โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

เรื่องสั้น

เกมทำฟาร์มในวันสิ้นโลก

นิยาย Dek-D

อัพเดต 03 มี.ค. เวลา 13.30 น. • เผยแพร่ 03 มี.ค. เวลา 13.30 น. • ดองนะจ๊ะ
เกมทำฟาร์มในวันสิ้นโลก
อ้ายเหรินเฝ้ารอเวลาติดตั้งระบบเป็นเวลาสามปี ในที่สุดมันก็เต็ม 100% ก่อนที่อ้ายเหรินจะมีเวลาได้ดีใจ โลกก็กลับตาลปัตร คนกลายเป็นซอมบี้ พืชกลายเป็นสัตว์กินเนื้อ ส่วนเธอกลายเป็นชาวสวน…

ข้อมูลเบื้องต้น

อ้ายเหรินเฝ้ารอเวลาติดตั้งระบบเป็นเวลาสามปี ในที่สุดมันก็เต็ม 100% ก่อนที่อ้ายเหรินจะมีเวลาได้ดีใจที่มีนิวทองเหมือนนางเอกนิยาย โลกก็กลับตาลปัตร คนกลายเป็นซอมบี้ พืชกลายเป็นสัตว์กินเนื้อ ส่วนเธอกลายเป็นชาวสวน…

เป็นชาวสวนไม่ใช่เรื่องใหญ่ เรื่องใหญ่คือเธอบังเอิญรู้ว่าตัวเองคือแสงจันทร์ขาวในใจพระเอกนิยาย ส่วนพระเอกนิยายคืออ้ายเฉิงเฟิง ลูกบุญธรรมของพ่อ ศัตรูคู่อาฆาตของเธอ

การเป็นแสงจันทร์ขาวในใจศัตรูว่าน่าตกใจแล้ว ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือเธอตายก่อนที่นิยายจะเริ่มเรื่อง เกือบทั้งเรื่องมีการกล่าวถึงเธอในฐานะซอมบี้แสงจันทร์ขาว

ด้วยความรักที่พระเอกมีต่อเธอ แม้เธอจะกลายเป็นซอมบี้เขายังคงเก็บเธอไว้ มีพระเอกที่ไหน มีซอมบี้แสงจันทร์ขาวที่นั่น

การตายของอ้ายเหรินทำให้อ้ายเฉิงเฟิงจมอยู่ในความเศร้าและกลายเป็นคนเย็นชาไม่สนใจใคร เขาโหยหาอ้ายเหรินทุกค่ำคืน กระทั่งจับอ้ายเหรินในสภาพซอมบี้เนื้อเน่าตัวเหม็นมาเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดี

จนกระทั่งนางเอกที่บังเอิญผ่านทางมาเห็นเข้ามาช่วยดามใจ ด้วยใบหน้าที่ดูคล้ายกับอ้ายเหริน อ้ายเฉิงเฟิงจึงยอมเปิดใจ ทั้งสองฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย ความรักลึกซึ้งขึ้นทุกวัน

ต่อมานางเอกรู้พระเอกใช้เธอเป็นตัวแทนของแสงจันทร์ขาว ด้วยความหึงหวงเธอจึงฆ่าซอมบี้แสงจันทร์ขาว เมื่อพระเอกรู้เรื่อง เขาโกรธมากจนพลั้งมือฆ่านางเอก

จบบริบูรณ์…

อ้ายเหรินที่อ่านนิยายจนจบ “…”

อ้ายเหรินยอมรับได้ที่ตัวเองจะตายในปากของซอมบี้ ยอมรับได้ที่จะถูกเลี้ยงดูแม้เป็นซอมบี้ สิ่งเดียวที่เธอยอมรับไม่ได้คือไอ้สารเลวเฉิงเฟิงมีความคิดสกปรกกับเธอ!

เธอจะฟ้องพ่อ!

* เปิดให้อ่านฟรีวันละตอนจนจบ หลังตอนที่ 120 แล้วจะเปิดให้อ่านฟรีสองวันแล้วติดเหรียญนะคะ

อีบุ๊กเล่ม 1 มีตอนที่ 1 - 100

https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiNTUzMDY0MiI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjI3MDE1NSI7fQ

เล่ม 2 มีตอนที่ 101 - 198 (จบ) และตอนพิเศษอีก 12 ตอน แต่ละตอนสั้นยาวไม่เท่ากัน บางตอนสั้นมาก บางตอนก็ยาว

https://www.mebmarket.com/ebook-271237-เกมทำฟาร์มในวันสิ้นโลก-2-จบ

ทั้งในเว็บและในอีบุ๊กมีลำดับตอนตรงกันค่ะ เช่นตอนที่ 86 ในเว็บจะเท่ากับตอนที่ 86 ในอีบุ๊ก ทุกตอนที่มี ‘.’ ลงท้ายคือมีฉาก NC

การติดเหรียญ ณ ปัจจุบันคือการเปิดล่วงหน้านะคะ อนาคตจะมีการติดเหรียญเพื่อขายตอนถาวรอีกครั้งหนึ่ง

ตามที่หลายๆ คนขอมาไรต์จะมาเขียนเล่ม 3 ต่อให้นะคะแต่คงอีกหลายเดือนกว่าลงให้อ่านเพราะไรต์มีงานประจำ + ต้องแก้คำผิดใน 2 เล่มที่ปล่อยไปมาก่อนหน้านี้

เนื้อหาในเล่ม 3 จะถือว่าเป็นตอนพิเศษทั้งเล่มเลยก็ได้ค่ะ ใครที่คิดว่าพอใจกับเล่ม 2 แล้วและไม่มีเวลาอ่านเล่ม 3 จะข้ามไปเลยก็ได้ค่ะ ไม่มีผลอะไร

คุณหนูอ้าย

“อาเฟิงได้ที่หนึ่งอีกแล้วเหรอ? พี่สาวได้ยินมาว่าปีนี้ข้อสอบยากมาก ไม่คิดว่าอาเฟิงจะได้ที่หนึ่ง” หญิงสาวผู้มีดวงตาดอกท้อพูดด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงของเธออ่อนโยนและเต็มไปด้วยความเอ็นดู

“พ่อคิดไว้อยู่แล้วว่าอาเฟิงต้องได้ที่หนึ่งในการสอบครั้งนี้ อันที่จริงแล้วครอบครัวของเราไม่เคร่งเรื่องการเรียน ถ้าเหนื่อยก็พักบ้างนะลูก ออกไปเล่น ออกไปเที่ยวบ้างก็ได้พ่อไม่ว่า” น้ำเสียงของชายวัยกลางคนนุ่มนวลไม่ต่างกับหญิงสาวนัก

