โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

อภิญญา ตะวันออก : จากอุณาโลม-จตุรมุขถึงบายน-พนมเปญ

มติชนสุดสัปดาห์

อัพเดต 12 ธ.ค. 2562 เวลา 08.25 น. • เผยแพร่ 12 ธ.ค. 2562 เวลา 08.25 น.

อุณาโลม-อารามเขมรแห่งแรกที่ฉันประทับใจในการไปเยือนพนมเปญครั้งอดีต และที่นี่เองที่ฉันได้พบภิกษุชราผู้รอดชีวิตจากสมัยเขมรแดง

การได้กลับไปเห็นภิกษุรูปนี้จำวัดอุณาโลมกระทั่งมรณภาพ (ราวปี พ.ศ.2541)

แต่น่าประหลาดใจ ที่พบว่า ฉันไม่เคยเขียนหัวข้อใดๆ ในทางตรงเกี่ยวกับวัดอุณาโลมมาก่อน แต่ก็มากมายในเรื่องที่เป็นทางอ้อม ไม่ว่ากรณี “ปฏิวัติร่ม” และ “พุทธศาสนาบัณฑิต” ซึ่งล้วนแต่เกี่ยวกับวัดแห่งนี้ในแง่ตัวบุคคล พลันเรื่องล้นๆ เกี่ยวกับวัดอุณาโลมก็โลดแล่นไปตามวิถีประวัติศาสตร์

นั่นคือความจริงที่เต็มไปด้วยความลึกลับในวัดอุณาโลมแห่งนี้

ทว่ายังมีอีกหลายสิ่งที่เป็นปริศนา ไม่ว่าจะเป็นการที่รูปจำหลัก “พระเจ้าขี้เรือน” (เสด็จกุ่มล้ง) ซึ่งตั้งเยื้องวัดอุณาโลมบริเวณท่าแพสีโสวัตถิ์เก่า นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เหมือนกับที่เมื่อหลายปีก่อน ข่าวทรัพย์สินทองคำบางรายในหอเจดีย์ที่สูญหายไปอย่างมีเงื่อนงำ

ทว่าในที่สุดรายการโจรกรรมเหล่านั้นกลับถูกส่งคืน เช่นเดียวกับคดีที่ไม่ได้รับการเปิดเผยมาจนบัดนี้

 

สําหรับฉัน นั่นก็ยังไม่ลึกลับและเร้าใจเท่ากับที่อ็องรี มาแชล เคยให้ข้อสันนิษฐานว่า วัดอุณาโลมแห่งนี้น่าจะเก่าแก่ร่วมสมัยเมืองพระนครและสร้างขึ้นราวปลายคริสต์ศตวรรษที่ 12 หรือต้นคริสต์ศตวรรษที่ 13 (2461) โดยไม่จัดไว้ในหมวดศิลปะยุคใด (ancien inconnu)

และเท่ากับประกาศว่า อารามอุณาโลมที่เห็นอยู่นี้มีความเก่าแก่กว่ากรุงพนมเปญเมืองหลวงที่ตั้งรกรากครั้งแรกในคริสต์ศตวรรษที่ 15 และกลับมาสถาปนาอย่างถาวรในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19

โดยนอกจากนครหลวงพนมเปญจะมาทีหลังอุณาโลมอารามแล้ว ยังเปลี่ยนหน้าตาให้วัดแห่งนี้กลายเป็นวัดพุทธอย่างปัจจุบันอีกด้วย

กระนั้น ทฤษฎีของอ็องรี มาแชล ต่างหากที่มีส่วนทำให้เกิดความเห็นต่างในหมู่นักประวัติศาสตร์ยุคหลัง โดยเฉพาะข้อสันนิษฐานบริเวณใจกลางของวัด ซึ่งมีลักษณะเป็นวิหารสี่ด้านทรงเหลี่ยมจัตุรัสก่อจากหินทราย อันเป็นวัสดุที่พบทั่วไปในวิหารปราสาทนครธม ไม่เท่านั้น ยังพบศิลาแลงขนาดเดียวกันบริเวณกำแพงวัดอีกด้วย

นับเป็นการสันนิษฐานที่นักประวัติศาสตร์ยุคหลัง นอกจากไม่ให้ความสนใจแล้ว ยังมองข้ามข้อเท็จจริงบางด้านที่พบว่า กษัตริย์วรมันสมัยเมืองพระนครแห่งเสียมเรียบเคยย้ายราชธานีเพื่อหนีการคุกคามจากสยาม

