โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

“เป็นโรคเกาต์รึเปล่าครับ” ถ้าตรวจเจอกรดยูริกในเลือดสูง

The Momentum

อัพเดต 11 ต.ค. 2562 เวลา 10.29 น. • เผยแพร่ 11 ต.ค. 2562 เวลา 10.29 น. • ชนาธิป ไชยเหล็ก

In focus

  • ภาวะกรดยูริกในเลือดสูงอาจเป็นระยะแรกของโรคเกาต์ แต่จะยังไม่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเกาต์หากไม่มีอาการปวดข้อ ซึ่งมักปวดข้อระหว่างนิ้วหัวแม่เท้ากับฝ่าเท้า หรือมีก้อนโทฟัส ซึ่งเป็นกรดยูริกที่สะสมอยู่ที่ชั้นใต้ผิวหนัง
  • ผู้ที่มีภาวะกรดยูริกในเลือดสูงหรือผู้ป่วยโรคเกาต์ควรหลีกเลี่ยงน้ำหวาน เหล้าเบียร์ เครื่องในสัตว์ เนื้อแดง สัตว์ทะเล เพราะจะทำให้มีอาการกำเริบได้ ส่วนผักสามารถกินได้ไม่จำกัด แต่ผลไม้ควรเลือกชนิดที่ไม่หวานมาก

 “เป็นโรคเกาต์รึเปล่าครับ” เคยมีคนไข้ถือสมุดตรวจสุขภาพประจำปีของบริษัทเข้ามาปรึกษาที่โรงพยาบาล (ไม่ได้เฉพาะเจาะจงกับผมหรอกนะครับ แต่ผมออกตรวจวันนั้นพอดี) เพราะผลการตรวจเลือดพบ “กรดยูริกในเลือดสูงกว่าปกติ” ซึ่งเดี๋ยวนี้เวลาคุยกับคนไข้วัยกลางคน หลายคนรู้จักว่าถ้ามีกรดยูริกในเลือดสูงจะทำให้เป็นโรคเกาต์ได้ ผมจึงแทบไม่ต้องเปลี่ยนคำว่า ‘กรดยูริก’ เป็น ‘ค่าเกาต์’ เหมือนเวลาคุยกับคนไข้สูงอายุอีกแล้ว  

เค้า (เกาต์) คือใคร

อย่างแรกที่ผมดูคือค่ากรดยูริกว่าสูงกว่าปกติจริงหรือไม่ เพราะการแปลผลในสมุดตรวจสุขภาพ (หรือแม้แต่ห้องแล็บของโรงพยาบาลเอง) จะใช้เกณฑ์เหมือนกันทั้ง 2 เพศ แต่ความจริงแล้วระดับปกติของกรดยูริกในเพศชายและหญิงไม่เท่ากันโดยจะไม่เกิน 7 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรในผู้ชายและ 6 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรในผู้หญิง สำหรับคนไข้รายนี้ก็ถือว่าสูงกว่าเกณฑ์ปกติของผู้ชายจริง คราวนี้ก็มาถึงสิ่งที่คนไข้อยากรู้แล้วว่าเขา “เป็นโรคเกาต์รึเปล่าครับ”

อ้าว! เขายังไม่เป็นโรคเกาต์อีกเหรอ?

ใช่แล้วครับ ถึงแม้จะตรวจพบกรดยูริกในเลือดสูงจริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นโรคเกาต์กันทุกคน เพราะคนที่เป็นโรคจะต้องมีอาการด้วย โดยผู้ป่วยจะปวดข้อมากให้คะแนนความปวดมากกว่า 7 เต็ม 10 และมักจะปวดมากเวลากลางคืน แต่ส่วนใหญ่จะปวดเพียงข้อเดียว บวม แดง ร้อนตรงข้อ และขยับลำบาก มักเป็นที่ข้อที่เชื่อมนิ้วหัวแม่เท้ากับฝ่าเท้า (ภาพที่ 1) ข้ออื่นในเท้า หรือข้อเท้าทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับการเดิน 

ภาพที่ 1 โรคเกาต์มักมีอาการปวดข้อที่เชื่อมหัวแม่เท้ากับฝ่าเท้า (ดัดแปลงจาก JAMA)