จากใบหน้า ดวงตา และน้ำเสียงของทั้งสองคน บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขารักชายหนุ่มผู้มีนามว่า ‘อาเฟิง’ แค่ไหน

อ้ายเหรินที่ยืนมองทุกอย่างอยู่หลังประตูกำกระดาษในมือแน่น แม้ว่าครั้งนี้เธอจะสอบผ่านทุกวิชา แต่คะแนนเส้นยาแดงผ่าแปด เกรดแค่ปานกลางไม่คู่ควรจะเอาไปโชว์ให้ใครดู เทียบไม่ได้กับที่หนึ่งของลูกบุญธรรมของพ่อ น้องชายบุญธรรมของพี่

เธอมันแค่ขยะของตระกูลอ้าย จะไปเทียบกับพี่สาวผู้เต็มไปด้วย IQ และ EQ ได้ยังไง แม้แต่ลูกบุญธรรมที่พ่อรับมาเลี้ยงเธอยังเทียบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

ถ้าไม่ใช่เพราะใบหน้าของเธอเหมือนพ่อและพี่สาว เธอคงเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองเป็นลูกบุญธรรมของ ส่วนอ้ายเฉิงเฟิงเป็นลูกชายแท้ๆ ของพ่อ

เห็นได้ชัดว่าเธอเป็นลูกสาวและน้องสาวแท้ๆ ของพวกเขา ทำไมทุกคนถึงสนใจแต่อ้ายเฉิงเฟิง?

ความอิจฉาริษยาเปรียบได้กับเปลวไฟที่แผดเผาหัวใจของอ้ายเหริน หญิงสาวยัดกระดาษยับยู่ยี่ในมือใส่กระเป๋าแบรนด์ดังแล้วเดินนวยนาดเข้าไป

“ตายจริง อาเฟิงได้ที่หนึ่งอีกแล้วเหรอเนี่ย สมกับเป็นลูกบุญธรรมที่พ่อคัดสรรมาเลยนะคะ เก่งจริงๆ” อ้ายเหรินแย้มยิ้มพลางตบมืออย่างประชดประชัน

พ่ออ้ายขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดของลูกสาวคนเล็ก “อาเฟิงอะไรกันเรียกพี่สิ อ้ายเฉิงเฟิงแก่กว่าลูกหนึ่งปี ลูกจะเรียกเขาว่าอาเฟิงได้ยังไง”

“คุณพ่อจะสนใจไปทำไมคะ? ก็แค่ลูกบุญธรรม รับมาเลี้ยงก็บุญแค่ไหนแล้ว”

“อ้ายเหริน!!” อ้ายฮุ้ยเรียกน้องสาวเสียงเข้ม “อ้ายเฉิงเฟิงถือเป็นสมาชิกของครอบครัวเราและการรับเขามาเลี้ยงก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นหนี้บุญคุณเรา เรียกอ้ายเฉิงเฟิงว่าพี่!”

อ้ายเหรินถูกพี่สาวตะโกนใส่ก็เต็มไปด้วยความผิดหวัง สีหน้าของเธอหม่นหมองยิ่งกว่าเดิม หยาดน้ำตาเอ่อคลอดวงตาคู่งาม

พี่สาวเข้าข้างไอ้บ้าเฉิงเฟิงนี่อีกแล้ว!

“ไม่เรียก! ฉันจะเรียกเขาว่าอาเฟิงใครจะทำไม!”

“อ้ายเหรินทำไมถึงก้าวร้าวแบบนี้! พ่อบอกแล้วใช่ไหมว่าอ้ายเฉิงเฟิงถือเป็นลูกชายคนเดียวของตระกูลอ้ายและเป็นพี่ชายของลูก ทำไมหยาบคายกับพี่เขาแบบนี้?!”

“เขาไม่ใช่พี่ชายของหนู! แม่คลอดลูกสาวมาแค่สองคน หนูมีแต่พี่สาวไม่มีพี่ชาย!” อ้ายเหรินกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ หยาดน้ำตาอุ่นๆ เอ่อคลอจนทัศนวิสัยพร่ามัว

“อ้ายเหริน! พ่อตามใจเรามากไปใช่ไหมถึงได้ก้าวร้าวแบบนี้!”

“หนูเป็นลูกสาวแท้ๆ ของพ่อนะ ทำไมพ่อถึงเอาแต่เข้าข้างคนนอก! อ้ายเฉิงเฟิงเป็นลูกชายนอกสมรสของพ่อหรือเปล่า?!”

“อ้ายเหริน!!” สีหน้าของอ้ายฮุ้ยเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินคำพูดของน้องสาว ขณะที่เธอกำลังจะคลี่คลายสถานการณ์ตึงเครียด พ่ออ้ายก็ยกมือห้ามไม่ให้ลูกสาวคนโตพูด

“ดูเหมือนที่ผ่านมาพ่อจะตามใจลูกมากเกินไปจนแยกแยะไม่ได้ว่าอะไรควรไม่ควร ถ้าลูกยังคิดไม่ได้ก็ออกไปจากบ้านหลังนี้ บัตรเครดิตทั้งหมดจะถูกระงับจนกว่าลูกจะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร”

คำพูดของผู้เป็นพ่อราวกับสายฟ้าที่ฟาดลงมาที่อ้ายเหริน ร่างกายของเธอชา ดวงตาเบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อ ความผิดหวังและความน้อยเนื้อต่ำใจพุ่งเข้ามาฉีกกระชากวิญญาณของเธออย่างโหดเหี้ยม

ท่ามกลางน้ำตาที่ไหลรินไม่ขาดสายอ้ายเหรินยังคงจ้องมองไปที่พ่อ เผื่อว่าเขาจะคิดได้ว่าเธอคือไข่มุกบนฝ่ามือของเขามาตลอดทั้งชีวิต ส่วนคู่กรณีของเธอคือลูกบุญธรรมที่ไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือด

ไม่ว่าอ้ายเหรินจะรอนานแค่ไหนชายวัยกลางคนก็ไม่มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนใจ ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยความรักยามจ้องมองเธอแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา

ความคับข้องใจพลุ่งพล่านอยู่ในอกพาลให้อ้ายเหรินผู้เย่อหยิ่งและเต็มไปด้วยทิฐิเชิดหน้าขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้

“ได้ ในเมื่อพ่อเลือกลูกบุญธรรมมากกว่าลูกสาวแท้ๆ ก็ตามใจ” อ้ายเหรินโยนบัตรเครดิตทั้งหมดในกระเป๋าลงพื้น ก่อนจากไปเธอไม่ลืมมองอ้ายเฉิงเฟิงด้วยความอาฆาตแค้น เมื่อเห็นดวงตาที่ว่างเปล่าของเขาอ้ายเหรินก็ยิ่งโกรธมากขึ้น