และนั่นก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 15 ที่ฝั่งตะวันออกแม่น้ำโขงได้กลายเป็นราชธานีชั่วคราว ทั้งหมด 3 แห่งมาก่อน คือ สรัยสันธอร์ (กำปงจาม) โพธิสัตว์ และพนมเปญซึ่งตั้งริมฝั่งแม่น้ำจตุรมุข

ก่อนที่พระบาทองค์ด้วงโดยอุปถัมภ์จากราชวงศ์สยามจะตั้งราชธานีใหม่ให้ที่กรุงอุดงค์

พนมเปญราวปี พ.ศ.1986 จากราชธานีสั้นๆ กลับมาผงาดอีกครั้ง ในฐานะราชธานีถาวรราวปี พ.ศ.2404

หากว่าการตั้งรกรากชุมชนบริเวณแม่น้ำจตุรมุข ซึ่งมีมาแต่ครั้งปี 1915 แล้ว ก็เป็นไปได้ว่า “อุณาโลมอาราม” น่าจะมีอายุราว 600 กว่าปี ที่แสดงให้เห็นว่าอิทธิพลศิลปะขอมแบบบายนขยายมาจรดภาคตะวันออกของประเทศ ซึ่งคือร่องรอยของการสร้างเป็นพระวิหารพรหม 4 หน้าริมฝั่งจตุรมุขจำนวนหนึ่ง

ทว่าเมื่อหลายร้อยปีผ่านไป อารามวิหารเหล่านั้นได้ถูกภัยธรรมชาติคุกคามจากน้ำท่วมบ่า การกัดเซาะริมตลิ่ง จนเทวสถานเหล่านั้น ปรักพังและสาบสูญ

 

เมื่อจตุรมุขบริเวณกลายเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่หลังปี พ.ศ.2408 อุณาโลมก็ได้รับการฟื้นฟูเป็นลำดับ อีกเขื่อนแม่น้ำจตุรมุขที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นท่าเรือและกันการกัดเซาะสมัยนิคมฝรั่งเศส และรอดพ้นระเบิดของพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 2 ล้วนธำรงให้อารามแห่งนี้เหลือรอดถึงปัจจุบัน

กระนั้น ความโดดเด่นอารามแห่งนี้ กลับอุณาโลม (เดิม) เริ่มถูกบดบังในรูปสถาปัตยกรรมแบบพุทธ อันมาพร้อมกับคติการสร้างกรุงพนมเปญยุคหลัง

แต่อุณาโลมยังกลับมาผงาด เมื่อข้อสันนิษฐานของอ็องรี มาแชล ได้ถูกนำมารื้อฟื้นโดยโอลิวิเยร์ เดอ เบร์น็อง (2544) ผู้ลงมือศึกษาอารามเดิมอย่างจริงจัง กระทั่งพบว่ามีบางอย่างที่ถูกอำพรางตามที่มาแชลให้ไว้จริงๆ

เริ่มจากวิหารปราสาทที่น่าจะเป็นวิหารจตุรมุข (พรหมสี่หน้า) ซึ่งเชื่อว่ายังคงสภาพเดิมในปี พ.ศ.2410 ได้ถูกศิลปะขั้นสูงแขนงใหม่ต่อยอดส่วนนี้ ในปี พ.ศ.2424 แต่บูรณะดังกล่าวมิใช่เกิดครั้งแรกแต่ที่วัดอุณาโลม หากแต่บนแหลมจโรยจังวาซึ่งเยื้องอุณาโลมไปนั้น มีวัดชื่อ “ประจุมสาคร” ที่ได้รับการบูรณะในลักษณะเดียวกัน (บูรโน บูรกีเยร์-จูลิเยตต์ ลาครัวซ์ : Guide arch?ologique du Cambodge : Phnom Penh et les provinces m?ridionales,ไรยุม/2552)

ข้อศึกษาหนึ่งคือ การที่องค์วิหารทรงพีระมิดที่หันหน้าไปทางทิศตะวันออกนั้น พบว่าไม่มีการเชื่อมต่อกับพื้นที่บริเวณโถงกลางจากส่วนอื่น ทำให้สันนิษฐานว่า หรือนี่จะเป็นหอคอยของการเก็บศพตามลัทธิศาสนาในอดีต (?)

