหัวแล้วพูดกับเราว่า ‘เธอเป็นเด็กหัวดี’
แม้ผมจะสอบได้คะแนนไม่ดี แต่เมื่อได้เชื่อไปแล้วว่าตัวเองเป็นเด็กหัวดี ชีวิตความคิดของผมก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่เหมือนก่อนหน้านั้นอีกเลย
การปฏิสัมพันธ์ต่อกันนั้น ส่งผลต่ออารมณ์ด้านบวกและลบของเรายิ่งเรามีโอกาสโอภาปราศรัยอยู่ในบรรยากาศที่เสริมส่ง ย่อมจะส่งผลเชื่อมโยง เป็นห่วงโซ่แห่งชีวิต
ไม่ใช่เพียงการพูดจาดีการฟังก็สำคัญไม่แพ้กัน
ยิ่งในยุคสมัยที่ต่างหมกมุ่นอยู่กับมือถือสมาร์ทโฟน อาการสนใจต่อมิตรสหายตรงหน้าก็น้อยลงโดยเราอาจจะไม่รู้ตัวว่า
ความสามารถทางการฟังของเรา ซึ่งแต่เดิมก็ใช่ว่าจะดีอยู่แล้วกลับแย่ลงอีก
ถ้าคุณเลือกแล้วว่าจะใช้เวลาอยู่กับใคร ก็ควรจะให้ความสนใจเขามากกว่าโทรศัพท์
การฟังเป็นการปฐมพยาบาลทางใจที่ดียิ่งนัก
ในแต่ละวันๆ เราจะถูกรบกวนจากเครื่องมือสื่อสารต่างๆ
เข้าออกหน้าจอมือถือ เข้าเน็ต เช็คข้อความ รับสาย เล่นไลน์ ดูเฟซฯ เซลฟี่ กดไลค์ หมุนเวียนไปมา นั่นอาจจะทำให้เรากลายเป็นคนจิตใจเลื่อนลอย จดจ่อแต่หน้าจอ จนขาดความสนใจไม่โฟกัสกับการงาน และนำมาซึ่งความถดถอยเลื่อนลอยของพลังงาน
การตัดขาดจากโลกโซเชี่ยลคงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การรักษาระยะห่างคงจะเป็นสิ่งหนึ่งซึ่งทำให้เรารักษาพลังงานหรือเติมเต็มได้หากเชื่อมโยงกับมันอย่างเหมาะสม
ถ้าคุณเปิดดูเฟซบุ๊กแล้วเริ่มอิจฉาใคร ก็จงถอยออกมาบ้าง
เลือกโพสต์ข้อความที่ส่งผลดี ต่อตัวเองและคนอื่น
ส่วนที่อยากจะบ่นก่นด่า ขอแนะนำให้ใช้สมุดบันทึกส่วนตัว ขีดเขียนระบาย หรือแช่งให้ตายโหงตายห่าด่าหยาบคายแล้วสบายใจ ก็ลองเขียนลงในกระดาษ พับเก็บไว้ หรือจะเอาไปขยำทิ้งเผาก็ตามแต่
.
.
เคยมีจิตแพทย์บางรายแทนที่จะให้ยาผู้ป่วย กลับบอกผู้ป่วยว่าให้ไปเขียนความกลัดกลุ้มบนผืนทราย แล้วคอยดูเวลาคลื่นมันซัดขึ้นมา เขียนไปแล้วก็รอให้คลื่นซัดจนลบเลือน พร้อมฟังเสียงคลื่นซู่ซู่..สู้สู้
ส่วนคนที่เลือกเส้นทางศิลปะบำบัด ก็มีศาสตร์ทั้งวาดทั้งเขียนให้เราเลือก อย่าไปคิดว่าการบำบัดมีไว้สำหรับคนบ้า แค่เริ่มเครียดก็ควรบำบัดเสียก่อน ส่วนถ้าอาการหนักหนาจำต้องใช้การเยียวยา ก็อย่าเพิ่งไปกังวลว่าจิตแพทย์ต้องคู่กับโรคประสาทเสมอไป แค่อาการอ่อนล้าทางใจบางทีเราก็ต้องการตัวช่วย
โดยส่วนตัวแล้วผมมักบำบัดตัวเองด้วยการอ่านหนังสือ การหลุดเข้าไปในโลกของตัวอักษรและตัวละคร ช่วยให้นำมาเป็นบทเรียน หรือบางทีจินตนาการซึ่งเรามีต่อภาษาสวยๆ ก็ช่วยยกระดับจิตใจ เติมเต็มส่วนที่บกพร่องของเราได้
การสืบค้นประวัติของผู้คนต่างๆ อาจเป็นชีวิตจิตใจของคนซึ่งเคยล้มเหลว เคยผ่านประสบการณ์ละม้ายคล้ายหรือต่างจากเรา คนเหล่านั้นเขาผ่านพ้นช่วงชีวิตแต่ละห้วงขณะนั้นมาได้อย่างไร
ปัจจุบันมีศาสตร์ที่เรียกว่า‘บรรณบำบัด’เกิดขึ้น ใช้กับผู้คนอ่อนล้าหรือมีปัญหาทางใจ บรรณารักษ์ก็จะแนะนำหนังสือที่พอเหมาะกับสภาพจิตใจตอนนั้นให้นำกลับไปอ่าน เป็นงานอันมีคุณค่า ทั้งน่าสนใจยิ่ง
.