ตั้งแต่อ้ายเฉิงเฟิงถูกรับมาเลี้ยง พ่อกับพี่สาวก็เอาความรักและความสนใจที่เคยมีให้เธอไปให้อ้ายเฉิงเฟิง ตั้งแต่เด็กอ้ายเฉิงเฟิงดีกว่าเธอในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นกีฬาและการเรียน

ต่อหน้าเธอทุกคนพูดว่าเธอคือไข่มุกล้ำค่าของตระกูลอ้าย แต่ลับหลังพวกเขากลับหัวเราะเยาะเธอและเรียกเธอว่าขยะของตระกูลอ้าย

ไม่ว่าจะไปงานเลี้ยงตระกูลไหน ทุกคนจะพูดถึงแต่อ้ายเฉิงเฟิงลูกบุญธรรมของตระกูลอ้าย ที่เก่งกาจไปซะทุกด้าน ส่วนเธอไม่ว่าจะทำตัวดีหรือแย่แค่ไหนก็ไม่มีใครสนใจ ทุกคนมีเพียงอ้ายเฉิงเฟิงอยู่ในสายตา

ครั้งหนึ่งอ้ายเหรินเคยพยายามทำให้ได้อย่างอ้ายเฉิงเฟิง เธอตั้งใจเรียน ทบทวนความรู้หลังเลิกเรียน ผลคือคะแนนของเธอได้เพียงครึ่งหนึ่งของอ้ายเฉิงเฟิง พ่อและพี่สาวยังคงชื่นชมอ้ายเฉิงเฟิงตลอดเวลา พ่อแม่ของเพื่อนๆ ต่างก็ชื่นชมเขา

เมื่อรู้ว่าความพยายามและความอุตสาหะของเธอเทียบไม่ได้กับพรสวรรค์ของอ้ายเฉิงเฟิง อ้ายเหรินจึงใช้ชีวิตอย่างไร้กังวล เที่ยวเล่นตั้งแต่อายุยังน้อย ดื่มเหล้าเบียร์ตั้งแต่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ จนปัจจุบันใกล้จะเรียนจบเธอยังคงไม่เป็นโล้เป็นพาย ต่างกับอ้ายเฉิงเฟิงที่เข้าไปทำงานที่บริษัทตั้งแต่อายุสิบแปด

อ้ายเหรินเหยียบคันเร่งหนักขึ้นตามแรงอารมณ์ที่เพิ่มขึ้น น้ำตาไหลลงมาไม่ขาดสาย คำพูดของพ่อดังก้องอยู่ในหัวซ้ำไปซ้ำมา มันตอกย้ำให้เธอรู้ว่าเมื่อเทียบกับอ้ายเฉิงเฟิงแล้วเธอไม่มีค่าอะไรเลย

เธอแค่พูดไปไม่กี่คำไม่ใช่เหรอ ทำไมพ่อถึงโกรธขนาดนี้?

ในใจพ่อ อ้ายเฉิงเฟิงสำคัญกว่าลูกสาวแท้ๆ อย่างเธอจริงเหรอ?

อ้ายเหรินสะบัดหัวขับไล่ความคิดด้านลบ จอดรถ เดินเข้าในลิฟต์แล้วแตะคีย์การ์ด ขณะลิฟต์กำลังเคลื่อนไปด้านบนก็เหลือบมองตัวเลข 99% ที่หางตาอย่างใจจดใจจ่อ ตัวหนังสือประหลาดนี้ปรากฏขึ้นเมื่อสองปีก่อน จากประสบการณ์การอ่านหนังสือนิยายมาอย่างโชกโชน อ้ายเหรินมั่นใจมากว่านี่คือนิ้วทองคำของนางเอกนิยาย

ด้วยระบบนี้จะมีความสามารถอย่างก้าวกระโดด ทำให้พ่อและพี่หันกลับมามองเธอใหม่ และทำให้เธอเอาชนะอ้ายเฉิงเฟิงได้อย่างง่ายดายชนิดที่ว่าไม่เห็นฝุ่น

สิ่งเดียวที่อ้ายเหรินไม่คาดคิดคือระบบนี้ใช้เวลาติดตั้งนานมาก จากที่ตื่นเต้นในปีแรกก็เปลี่ยนเป็นเฉยชาในปีที่สอง ความเฉยชาในปีที่สองเปลี่ยนเป็นหมดความอดทนในปีที่สาม โชคดีที่ระบบเริ่มขยับเข้ามาที่ 90% เมื่อสองเดือนก่อน ไม่อย่างนั้นเธอคงอึดอัดตายเพราะความช้าของมัน

คนผิดแต่อาหารไร้เดียงสา

“คุณลุง แค่คำเรียกขาน ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ให้อ้ายเหรินเรียกผมว่าอาเฟิงก็ได้ อย่าทะเลาะกับอ้ายเหรินเพราะผมเลยครับ ผมรู้สึกไม่ดี”

“อาเฟิงไม่ต้องสนใจเด็กดื้อคนนั้น เดี๋ยวเงินหมดก็กลับมาเอง ที่ผ่านมาพ่อตามใจเด็กคนนี้มากไป โตมาเลยกลายเป็นแบบนี้ พ่อขอโทษแทนน้องด้วยนะ น้องไม่ได้ตั้งใจพูดจาหยาบคายกับอาเฟิงหรอก อย่าโกรธน้องเลย”

“คุณลุงไม่ต้องห่วง ผมไม่โกรธอ้ายเหริน” อ้ายเฉิงเฟิงหลุบตาลงต่ำ แพขนตาหนาขยับเล็กน้อยสร้างเงาน่าค้นหาให้ใบหน้าหล่อเหลาและขับเน้นความน่าสมเพชราวกับคนทำอะไรไม่ถูก

พ่ออ้ายเห็นอ้ายเฉิงเฟิงเป็นแบบนี้ก็ถอนหายใจยาว เด็กคนนี้ยอมลูกสาวคนเล็กของเขามาตลอด เพราะถูกตามอกตามใจมาตั้งแต่เด็ก อ้ายเหรินจึงกลายเป็นเด็กนิสัยเสีย กล้าพูดจาไม่ดีต่อหน้าเขาโดยไม่กลัวความผิด

“เฉิงเฟิงฟังลุง ถึงลุงจะรับเรามาเป็นลูกบุญธรรมแต่อาเฟิงไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณอะไรลุงเลย เราไม่จำเป็นต้องยอมน้องตลอดเวลา ย้อนกลับไปเมื่อยี่สิบปีก่อน พ่อแม่ของเราก็ช่วยลุงไว้เยอะ ถ้าไม่ได้พ่อแม่ของอาเฟิงช่วยไว้ตอนนั้นอ้ายเหรินคงไม่ได้เกิดด้วยซ้ำ” พ่ออ้ายแสดงความห่วงใยอีกสองสามประโยคก็รีบไปที่บริษัทเพื่อประชุม

ขณะที่อ้ายเฉิงเฟิงกำลังจะเดินออกไปอ้ายฮุ้ยก็พูดขึ้นมา

“อ้ายเหรินถูกตามใจมาตั้งแต่เด็กเลยกลายเป็นเด็กเอาแต่ใจแบบนี้ พี่หวังว่าอาเฟิงจะยกโทษให้เสี่ยวเหรินได้ ยังไงอาเฟิงงก็เป็นพี่ชายของเสี่ยวเหริน พี่น้องไม่ควรมีเรื่องบาดหมางกันใช่ไหม?”