ในทางกลับกัน ทวารประตูกลับมีลักษณะที่ต่ำกว่าพื้นทั่วไป จึงทำให้พื้นธรณีประตูถูกยกสูงขึ้น และหน้าบันประดับด้วยทับหลังพระพุทธรูปปางไสยาสน์และปิดทับด้วยทองเปลวนั้นน่าจะมาจากการเคลื่อนที่ของเวลาและการบูรณะดังที่เคยพบในปราสาทบางแห่ง เช่นเดียวกับประตูหลอกอีกด้านหนึ่ง ดังเช่นปราสาทวัดนครเมืองกำปงจาม และปราสาทรองอีกแห่งหนึ่งของปราสาทพระขรรค์ ซึ่งน่าจะเกี่ยวกับคำว่า โพธิโลม (pothilom) พระเกศา และโลมา (loma) จุดกลางหน้าผากที่ใช้ประทับเจิมในวรรณะพราหมณ์ อันเป็นที่มาของอารามแห่งนี้

นอกจากนี้ยังพบว่าการบูรณะยุคหลังเฉพาะวิหารทรงพีระมิดที่ก่ออิฐทับซ้อนเป็นรูปทรงเจดีย์ ครอบไว้อย่างเนียบเนียนแล้ว ยังพบอีกว่าการบูรณะดังกล่าว น่าจะรับอิทธิพลศิลปะนครวัดอีกด้วย สังเกตจากทรงปรางค์เจดีย์ที่มีลักษณะแบบเดียวกับวิมานเอกราช

กระนั้น การนำพาให้อุณาโลมอารามกลับไปสู่อัตลักษณ์เก่าที่เกิดจากการบูรณะครั้งล่า ณ บริเวณเจดีย์ตะวันตกและทิศเหนือ เริ่มจากการชำระล้างคราบสีทองบริเวณด้านในของหอปราสาท เหลือไว้แต่ศิลาแลงที่เปลือยเปล่าเป็นก้อนปรุพรุนตามสภาพกาลเวลา

อย่างน่าประทับใจ อุณาโลมในภาคนี้ ในทันทีที่ศิลาแลงถูกขัดล้างสีออกจนหมด พลันความรู้สึกแบบยืนอยู่ในมุมหนึ่งของศิลปะขอมยุคกลางก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

 

อุณาโลมจึงเป็นอนุสรณ์ของการเปลี่ยนถ่ายอารยธรรม จากอารยธรรมเมืองพระนครสู่อิทธิพลพุทธศาสนา ที่กลายเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ไปแล้วในปัจจุบัน

เช่นเดียวกับรูปปั้นจำลอง “เสด็จกุ่มล้ง” (พระเจ้าขี้เรื้อน/Roi l?preux) ประดิษฐานบริเวณลาน “เพนียด” เมืองนครธม ซึ่งเทวรูปจำลององค์ซึ่งประทับบริเวณลานดินเยื้องวัดอุณาโลมหรือท่าแพสีโสวัตถิ์เก่า หากย้อนดู พระเจ้าขี้เรื้อนตามหลักฐานที่ยอร์จ เซเดส อ้าง (2456) คือตัวแทนกษัตริย์ที่ได้รับการแต่งตั้งในฐานะ “ผู้พิทักษ์ดินแดน” หรือ “เนียะตาปราบ” ในภาษาเขมร

ไม่แน่ชัดว่า รูปปั้นจำลองหน้าวัดอุณาโลมองค์นี้ จะเป็นองค์เดียวกับ “เนียะตาปราบ” ตามจารึกหรือไม่

แต่ความเป็นมาของอุณาโลมและแม่น้ำจตุรมุขแห่งนี้ยังเชื่อมโยงกับวิหารพรหม 4 หน้า ศิลาแลงฯ และอัตลักษณ์อื่นๆ ซึ่งเกี่ยวกับศิลปะเมืองพระนคร

เช่นเดียวกับแหล่งโบราณสถาน ซึ่งกระจัดกระจายไปตามเขตตะวันออกและตอนล่างของกรุงพนมเปญ จากตอนบนจนจรดตอนล่างของจังหวัดกำโปด

ดูเหมือนเทวสถานสมัยเมืองพระนครยังปรากฏอยู่ทั่วไป ทั้งตามชุมชนท้องถิ่น เนินพนมอันห่างไกล และที่ซึ่งพิธีกรรมแบบพุทธ-พราหมณ์ยังคงดำเนินไป

อย่างสถิตสถาพร-บนครรลองเปลี่ยนแปลงนี้

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...