“นันยาง” โฟกัสวัยประถมชิงส่วนแบ่งรองเท้านักเรียน 5 พันล้าน
นันยางทุ่ม 70 ล้านบาท หนุนรองเท้านักเรียนไซซ์เล็ก หวังชิงฐานนักเรียนประถม หลังตลาดรองเท้านักเรียน 5 พันล้านบาท ลุ้นโตครั้งแรกในรอบ 3 ปี ด้วยสัญญาณบวกตั้งแต่ก่อนสงกรานต์ ย้ำไม่มีแผนขึ้นราคา พร้อมวางเป้าโต 8-10%
ดร.จักรพล จันทวิมล กรรมการผู้จัดการ บริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง จำกัด กล่าวว่า ตลาดรองเท้านักเรียนปี 2566 นี้มีแนวโน้มดีกว่าช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยคาดว่าตลาดมูลค่า 5 พันล้านบาทจะเติบโต 3-5% เป็นการโตครั้งแรกในรอบ 3 ปี เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายทำให้กลับมาเปิดเทอมและเรียนออนไซต์ที่โรงเรียนตามปกติ รวมถึงฟื้นตัวของการท่องเที่ยว-เม็ดเงินอัดฉีดจากภาครัฐ ทำให้ช่วงเปิดเทอมเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ตลาดกลับมาคึกคักอีกครั้ง
โดยเริ่มเห็นสัญญาณจากการจับจ่ายของผู้ปกครองที่เริ่มหาซื้อรองเท้านักเรียนมาตั้งแต่ช่วงก่อนสงกรานต์และต่อเนื่องจนถึงปลายเดือน ทำให้เชื่อว่าช่วงเปิดเทอมซึ่งเป็นหน้าขายสำคัญสร้างเม็ดเงิน 80% ของตลาด จะคึกคักแน่นอน
“ตลาดรองเท้านักเรียนยังคงแข่งขันดุเดือดในทุกเซ็กเมนต์ ไม่ว่าจะเป็นรองเท้าผ้าใบแบบผูกเชือกที่เป็นสัดส่วนใหญ่ 60% ของตลาด รองเท้า PVC สำหรับนักเรียนหญิงที่มีสัดส่วน 35% หรือรองเท้าอื่น ๆ อย่างรองเท้าหนัง โดยมีผู้เล่นมากถึง 10-15 ราย”
สำหรับทิศทางของบริษัทในปี 2566 นี้ จะมุ่งขยายฐานลูกค้าในกลุ่มรองเท้าไซซ์เล็ก สำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาเพื่อชิงส่วนแบ่งตลาดเพิ่ม พร้อมกับผลักดันยอดขายให้โต 8-10% จากยอดขาย 1,300 ล้านบาทเมื่อปี 2565 และการเติบโตเฉลี่ย 2% ต่อปี เช่นเดียวกับการเพิ่มส่วนแบ่งตลาด หลังที่ผ่านมารองเท้าไซซ์ใหญ่ของบริษัทสามารถชิงส่วนแบ่งตลาดเพิ่มอย่างต่อเนื่อง จนบริษัทมีส่วนแบ่งตลาดรองเท้านักเรียนประมาณ 43-44%
ตามแผนนี้จะมีรองเท้าผ้าใบนักเรียนรุ่นนันยาง Have Fun ที่มีจุดเด่นเบา นุ่ม สบาย ไม่ต้องผูกเชือก ลดการสัมผัสเชื้อโรค ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้ปกครองและกลุ่มเด็กนักเรียนระดับประถมศึกษาทั่วประเทศ เป็นหนึ่งในสินค้าไฮไลต์ หลังยอดขายเติบโตต่อเนื่อง และมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นทุกปี
ขณะเดียวกัน กรรมการผู้จัดการ บริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง ย้ำว่ายังไม่มีแผนขึ้นราคาสินค้า โดยอาศัยบริหารจัดการต้นทุน เช่น นำเครื่องจักรเข้ามาทดแทน-เสริมประสิทธิภาพของพนักงานที่มีประมาณ 1 พันคน ซึ่งมีกำลังผลิตรวม 10 ล้านคู่ต่อปี เพื่อช่วยรับมือต้นทุนค่าแรง
ทำให้ราคาของสินค้าต่าง ๆ ยังคงเดิม ไม่ว่าจะเป็นนันยางพื้นเขียว 205s รุ่นคลาสสิก ราคาเริ่มต้น 320 บาท นันยาง Have Fun รองเท้าเด็กอายุ 4-10 ขวบ ราคาเริ่มต้น 299 บาท รุ่นซูเปอร์สตาร์ 199 บาท และนันยาง Zafari สำหรับเด็กโตราคา 299 บาท
ส่วนตลาดต่างประเทศ เดินหน้ากลยุทธ์ร่วมมือกับภาครัฐนำสินค้าไทยไปขยายตลาดในต่างประเทศ อาทิ ออกบูทแสดงสินค้าในต่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาส่งผลให้รองเท้าผ้าใบนันยางเป็นที่รู้จักในระดับสากลมากขึ้น และสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายสำคัญอย่างในวงการกีฬาตะกร้อ และเทคบอลที่กำลังเป็นกระแสในปัจจุบัน
นอกจากนี้ กรรมการผู้จัดการ บริษัท นันยางฯ ระบุว่า ปีนี้เตรียมงบฯการตลาดไว้ประมาณ 70 ล้านบาท สำหรับแคมเปญช่วงเปิดเทอม และแคมเปญย่อยอีกประมาณ 2-3 ครั้ง ตามสถานการณ์ของตลาด
หนึ่งในนั้นคือ แคมเปญต่อต้านการกลั่นแกล้งในโรงเรียน ด้วยการจัดทำสื่อที่นำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับ “คำขอโทษจากนันยาง” ที่แสดงถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่บริษัทเคยสื่อสารไปในอดีต ซึ่งบางครั้งอาจมีเนื้อหาเข้าข่ายการบูลลี่โดยไม่ได้ตั้งใจ และจุดประกายแนวคิดให้แก่นักเรียนที่เคยมีพฤติกรรมการบูลลี่คนอื่น ทั้งที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจให้เกิดการฉุกคิดและปรับเปลี่ยนมุมมองต่อเรื่องนี้
พร้อมกับพัฒนารองเท้าผ้าใบนักเรียนรุ่นพิเศษ “Nanyang ‘BULLY NO MORE’ Special Edition” ที่สละพื้นที่โลโก้นันยางบนรองเท้าให้เป็นข้อความเชิงสัญลักษณ์ BULLY NO MORE เพื่อประกาศจุดยืนในเรื่องนี้ให้ชัดเจน พร้อมเปิดให้นำรองเท้าคู่เก่ามาแลกรองเท้ารุ่นพิเศษนี้
ส่วนรองเท้าคู่เก่าจะถูกนำไปเป็นส่วนหนึ่งของชิ้นงาน Art Installation ที่ประกอบขึ้นเป็นข้อความเชิงสัญลักษณ์ BULLY NO MORE และทุกคนที่เข้าร่วมกิจกรรมนี้ จะได้ประทับรอยเท้าแสดงจุดยืนร่วมกันเป็นข้อความเชิงสัญลักษณ์ BULLY NO MORE ที่จะทำให้จุดยืนการยุติปัญหาการบูลลี่ในโรงเรียนค่อย ๆ ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ตอกย้ำให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในการยุติปัญหาการบูลลี่ในโรงเรียนให้หมดไปผ่านแนวคิด “ย่ำให้เต็มที่ แต่ไม่ย่ำยีใคร”