เปลือกตาของอ้ายเฉิงเฟิงลดลงเล็กน้อย “พี่สาวไม่ต้องกังวล”

“อาเฟิงไม่โกรธน้องใช่ไหม?”

“ไม่โกรธครับ”

“…อาเฟิงไม่โกรธน้องใช่ไหม?” อ้ายฮุ้ยถามย้ำอีกครั้ง น้ำเสียงที่เคยอ่อนโยนและเอื้อเอ็นดูเปลี่ยนเป็นเย็นชา

“ผมไม่โกรธครับ” อ้ายเฉิงเฟิงยังคงสงบราวกับไม่รับรู้ถึงน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปของพี่สาว

“ไม่โกรธใคร?”

“ผมไม่โกรธอ้ายเหริน ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวก่อนนะครับ”

อ้ายฮุ้ยกอดอกเอนตัวพิงพนักเก้าอี้มองอ้ายเฉิงเฟิงอย่างครุ่นคิด

…..

ทันทีที่เห็นเงาสะท้อนในกระจกอ้ายเหรินก็แทบหัวใจวาย ดวงตาลูกกวางน้อยที่กลมโตและอิ่มน้ำของเธอบวมแดงจนน่าเกลียด หญิงสาวผู้รักความสวยความงามกระวีกระวาดหาน้ำแข็งมาประคบตาอย่างเร่งด่วน

อีกสามชั่วโมงเธอต้องออกไปท่องราตรีกับเพื่อนสาว จะปล่อยให้หน้าโทรมแบบนี้ไม่ได้!

ในเวลานี้เสียงกริ่งก็ดังขึ้น

“ลี่ลี่มาเร็วจัง ยังไม่ถึงเวลาที่นัดกันไว้เลย” อ้ายเหรินพึมพำด้วยความแปลกใจขณะเดินไปเปิดประตู ไม่คาดคิดว่าคนที่ยืนอยู่หน้าประตูไม่ใช่เพื่อนสาวลี่ลี่ แต่เป็นไอ้สารเลวที่แย่งความรักของพ่อและพี่สาวไปจากเธอ

อ้ายเหรินดันประตูปิดตามสัญชาตญาณแต่แรงผู้หญิงหรือจะสู้แรงผู้ชาย อ้ายเฉิงเฟิงผลักประตูแล้วเดินเข้าไปด้านในอย่างง่ายดาย

อ้ายเหรินเซไปด้านหลังสองก้าวเนื่องจากแรงผลักของอ้ายเฉิงเฟิง ดวงตากลมโตตวัดตามองอ้ายเฉิงเฟิงอย่างไม่พอใจ

“มาทำอะไรที่นี่? เห็นฉันทะเลาะกับพ่อยังไม่พอใจหรือไง?”

อ้ายเฉิงเฟิงไม่ได้พูดอะไร เขาเดินเข้าไปในห้องครัว เปิดตู้หยิบจาน ช้อน ตะเกียบออกมาวางแล้วแกะอาหารที่ซื้อมาเทใส่จาน อ้ายเหรินเห็นอ้ายเฉิงเฟิงทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนก็ยิ่งโกรธ

ผู้ชายคนนี้ตั้งใจซื้ออาหารแพงๆ มาอวดเธอที่มีปัญหาเรื่องเงินใช่ไหม!

“ทำบ้าอะไรของนายเนี่ย! ออกไปจากห้องฉันเลยนะ!”

“กินข้าว”

อ้ายเหรินขมวดคิ้วแน่น “ไม่หิว ไม่กิน”

“มีแต่ของที่คุณชอบ”

“ต่อให้ฉันต้องหิวตายฉันก็ไม่กินของของนาย!”

“วันนี้จะไปเที่ยวไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่กินระวังไม่มีแรงเที่ยว”

“ฉันจะมีแรงหรือไม่มีแรงก็เรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวกับนาย ออกไปได้แล้ว เอาอาหารสกปรกพวกนี้ออกไปด้วย”

“คุณกินข้าวเสร็จเมื่อไหร่ผมจะออกไปเอง”

อ้ายเหรินถลึงตามองอ้ายเฉิงเฟิงอย่างเอาเรื่อง กลิ่นหอมของอาหารทำให้คนที่ไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อคืนโลภจนควบคุมปริมาณน้ำลายในปากไม่ได้

อันที่จริงแล้วถึงแม้คนจะผิดแต่อาหารไร้เดียงสา อาหารพวกนี้เป็นของโปรดของเธอทั้งนั้น แถมยังมาจากร้านโปรดอีก…การที่เธอทานอาหารไม่ได้หมายความว่าให้อภัยอ้ายเฉิงเฟิงสักหน่อย

หลังจากเกลี้ยกล่อมตัวเองในใจอยู่พักหนึ่งอ้ายเหรินก็หยิบตะเกียบแล้วทานอาหาร รสชาติที่คุ้นเคยทำให้เธอหลงลืมความไม่พอใจและความอิจฉาริษยาไปจนหมด

หลังจากอิ่มท้องความไม่พอใจก็กลับมาแผดเผาหัวใจอีกครั้ง อ้ายเหรินดันจานไปให้อ้ายเฉิงเฟิงแล้วพูดอย่างเย่อหยิ่ง

“เก็บโต๊ะเสร็จก็กลับไปได้แล้ว”

อ้ายเฉิงเฟิงไม่ได้ตอบแต่หยิบอุปกรณ์ที่ใช้แล้วทั้งหมดเข้าเครื่องล้างจาน เก็บขยะทิ้งลงถังแล้วเช็ดโต๊ะที่ไม่มีรอยเปื้อนจนสะอาด จากนั้นจึงเดินที่ห้องนั่งเล่นแล้วนั่งโซฟาราวกับตัวเองเป็นเจ้าของห้อง

อ้ายเหรินที่เดินตามมาเห็นแบบนี้ก็โกรธจนหน้าแดง ยกเท้าขึ้นเตะขาอ้ายเฉิงเฟิง

“ทำบ้าอะไรเนี่ย ออกไปได้แล้ว!”