การได้ทำงานที่เราชอบกับคนที่เรารัก ย่อมเป็นอุดมคติ
.
.
แต่ในความเป็นจริง งานที่เราชอบอาจต้องทำกับคนที่เราไม่ค่อยรัก หรือกับคนที่เรารักกลับเป็นงานที่เรายังไม่ชอบ
จำเป็นอย่างยิ่งว่าเราต้องมองเป้าหมายของงานหรือกิจกรรมซึ่งมีเราเป็นส่วนหนึ่งนั้น มองให้เห็นเป็นภารกิจที่ดีต่อโลกใบนี้ ยิ่งเห็นเป้าหมาย ยิ่งเราเห็นคุณค่าดีๆ ในเนื้องาน
ยามเมื่อเราเหนื่อยล้า เป้าหมายจะกลายเป็นพลังให้เราอยากทำต่อ
การงานอันมีเป้าหมายชวนชื่นใจ ทำแล้วเห็นคุณค่าว่าได้ประโยชน์ต่อใครๆ นั่นแหละที่ทำให้เราเกิดพลังใจยิ่งๆ ขึ้นไป
ลองนึกถึงการชาร์จแบตโทรศัพท์ที่ใช้จนใกล้หมดแล้วค่อยนำมาชาร์จ เทียบกับแบตเตอรี่รถซึ่งเมื่อขับเคลื่อนเครื่องยนต์ยิ่งวงล้อหมุนไป แบตเตอรี่ก็ทำการชาร์จไฟไปด้วยในตัว
การจอดทิ้งไว้ต่างหากที่ทำให้แบตเตอรี่หมดไฟ
ความเห็น 4
ผมคิดว่าจริงดั่งที่คุณศุได้กล่าวเอาไว้นะครับ ว่าถ้าเราไม่ไปอคติกับในสิ่งที่เรากำลังคิดอยู่ก่อนที่จะได้สัมผัสกับในความเป็นจริงแล้ว ก็ย่อมที่จะทำให้เกิดจิตอันเป็นกุศล และก็มีความสุขเกิดขึ้นมาได้เสมอครับ.
20 พ.ย. 2562 เวลา 22.32 น.
Yong
พูดถึงการได้ยินการเห็นการได้กลิ่นซึ่งเป็นสัญชาตญาณสัตว์เช่นสุนัขจะมีการได้ยินและได้กลิ่นดีกว่ามนุษย์มนุษย์ที่ว่าเป็นสัตว์ประเสริฐนั้นเน้นไปที่ใจคือสามารถพัฒนาให้เป็นผู้มีใจสูงคือสามารถพัฒนาความสงบความสว่างความบริสุทธิ์แห่งจิตได้ด้วยการเรียนรู้เจริญปัญญาจากการฟังและใคร่ครวญตลอดถึงความเห็นแจ้งด้วยการทำกรรมฐานการงานของจิตในขณะที่เห็นจิตเปลี่ยนแปลงอันนี้เป็นสิ่งที่สัตว์เดรัจฉานยังไม่สามารถตื่นขึ้นมาจากความหลงได้เพราะใจมันหลงไปด้วยอวิชาจึงทำให้กระทำสิ่งที่ไม่ควรทำนำไปสู่วิบากกรรมอันเป็นทุกข์
01 ธ.ค. 2562 เวลา 04.25 น.
wirat
ลุงยามนี้น่าเอ็นดู
แต่ลุงที่ธรรมเนียบ น่าเอือมระอา
16 ธ.ค. 2562 เวลา 15.13 น.
april73
เริ่มต้นก็ผิดแล้วเพราะคุณแหละมีอคติ
นี่ล่ะคนมีเงิน เคยเจอมาแล้ว แบบนี้
22 พ.ย. 2562 เวลา 08.46 น.
ดูทั้งหมด