หรือถ้ากรดยูริกในเลือดสูงมากก็จะสะสมเป็นก้อนสีขาวคล้ายชอล์กตามผิวหนังบริเวณข้อนิ้วเท้า เอ็นร้อยหวาย ใบหู ข้อนิ้วมือ และข้อศอก (ภาพที่ 2) เหมือนกับเกลือในน้ำทะเลที่พักทิ้งไว้ในนาเกลือก็จะตกผลึกเป็นเกลือขึ้นมาให้เห็น ถ้าหากคนไข้มีอาการหรือตรวจพบก้อนนี้ (แสดงว่ากรดยูริกสูงมากๆ) ร่วมด้วยได้ก็จะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเกาต์ในที่สุด – “ไม่มีอาการปวดข้อเลยครับ” ดังนั้นคนไข้รายนี้จึงเป็นแค่ “ภาวะกรดยูริกในเลือดสูง” เท่านั้น

ภาพที่ 2 ก้อนโทฟัส (tophus) หรือก้อนกรดยูริกที่สะสมอยู่ชั้นใต้ผิวหนังบริเวณใบหู (ก.) และข้อนิ้วมือ (ข.) (ที่มา: Johns Hopkins Arthritis Center)

ซึ่งถ้าผลตรวจเลือดอื่นไม่พบโรคเลือด โรคมะเร็ง หรือโรคไตเรื้อรัง ก็สามารถรักษาด้วยการปรับเปลี่ยนอาหารและเครื่องดื่มในชีวิตประจำวันก่อนได้ เพราะกรดยูริกในร่างกายเกิดได้จาก 3 สาเหตุ คือ 1. กินอาหารที่มีพิวรีนสูงเป็นสารตั้งต้นให้ร่างกายสร้างกรดยูริก 2. โรคประจำตัวที่ทำให้สร้างกรดยูริกในร่างกายเพิ่มขึ้น และ 3. โรคประจำตัวหรือกรรมพันธุ์ที่ทำให้ขับกรดยูริกออกจากร่างกายได้ลดลง

เค้า (เกาต์) กินอะไร

“กินเบียร์หรือเหล้าไหมครับ” ถ้าเป็นคนไข้ผู้ชาย ผมก็จะถามถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อน โดยเฉพาะเบียร์ที่เพิ่มกรดยูริกประมาณ 0.5 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรต่อ 1 ดื่มมาตรฐาน (standard drink) ต่อวัน เหล้าเพิ่ม 0.3 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ส่วนไวน์กลับไม่พบว่าสัมพันธ์กับระดับกรดยูริกในเลือด ในขณะที่เมื่อเปรียบเทียบระหว่างเบียร์ที่มีและไม่มีแอลกอฮอล์พบว่าทำให้ระดับกรดยูริกเพิ่มขึ้น 6.5 และ 4.4% ตามลำดับ

“กินน้ำหวานเยอะไหมครับ” ส่วนถ้าเป็นผู้หญิงก็จะถามถึงเครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาลฟรุกโตส(ในอุตสาหกรรมอาหารจะสกัดจากแป้งข้าวโพด) เช่น น้ำชาเขียว ชานมไข่มุก เพราะจากการศึกษาพบว่ายิ่งดื่มน้ำหวานในแต่ละวันมากเท่าไร ก็ยิ่งเพิ่มระดับกรดยูริกในเลือดมากเท่านั้น โดยจะเพิ่มขึ้นประมาณ 0.1 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรต่อ 1 หน่วยบริโภค รวมถึงผลไม้รสหวานซึ่งเป็นแหล่งของน้ำตาลฟรุกโตสด้วย เช่น องุ่น มะละกอ แตงโม เป็นต้น

ที่ผมพูดถึงเครื่องดื่มก่อน เพราะเป็นสิ่งที่คนไข้สามารถหลีกเลี่ยงได้ง่ายกว่าอาหารที่หลายคนก็จะนึกถึง ‘ไก่’ ขึ้นมาเป็นอย่างแรก ซึ่งอย่างน้อยต้องอยู่ในมื้อใดมื้อหนึ่งของแต่ละวัน นอกจากนี้ในปัจจุบันการจำกัดอาหารที่มีสารพิวรีนสูงกลับไม่มีหลักฐานสนับสนุนชัดเจน คืออย่างนี้ครับเมื่อก่อนคำแนะนำเกี่ยวกับอาหารมีที่มาจากทฤษฎีที่ว่ากรดยูริกที่เพิ่มขึ้นเกิดจากการที่ร่างกายได้รับอาหารที่มีสารพิวรีนสูง