“ใกล้ถึงเวลานัดแล้วไม่ไปแต่งตัวเหรอ?”

“ฉันแต่งแน่ แต่นายน่ะออกไปจากห้องฉันเดี๋ยวนี้”

“คุณหนูอ้าย อยู่ในห้องกับผู้ชายสองต่อสองคุณกล้าแต่งตัวแบบนี้เหรอ?”

อ้ายเหรินก้มมองชุดนอนที่เปิดเผยเนินอกและต้นขาขาว ก่อนจะกระทืบเท้าอ้ายเฉิงเฟิงด้วยความโกรธ

“แล้วใครมันเป็นคนบุกเข้ามาในห้องฉันล่ะ!”

“ผมบอกคุณหลายครั้งแล้วไม่ใช่เหรอว่าก่อนเปิดประตูต้องดูก่อนว่าใครมา”

“ก็ใครจะไปรู้ล่ะว่าคนที่กดกริ่งเป็นนาย! ฉันนัดลี่ลี่ไว้ก็นึกว่าจะเป็นลี่ลี่”

“ถ้าคนที่กดกริ่งไม่ใช่ผมแต่เป็นคนโรคจิต มันอันตรายมากรู้ไหม”

“ยุ่ง!” อ้ายเหรินเตะขาอ้ายเฉิงเฟิงอีกครั้ง

“เปลี่ยนรหัสเข้าห้องด้วย ทุกคนเขารู้หมดแล้วว่ารหัสทุกอย่างที่คุณใช้ในชีวิตคือวันเกิด”

“ฉันจะใช้รหัสอะไรก็เรื่องของฉัน!”

“ไปแต่งตัว ผมจะไปส่งคุณ”

“ไม่จำเป็น”

“ช่วงนี้น้ำมันแพง คุณอยากขับรถไปเองเหรอ?”

อ้ายเหรินผู้มีปัญหาเรื่องเงิน “…”

ให้ตายเถอะ ถึงไม่อยากยอมรับแต่มันเป็นเรื่องจริง ถึงเธอจะมีเงินสดก้อนใหญ่อยู่ในมือแต่เธอยังไม่อยากใช้มัน เธออยากให้พ่อรู้ว่าครั้งนี้เธอเอาจริงและจะไม่ยอมกลับบ้านจนกว่าพ่อจะมาง้อ!

เธอจะไม่ยอมกลับบ้านง่ายๆ เหมือนครั้งก่อนแน่นอน!!

ขณะที่อ้ายเหรินกำลังปัดแป้งฝุ่นเพื่อล็อกเครื่องสำอาง ข้อความจากลี่ลี่ก็เด้งขึ้นบนหน้าจอ เมื่ออ้ายเหรินเปิดอ่านใบหน้าสวยก็ทรุดลง ทันทีที่เธอแต่งหน้าเสร็จเพื่อนสาวกลับยกเลิกนัดเพราะแฟนหนุ่มหมายเลขห้าชวนไปเดท

บอกก่อนหน้านี้สักสามสิบนาทีไม่ได้เหรอ!

มองดูตัวเองในกระจกอ้ายเหรินก็ถอนหายใจ หน้าพร้อม ผมพร้อม ชุดพร้อม แต่ถูกเพื่อนเทซะงั้น ชีวิตของเธอช่างน่าสมเพช พ่อไม่รัก พี่สาวไม่สนใจ เพื่อนเห็นผู้ชายดีกว่า

ห่อเหี่ยวจัง…

อ้ายเหรินมองเงาสะท้อนในกระจกแล้วได้แต่เศร้าใจ เดือนนี้มันต้องไม่ถูกโฉลกกับเธอแน่ๆ หรือเธอควรลาหยุดสักเดือนแล้วไปไหว้พระขอพรที่วัด?

ไม่สิ ไหว้พระอย่างเดียวคงไม่พอ ไปอยู่วัดเลยดีกว่า จ่ายเงินสนับสนุนวัดเล็กน้อยก็ได้ ข้าวฟรี น้ำฟรี ที่อยู่ฟรีแล้ว

อันที่จริงแล้วการเรียนสำหรับคนโง่อย่างเธอไม่ค่อยมีประโยชน์อะไรอยู่แล้ว ลาออกไปเลยดีกว่า รีบหางานทำจะได้มีเงิน ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายแบบนี้

อ้ายเหรินรู้สึกว่าความคิดนี้ดีมาก จึงหยิบกระเป๋าในตู้ออกมากางแล้วเก็บเสื้อผ้าอย่างพิถีพิถัน ขณะลังเลว่าจะเอาชุดซ้ายหรือชุดขวาไปดีเสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้นด้านหลัง

“คุณทำอะไร?”

อ้ายเหรินกลอกตาเบ้ปาก เมินคำถามแล้วปลดชุดเดรสทางซ้ายเตรียมพับเข้ากระเป๋า ก่อนที่จะยัดชุดเดรสเข้ากระเป๋าเดินทางมือของเธอถูกมือหนาจับไว้แน่น

“จะไปไหน?”

“ยุ่ง!” อ้ายเหรินถองศอกไปด้านหลังอย่างแรงเพื่อให้อ้ายเฉิงเฟิงปล่อยมือแต่ชายหนุ่มไม่ปล่อยซ้ำยังใช้แขนอีกข้างล็อกเอวเธอไว้แน่นหนา

“อ๊ะ! ไอ้สารเลวเฉิงเฟิง เอามือสกปรกของนายออกไป!”

“ผมถามว่าจะไปไหน?”

“เรื่องของฉัน มันเป็นธุระอะไรของนายไม่ทราบ!”

“คุณลุงให้ผมคอยดูแลคุณ”

อ้ายเหรินที่ดิ้นพล่านเหมือนปลาถูกทุบหัวนิ่งงันในทันที “พ่อให้นายคอยดูแลฉันเหรอ?”

“คุณลุงเป็นห่วงคุณมาก”

“แล้วไง? ฉันบอกเลยว่าครั้งนี้ฉันเอาจริง ถ้าพ่อไม่มาง้อฉันด้วยตัวเอง ฉัน อ้ายเหริน จะไม่ยอมกลับไป!”

