โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

หุ้น การลงทุน

เปิดมุมมอง "นักวิเคราะห์" กรณี Moody’s ปรับลด Outlook ธนาคารไทย

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 02 พ.ค. เวลา 08.43 น. • เผยแพร่ 02 พ.ค. เวลา 04.30 น.
แฟ้มภาพ

เปิดมุมมองนักวิเคราะห์ “บล.เอเซีย พลัส” กรณี Moody’s ปรับลด Outlook ธนาคารไทย มองลบเชิงเซนติเมนต์ ทางพื้นฐานผลกระทบต่อ Cost of Fund จำกัด เหตุสัดส่วนใช้แหล่งทุนจากตราสารหนี้ไม่สูงเทียบหนี้ที่มีดอกเบี้ย

นายภาสกร หวังวิวัฒน์เจริญ นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด รายงานว่า ตามที่เมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2568 ทางบริษัทจัดอันดับเครดิต “มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส” (Moody’s) ได้ปรับลดมุมมอง (Outlook) ความน่าเชื่อถือของสถาบันการเงินไทย 7 แห่ง เป็นลบ (Negative) จากคงที่ (Stable) บนอันดับความน่าเชื่อถือเดิม (ส่วนใหญ่อยู่ที่ระดับ Baa1-Baa2 เทียบเท่า BBB ถึง BBB+) ได้แก่

  • ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL)
  • ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM)
  • ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK)
  • ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB)
  • ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB)
  • บริษัท เอสซีบี เอ็กซ์ จำกัด (มหาชน) (SCBX)
  • ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) (TTB)

โดยการปรับลดมุมมองต่อกลุ่มธนาคารครั้งนี้ เป็นไปตามการปรับลดมุมมองเครดิตของประเทศไทย

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยมองลบเชิง Sentiment อย่างไรก็ดี ทางพื้นฐาน ผลกระทบต่อต้นทุนทางการเงิน (Cost of Fund) ของธนาคารตามรายชื่อข้างต้นจำกัด แม้ในกรณีที่ข้างหน้าถูกปรับลดเครดิตเรตติ้งก็ตาม เหตุเพราะสัดส่วนการใช้แหล่งเงินทุนจากตราสารหนี้ของกลุ่มไม่สูงเมื่อเทียบกับหนี้ที่มีดอกเบี้ย (เงินฝาก : Interbank ฝั่งหนี้สิน : หุ้นกู้ อยู่ที่ 88%, 8%, 4%)

โดย BBL มีการใช้ตราสารหนี้ราว 7% ของแหล่งเงินทุน ตามด้วย KTB และ SCB ราว 4% ส่วน KBANK และ TTB อยู่ที่ 2% ของแหล่งเงินทุน

สำหรับระดับเงินกองทุนขั้นที่ 1 เฉลี่ยอยู่ที่ราว 18% สูงเกินเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ 8.5% (KKP และ TISCO) และ 9.5% (6 ธนาคารใหญ่ ที่ถูกจัดเป็นธนาคารที่มีความสำคัญเชิงระบบ (D-SIBS) อย่าง BAY, BBL, KBANK, KTB, SCB และ TTB)

ด้านความเพียงพอของสำรองสะท้อนผ่าน Coverage Ratio เฉลี่ยกลุ่ม อยู่ที่ 180% (3 อันดับแรก BBL 300%, KTB 182% และ TISCO 154%) ภาพรวมประเมินสถานะงบดุลยังอยู่ในเกณฑ์ดี คงประมาณการกำไรสุทธิกลุ่ม (8 ธนาคาร) ที่ 2.4 แสนล้านบาท ทรงตัวเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) กำไรสุทธิไตรมาส 1/2568 คิดเป็นสัดส่วน 27% ของประมาณการทั้งปี) ซึ่งได้รวมผลของการลดดอกเบี้ยนโยบายรอบ 30 เม.ย. 2568 แล้ว โดยประมาณการข้างต้นอยู่บนมุมมองทิศทางรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NII) ช่วงที่เหลือของปีต่ำลงตามวงจรดอกเบี้ย

ขณะที่ต้นทุนทางเครดิต (Credit Cost) ไม่น่าต่ำลงกว่าไตรมาส 1/2568 จากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐ ทำให้การลดแรงกดดันข้างต้น จะอยู่ที่การบริหารจัดการค่าใช้จ่ายการดำเนินงาน (OPEX) และรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non-NII) ฝั่งตลาดทุน (Capital Market) ที่ทางทฤษฎีการเงินเชื่อว่ามีความสัมพันธ์ในทางตรงข้ามกับดอกเบี้ยนโยบาย

ภายใต้เงินกองทุนขั้นที่ 1 ข้างต้น มองว่าช่วยให้กลุ่มสามารถรักษาการจ่ายปันผลในระดับสูง YOY สำหรับธนาคารใหญ่ ชอบ KTB ที่แนวโน้มอัตราผลตอบแทนส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) สูงสุดในกลุ่มธนาคารใหญ่ และผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) 7% ส่วนธนาคารขนาดกลาง เลือก TISCO เพราะ ROE ราว 16% สูงสุดในกลุ่ม และให้ Dividend Yield ประมาณ 8% ต่อปี

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : เปิดมุมมอง “นักวิเคราะห์” กรณี Moody’s ปรับลด Outlook ธนาคารไทย

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...