ได้แก่ เครื่องในสัตว์ เนื้อแดงสัตว์ทะเลที่มีเปลือก เช่นกุ้ง หมึก หอย 

จึงต้องเปลี่ยนมากินโปรตีนจากไข่ เต้าหู้ และนมไขมันต่ำแทน แต่พอแนะนำอย่างนี้แล้วผู้ป่วยกลับไม่สามารถทำตามได้แน่นอนว่าอาหารไม่อร่อย และสามารถลดระดับกรดยูริกได้เพียง 1 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรในผู้ที่กินอาหารตามปกติในขณะที่ยังไม่มีงานวิจัยระดับการทดลอง (RCT) ซึ่งการแพทย์สมัยใหม่ให้ความสำคัญรองรับ ผู้เชี่ยวชาญบางกลุ่มจึงเสนอว่ายังมีข้อมูลไม่เพียงพอที่จะแนะนำเช่นนี้

อย่างไรก็ตามถ้าหากยึดตามทฤษฎีและคนไข้สามารถปฏิบัติได้สม่ำเสมอ โดยอาจลดปริมาณอาหารเหล่านี้ลง (ไม่ถึงกับงดไปเลยทั้งหมด) กินปลาที่มีกรดไขมันจำเป็นสูง (oily fish) แทนในบางมื้อ เช่น ปลาทูน่า ปลาแซลมอน หรือถ้าเป็นปลาน้ำจืด เช่น ปลาดุก ปลาสวาย ปลาช่อน ตามสัดส่วนในภาพที่ 3 ก็จะสามารถลดระดับกรดยูริกและโอกาสเกิดโรคเกาต์กำเริบได้

อ้อ! ผมยังไม่ได้พูดถึงไก่และสัตว์ปีกซึ่งเป็นแหล่งของสารพิวรีน แต่ผมอ้างอิงจากบทความในปี 2016 ว่าถ้ากินในปริมาณปานกลางก็ถือว่าเป็นแหล่งโปรตีนที่มีความเสี่ยงต่ำ 

ในขณะที่หลายคนมักได้ยินว่าผู้ป่วยโรคเกาต์ให้หลีกเลี่ยงพวกยอดผักหรือผักที่มีพิวรีนสูงด้วย แต่ในต่างประเทศไม่มีคำแนะนำเช่นนี้และยังแนะนำให้กินผักเพิ่มขึ้นเพราะสารพิวรีนในพืชส่งผลต่อระดับกรดยูริกในเลือดน้อย อย่างไรก็ตามผู้ป่วยโรคเกาต์บางคนอาจมีอาการกำเริบหลังจากการกินอาหารบางอย่าง เช่น “สงสัยจะกินหน่อไม้มาเมื่อวาน” ก็จะแนะนำให้งดอาหารชนิดนั้นไป (แต่หลายคนก็อดไม่ได้ที่จะกิน)

ภาพที่ 3 พีระมิดอาหารหัวกลับสำหรับผู้ป่วยโรคเกาต์ (ดัดแปลงจาก Beyl RNJr, Hughes L, Morgan S., 2016)

ดังนั้นใครที่ตรวจพบกรดกรดยูริกในเลือดสูง โดยที่ยังไม่มีอาการและโรคประจำตัวสามารถปรับเปลี่ยนอาหารและเครื่องดื่มก่อน หรือแม้แต่โรคเกาต์ก็ใช้การรักษาด้วยยาและไม่ใช้ยาควบคู่กันซึ่งในช่วงแรกแพทย์ก็จะให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ได้แก่ การลดน้ำหนัก หยุดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการจำกัดอาหาร 1-2 เดือนแล้วเจาะเลือดตรวจระดับกรดยูริกซ้ำ หากยังสูงอยู่ถึงจะเริ่มรักษาด้วยยาลดกรดยูริกในเลือดครับ

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...