“บริษัทที่เมืองอื่นมีปัญหา คุณลุงต้องรีบไปจัดการ คงไม่ว่างมาเร็วๆ นี้ พี่สาวคนโตก็พึ่งบินไปนอกเมืองเมื่อเช้า” อ้ายเฉิงเฟิงโกหกโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า

“แล้วไง ถ้าพ่อไม่มาง้อฉันก็ไม่กลับ ต่อให้ฉันต้องนอนข้างถนนฉันก็ไม่ยอมกลับง่ายๆ แน่”

“อ้ายเหริน คุณโตมากแล้ว อย่าทำตัวเป็นเด็ก”

“ใครทำตัวเป็นเด็ก! ทั้งหมดมันเป็นเพราะนายนั่นแหละ ปล่อยได้แล้วไอ้บ้า!” อ้ายเหรินกระทืบเท้าอ้ายเฉิงเฟิงด้วยแรงทั้งหมด แต่ชายหนุ่มกลับหลบได้ทุกครั้งไป สิ่งนี้ทำให้อ้ายเหรินยิ่งโกรธมากขึ้น

“ขี้ขลาด! แน่จริงอย่าหลบสิ”

“เก็บเสื้อผ้าจะไปไหน?” อ้ายเฉิงเฟิงถามอีกครั้ง

“ฉันจะไปไหนก็เรื่องของฉัน!”

เมื่อใช้ขาและเท้าทำร้ายอ้ายเฉิงเฟิงไม่ได้ อ้ายเหรินก็เปลี่ยนมาใช้มือที่เหลืออยู่ข้างเดียวแทน เธอหยิกและทุบแขนหนาที่โอบอยู่รอบเอว หากไม่ติดว่าอ้ายเฉิงเฟิงยืนอยู่ด้านหลังเธอคงกระโดดกัดคอเขาไปนานแล้ว

อ้ายเหรินซึ่งกำลังมัวมันกับการทำร้ายแขนของชายด้านหลังไม่ทันตั้งตัวว่าจะถูกตอบโต้ เธอถูกผลักให้นอนหงายบนเตียง โดยมีร่างสูงทาบทับอยู่ด้านบน มือทั้งสองข้างถูกพันธนาการ

ในเวลานี้อ้ายเหรินพึ่งตระหนักได้ว่าเด็กชายตัวเล็กๆ ที่เคยถูกเธอกลั่นแกล้งรังแกในวันวานเติบโตขึ้นมากแล้ว ตอนนี้เขาตัวสูงกว่าเธอ แข็งแรงกว่าเธอ และเป็นที่รักมากกว่าเธอ

ฉันจะไปอยู่วัด

“มาทับฉันทำไมเนี่ย มันหนักนะ! ลุก!!”

อ้ายเฉิงเฟิงไม่สนใจความไม่พอใจของอ้ายเหริน เขายังคงถามคำถามเดิมเสียงเรียบ

“เก็บเสื้อผ้าจะไปไหน?”

“เคยได้ยินไหมว่า ‘ความอยากรู้อยากเห็น ทำให้แมวตาย’ ”

“ถ้าไม่ตอบก็อยู่แบบนี้แหละ ไม่ต้องไปไหน”

“อยู่แบบนี้บ้านป้านายสิ อยากอยู่ก็อยู่ไปคนเดียว ฉันจะออกไปข้างนอก” อ้ายเหรินพยายามดึงมือหนีจากพันธนาการของมือหนา แต่มือของอ้ายเฉิงเฟิงแข็งเหมือนเหล็ก แรงของเธอไม่เพียงพอจะทำให้มือของตัวเองเป็นอิสระ

“เสี่ยวเหรินเป็นเด็กดี”

ได้ยินชื่อ ‘เสี่ยวเหริน’ ไฟความโกรธแค้นที่มอดดับไปนานแล้วก็ถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง จากที่ขยับแค่มือเพื่อให้มือเป็นอิสระ ครั้งนี้เธอดิ้นรนอย่างหนักเพื่อให้ทั้งตัวเป็นอิสระ กระโปรงรัดรูปที่สั้นเหนือเข่าไม่อาจรั้งเรียวขาขาวไว้ได้ อ้ายเหรินทั้งเข่า ทั้งเตะ

“ไอ้บ้า ไอ้สารเลวเฉิงเฟิง เรียกใครว่าเสี่ยวเหริน ชื่อนี้นายห้ามเรียก”

“เสี่ยวเหรินอยู่นิ่งๆ”

“บอกว่าอย่าเรียกเสี่ยวเหรินไง! ออกไปจากห้องฉันเดี๋ยวนี้นะไอ้บ้า!” เห็นคอที่โผล่พ้นเสื้อยืดอ้ายเหรินก็อ้าปากกัดจนได้กลิ่นสนิมในปาก

กลิ่นสนิมทำให้อ้ายเหรินได้สติ รู้ว่าครั้งนี้เธอรุนแรงเกินไปจึงรีบปล่อยเนื้อในปาก เห็นความเจ็บปวดบนใบหน้าหล่อเหลาของลูกชายบุญธรรมสุดที่รักของพ่อ อ้ายเหรินก็รู้สึกผิดเล็กน้อย แต่ทิฐิมันค้ำคอจึงพูดขอโทษไม่ได้

“ใครใช้ให้นายมาทับฉันเล่า ถ้าไม่อยากโดนกัดจนเนื้อหลุดก็ลุกออกไปเดี๋ยวนี้เลย”

“เสี่ยวเหริน ผู้ชายผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์อยู่ในห้องนอนสองต่อสอง เสี่ยวเหรินคิดว่ามันจะลงเอยยังไง?”

ไฟที่แผดเผาในใจอ้ายเหรินหายไปทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ เมื่ออารมณ์กลับมาคงที่ สติปัญญาที่ถูกพัดหายไปก็กลับมาทำงานตามปกติ สัมผัสแปลกๆ ที่ต้นขาทำให้ทิฐิที่เคยค้ำคอลอยออกไป

อ้ายเหรินไม่ใช่เด็กสาวที่พึ่งโตเป็นวัยรุ่น เรื่องราว 18+ ผ่านตาเธอมามากมายไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบภาพ หนัง และตัวหนังสือ ไอ้ที่มันชนต้นขาเธออยู่นี่ใช่ว่าเธอไม่รู้ว่ามันคืออะไร

ความก้าวร้าวบนใบหน้าสวยใสไร้เดียงสาและถ้อยคำเผ็ดร้อนที่ปากเล็กพ่นออกมาไม่หยุดก็อันตรธานหายไปจนหมด อาการดิ้นทุรนทุรายเมื่อครู่หายไปราวกับภาพลวงตา หลงเหลือเพียงหน้าอกที่ขยับขึ้นลงบ่งบอกให้เห็นว่าหญิงสาวยังไม่ขาดอากาศหายใจตายแต่อย่างใด

อ้ายเหรินไม่ได้โง่ ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน ทิฐิคืออะไร? สำคัญแค่ไหน? ชีวิตและความเป็นอยู่สิสำคัญกว่า เธอมันแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ไม่มีแม้แต่แรงจะฆ่าไก่ จะไปสรรหาเรื่องให้ตัวเองทุกข์ทรมานทำไม?

คนอย่างอ้ายเหรินยืดได้หดได้!

“เสี่ยวเหรินเป็นเด็กดีไหม?”

สุ้มเสียงข้างหูเรื่อยเฉื่อยดุจสายลมแต่แฝงไว้ด้วยการสะกดกลั้นอารมณ์ อ้ายเหรินย่นคอหนีลมหายใจอุ่นๆ ที่พัดผ่านใบหู

“ดี…เป็นเด็กดี” อ้ายเหรินกลัวว่าชายด้านบนจะหน้ามืดจนห้ามตัวเองไว้ไม่ได้ จึงนอนนิ่งและตอบคำถามอย่างเชื่อฟัง

อ้ายเฉิงเฟิงลูบหัวหญิงสาวใต้ร่างอย่างเอ็นดู ยามที่อ้ายเหรินนอนนิ่งๆ โดยไม่พูดอะไร เธอดูเหมือนนางฟ้าตัวน้อยที่ไร้เดียงสาและเชื่อฟัง แต่ในตอนที่เธอเปิดปากพูดมันทำให้เขาหงุดหงิดได้ทุกครั้งไป คำหยาบคายมากมายหลุดออกจากริมฝีปากเล็กๆ ราวกับปืนกล

“อันธพาลน้อย”

“ว่าใคร…” อ้ายเหรินที่เกือบจะสวนกลับรีบดึงคำพูดที่ติดอยู่บนลิ้นกลับมาแล้วเปลี่ยนประโยคใหม่ “ใช่ๆ อันธพาลน้อย”

แกสิอันธพาล!

ไอ้สารเลว รอก่อนเถอะ ฉันจะฟ้องพี่สาว ฮึ่ม พี่สาวไม่เอานายไว้แน่!

อ้ายเหรินด่าอ้ายเฉิงเฟิงในใจอีกหลายประโยค หมายมาดว่าจะโทรไปฟ้องพี่สาว แต่ฉากหน้าเธอยังคงเป็นน้องสาวคนเล็กที่เชื่อฟังพี่ชายอย่างสุดหัวใจ

“เสี่ยวเหริน เรียกพี่ชายสิ”

มุมปากอ้ายเหรินกระตุก ต่อจากเสี่ยวเหรินไอ้บ้านี่ยังกล้าให้เธอเรียกเขาว่าพี่ชาย มันมากเกินไป! อ้ายเหรินทนไม่ได้!!

ก่อนที่อ้ายเหรินจะพ่นคำดุด่าเอวบางที่เปิดเปลือยก็ถูกลูบไล้ด้วยฝ่ามือที่ร้อนจัด ความรู้สึกแปลกๆ ทำให้อ้ายเหรินขนลุก จากที่ทนไม่ได้ก็ทนได้ขึ้นมาทันทีทันใด

“พี่ชาย พี่ชายปล่อยเสี่ยวเหรินได้ไหม?” อ้ายเหรินเรียกเขาเสียงแผ่วราวกับเสียงร้องของสัตว์ตัวเล็กๆ แน่นอนว่านี่คือเสียงที่สามของเธอ ทุกครั้งที่เธอใช้เสียงนี้กับพ่อและพี่สาว พวกเขาจะใจอ่อนเสมอ ดังนั้นมันควรได้ผลอ้ายเฉิงเฟิงด้วยใช่ไหม?

“เสี่ยวเหรินบอกพี่ชายก่อนว่าเสี่ยวเหรินเก็บเสื้อผ้าจะไปไหน”

ยุ่ง! ฉันจะเก็บไปไหนก็เรื่องของฉัน!

“ฉันไม่มีเงินเลยจะไปอยู่วัด” แน่นอนว่าประโยคก่อนหน้านี้อ้ายเหรินทำได้แค่ตอบในใจ

“อยู่วัด?” อ้ายเฉิงเฟิงตกตะลึงมองอ้ายเหรินยังพิจารณา เขารู้ว่าอ้ายเหรินไม่ค่อยฉลาด แต่ไม่คิดว่าวงจรสมองของอ้ายเหรินจะพิสดารได้ขนาดนี้

จากลูกคุณหนูตระกูลอ้ายที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองไปจะนอนวัด?

เธอรู้ไหมว่าวัดไม่ได้สบายอย่างที่เธอคิด อาหารไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดจากภูเขาและทะเล น้ำดื่มไม่ใช่น้ำแร่และไม่ใช่น้ำที่ผ่านเครื่องกรองแบบ RO

ผู้หญิงที่ไม่เคยตกระกำลำบากแบบอ้ายเหรินทนได้ไหม?

อ้ายเฉิงเฟิงปล่อยข้อมือเล็กของอ้ายเหรินแล้วลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าเย็นชา ราวกับไม่รู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่พองตัวขึ้น มือหนาหยิบเสื้อผ้าที่พับไม่ค่อยเป็นระเบียบออกจากกระเป๋าแล้วเก็บเข้าตู้เสื้อผ้า

อ้ายเหรินที่พึ่งได้รับอิสรภาพยังไม่กล้าก้าวร้าว เธอซ่อนความไม่พอใจดวงตาแล้วถามเสียงเบาอย่างขี้ขลาด

“นายทำอะไร?”

“ไม่ต้องไปวัด ผมจะเลี้ยงคุณเอง”

“นายน่ะเหรอ?” อ้ายเหรินถามเสียงสูง เงินที่เธอใช้แต่ละเดือนสูงถึงเจ็ดหลัก นักศึกษาที่ยังเรียนไม่จบจะเอาเงินมาจากไหน?

ทันใดนั้นอ้ายเหรินก็นึกพ่อที่เคยรักเธอมากก่อนที่อ้ายเฉิงเฟิงจะเข้ามา เป็นไปได้ไหมว่าพ่อส่งอ้ายเฉิงเฟิงมาดูแลเธอ?

แกล้งทำเป็นไม่ให้เงิน สุดท้ายก็ใจอ่อนแต่ปากแข็งเลยให้อ้ายเฉิงเฟิงมาส่งเงิน

แน่นอนว่าพ่อยังคงรักเธอ…

“มันเป็นเงินเงินของพี่ชาย ไม่ใช่ของพ่อเสี่ยวเหริน”

อ้ายเหรินที่กำลังฝันหวาน “…”

ใช่ซี้ เธอมันลูกที่ถูกลืม ขยะของตระกูลจะเทียบกับลูกบุญธรรมที่ดีเลิศประเสริฐศรีของพ่อได้ยังไง!

“นายเอาเงินมาจากไหน? ยังเรียนไม่จบเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?” ปากของเธออาจพูดคำดีๆ ไม่ค่อยได้ แต่เธอไม่เคยคิดจะเอาเปรียบอ้ายเฉิงเฟิง

“ทำงาน”

“ทำงานอะไร? ขาดคนไหม? ฉันทำด้วยได้ไหม?” อ้ายเหรินได้ยินว่ามีงานก็สนใจ

“อยู่เฉยๆ พี่ชายจะหาเงินให้ใช้”

อ้ายเหรินกลอกตาอย่างเบื่อหน่ายเมื่อได้ยินคำแทนตัวของอ้ายเฉิงเฟิง เธอรีบเปลี่ยนเรื่องเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเอง

“ทำไมนายทำได้แล้วฉันทำไม่ได้?” เมื่อถามจบ อ้ายเหรินก็เห็นสายตาแปลกๆ ของอ้ายเฉิงเฟิง เป็นสายตาเช่นเดียวกับพ่อตอนที่ได้ยินว่าเธออยากไปเรียนรู้งานที่บริษัท

สายตาที่ใช้มองเด็กเล่นขายของ สายตาที่ไม่เชื่อว่าเธอสามารถทำได้

“การทำงานมันเหนื่อย เสี่ยวเหรินไม่เคยลำบาก”

คำพูดของอ้ายเฉิงเฟิงทำให้อ้ายเหรินโกรธจนลืมกลัว “อะไรที่ฉันไม่เคยทำไม่ได้หมายความว่าฉันทำไม่ได้!”

อ้ายเหรินผลักอ้ายเฉิงเฟิงด้วยความโกรธ คว้ากระเป๋าตังค์แล้วรีบวิ่งออกไป ด้วยอารมณ์นำพาอ้ายเหรินจึงขับรถตรงไปที่ KTV ทั้งที่ไม่มีนัด ทันทีที่มาถึงล็อบบีอ้ายเหรินก็ใจเย็นลงและตระหนักได้ว่าเธอไม่ได้จองห้องไว้ ในวันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะมีห้องว่าง

ให้ตายเถอะ เธอใจร้อนจนขาดสติอีกแล้ว

มือบางนวดขมับที่เต้นตุบๆ สองขาก้าวไปที่ประตูเพื่อออกไปจากที่นี่ ขณะเดินออกไปเธอบังเอิญเดินสวนกับคนรู้จัก

“อ้ายเหริน? เธอมาทำอะไรที่นี่?”

อ้ายเหรินใช้เวลาอยู่พักหนึ่งก่อนจะนึกชื่อผู้หญิงที่ทักเธอออก

“หลินลั่วเหยา…ฉันมีนัดกับจางลี่”

“จางลี่เหรอ? จางลี่ไปทานอาหารกับแฟนหนุ่มที่ร้านอาหารไม่ใช่เหรอ เมื่อกี้ฉันพึ่งเจอเธอ”

เมื่อนึกถึงจางลี่ อ้ายเหรินก็กลอกตาอย่างอดไม่ได้

“ใช่ ฉันโดนเท”

หลินลั่วเหยาหัวเราะ “ไหนๆ ก็มาถึงนี่แล้วไปเล่นกับฉันไหม?”

อ้ายเหรินลังเล ในหนึ่งก็อยากไปผ่อนคลายสมองจากความเครียด อีกใจก็หวาดกลัวไม่กล้าไป แวดวงทายาทมหาเศรษฐีนั้นซ้อนทับกัน ทุกคนต่างรู้จักกันหมด อ้ายเหรินและหลินลั่วเหยาเองก็เรียนโรงเรียนเดียวกันตั้งแต่อนุบาลจนถึงมหาลัย

แม้ว่าอ้ายเหรินจะเป็นอันธพาลตัวน้อยและขยะของตระกูลอ้ายแต่เธอมีขีดจำกัดของตัวเอง แตกต่างกับหลินลั่วเหยาที่ชอบเล่นอะไรแปลกๆ และไปสุดในทุกทาง ความสัมพันธ์ของเธอกับหลินลั่วเหยาจึงหยุดอยู่ที่คนรู้จัก

หลินลั่วเหยาเห็นความลังเลของอ้ายเหรินจึงพูดเพื่อคลายความกังวล

“ไม่ต้องห่วงน่า ฉันรู้ว่าเธอชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ครั้งนี้แค่ดื่ม อาจมีภาพไม่น่ามองเล็กน้อยแต่ฉันสัญญาว่าจะไม่ให้ใครทำอะไรเธอและจะไม่มีใครยุ่งกับแก้วเธอ โอเคไหม?”

“แน่ใจนะว่าจะไม่หลอกฉันไปทำอะไรแปลกๆ”

“เห็นฉันเป็นคนยังไงเนี่ย ถึงฉันจะมีรสนิยมที่พิเศษกว่าคนอื่นแต่ฉันไม่ได้เลวขนาดนั้น ฉันรู้น่าว่าคนที่ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ”

เห็นหลินลั่วเหยาให้คำสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะ อ้ายเหรินที่ประสบปัญหาชีวิตก็พยักหน้าตกลง เดินตามหลินลั่วเหยาเข้าไปในห้อง

“พี่สาวเหยามาแล้ว~ พี่สาวพาใครมา? เด็กใหม่เหรอ?”

หลินลั่วเหยาหัวเราะเยาะคนขี้เมาแล้วตอบด้วยน้ำเสียงไม่ร้อน ไม่เย็น แต่แฝงความข่มขู่ชัดเจน

“เพื่อนของฉัน เธอแค่มาหาอะไรดื่ม ฟังเพลงแก้เครียด อย่ารบกวนเธอ”

“โอเคๆ ห้ามรบกวน” ชายขี้เมายิ้มเจื่อนแล้วถอยกลับไปนั่งที่เดิมพร้อมทั้งกระซิบบอกคนข้างๆ

หลินลั่วเหยาพาอ้ายเหรินไปนั่งที่มุมห้องซึ่งดูจะสงบที่สุด

“ดื่มอะไร?”

“ค็อกเทลเบาๆ ก็พอ”

หลินลั่วเหยาหันไปสั่งบริกร ไม่นานค็อกเทลกับวิสกี้ก็มาเสิร์ฟ หลินลั่วเหยาดันแก้วค็อกเทลให้อ้ายเหรินแล้วเอ่ยปากถาม

“ทะเลาะกับที่บ้านเหรอ?”

“เปล่า” อ้ายเหรินถือคติไม่เผยแพร่เรื่องสกปรกในครอบครัวจึงเลือกที่จะโกหก

“คนเขารู้กันทั้งนั้น เธอยังจะโกหกอีก”

อ้ายเหรินมองหลินลั่วเหยาด้วยความสับสน “รู้อะไร?”

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0

ความเห็น 0

ยังไม่มีความเห็น