โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

โรงเรียนแนวไหนใช่สำหรับลูก

Mood of the Motherhood

อัพเดต 10 เม.ย. 2561 เวลา 10.13 น. • เผยแพร่ 02 เม.ย. 2561 เวลา 13.05 น. • Features

การเลือกโรงเรียนอนุบาลเป็นอะไรที่สำคัญหนักมาก จะเลือกโรงเรียนอนุบาลซึ่งเป็นเหมือนบ้านหลังที่สองให้ลูกทั้งที คุณพ่อคุณแม่คงต้องคิดหนักกันไปข้างหนึ่ง

ไหนจะโรงเรียนทางเลือก โรงเรียนสองภาษา โรงเรียนนานาชาติ หรือจะเลือกตามแนวทางการเรียนการสอน เช่น มอนเตสซอรี (Montessori), วอลดอร์ฟ (Waldorf), เรกจิโอเอมิเลีย (Reggio Emilia) และวิถีพุทธ ก็ยิ่งตัดสินใจเลือกยากเข้าไปอีก

แต่ก่อนจะตัดสินใจเลือกโรงเรียนให้เจ้าตัวเล็ก เราชวนคุณพ่อคุณแม่มาทำความรู้จักกับโรงเรียนอนุบาลรูปแบบต่างๆ กันอีกครั้ง มาดูกันว่าโรงเรียนแบบไหนที่จะเหมาะกับสไตล์ของครอบครัวเราที่สุดกันแน่

1. โรงเรียนอนุบาลแนวเตรียมความพร้อม

โรงเรียนอนุบาลแนวเตรียมความพร้อม หรือที่บางคนเรียกว่า ‘โรงเรียนทางเลือก’ เป็นโรงเรียนสุดฮิตที่คุณพ่อคุณแม่สนใจกันมากขึ้นทุกปี เน้นพัฒนาศักยภาพของลูกโดยมีนักเรียนเป็นศูนย์กลาง มีความเชื่อว่าปฐมวัยเป็นวัยที่เหมาะกับการเรียนรู้ผ่านการเล่นและลงมือทำ จึงไม่เน้นการอ่านเขียน หรือให้เด็กท่องจำตำรา

โรงเรียนอนุบาลแนวเตรียมความพร้อมหลายโรงเรียน ให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมกับการเรียนของลูก และให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อม เช่น จัดให้โรงเรียนดูอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน หรือมีความน่ารักน่าสำรวจ มีของเล่นกระตุ้นการเรียนรู้ของเด็กๆ จากภายใน ซึ่งแบ่งออกเป็นสไตล์ต่างๆ ดังนี้

สนุกอย่างอิสระแต่มีขอบเขตแบบมอนเตสซอรี (Montessori)

ถูกสร้างโดยมาเรีย มอนเตสซอรี—แพทย์ชาวอิตาลีช่วงปลายค.ศ.1800 ถือเป็นแนวคิดยุคแรกๆ ที่คิดว่าไม่ควรใช้ความรุนแรงสอนเด็ก แต่ควรให้เด็กเติบโตตามธรรมชาติและความสามารถของเขา เด็กจึงเป็นศูนย์กลางในการเรียนรู้

จุดเด่น

- มีความเชื่อว่าเด็กแต่ละคนแตกต่างกัน จึงควรได้รับการยอมรับและพัฒนาในแบบของแต่ละคน

- เด็กจะเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมรอบตัว จึงควรจัดสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ให้เหมาะกับการเรียนรู้

- คุณครูเป็นผู้สนับสนุน แนะนำ และสังเกตความสนใจของเด็ก โดยเปิดโอกาสให้เด็กแก้ปัญหาเอง และเรียนรู้ในสิ่งที่สนใจอย่างอิสระ

- เด็กเรียนรู้ด้วยตัวเองตามความสนใจจากสิ่งแวดล้อม และเรียนรู้ผ่านการเล่นและการทำกิจกรรมกลุ่ม ซึ่งใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5

- เปิดโอกาสให้เด็กทำงานในสถานการณ์และอุปกรณ์จริง เช่น ทำอาหาร ทำความสะอาด และช่วยเหลือตัวเอง ทำให้เด็กรู้จักรับผิดชอบ ฝึกฝนทักษะชีวิต พอใจและภาคภูมิใจต่อความสำเร็จที่เกิดขึ้น ทำให้เชื่อมั่นและเห็นคุณค่าตัวเอง

- เด็กได้เรียนร่วมกับเพื่อนที่มีความแตกต่างกัน เพราะในแต่ละห้องเรียนจะจัดกลุ่มคละกันในห้อง สำหรับเด็กที่ช่วงอายุห่างกันประมาณ 3 ปี เช่น อายุ 0-3 ปีเรียนด้วยกัน

รักษาจิตวิญญาณความเป็นเด็กเแบบวอลดอร์ฟ (Waldorf)

มีรากฐานมาจากรูดอล์ฟ ชไตเนอร์—นักปรัชญาชาวออสเตรีย เป็นแนวคิดที่เชื่อในมนุษยนิยม ให้ความสำคัญกับจินตนาการ เน้นรักษาสมดุลและความเป็นธรรมชาติของวัยเด็ก

จุดเด่น

- ให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์ ต้องการรักษาจิตวิญญาณและจิตใจของเด็ก

- คุณครูมองเด็กในฐานะมนุษย์ ที่ประกอบด้วยร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณที่มีความแตกต่าง รู้จักเด็กให้ถึงลักษณะเฉพาะของแต่ละคนให้มากที่สุด และส่งเสริมให้เกิดแรงจูงใจจากข้างใน เพื่อให้เด็กเรียนรู้และค้นพบจุดแข็งและความสามารถตามธรรมชาติของเขา

- ไม่มีการสอนอ่านเขียน หรือคำนวณในระดับอนุบาล เด็กจะได้เรียนรู้ผ่านการเล่นและการทำกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งการทำตามแบบอย่างของครู เด็กๆ จะได้คิดและลงมือทำด้วยตัวเองทั้งกระบวนการ เพื่อพัฒนาจิตวิญญาณ จินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ด้วยการเชื่อมโยงความรู้รอบด้าน

- ปรัชญาของวอลดอร์ฟเน้นศิลปะ ดนตรี และการเล่น ซึ่งถือเป็นงานของเด็กเล็ก และให้ความสำคัญกับจินตนาการมาก

- จัดสภาพแวดล้อมโรงเรียนให้ดูอบอุ่นและเป็นกันเองเหมือนบ้าน ด้วยของเล่นไม้ วัสดุจากธรรมชาติ และสีสันที่มีผลต่อพฤติกรรมเด็ก

- ไม่ให้เด็กใช้สื่อต่างๆ และโทรทัศน์ก่อนวัยสมควร เพราะเชื่อว่าเป็นสิ่งที่กีดขวางจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก

โตไปเป็นพลเมืองที่ดีของโลกแบบเรกจิโอเอมิเลีย (Reggio Emilia)

เริ่มต้นจากทางเหนือของอิตาลีโดย เรกจิโอ เอมิเลีย ปัจจุบันแพร่หลายในสหรัฐอเมริกา หลักการโดยรวมคือสนับสนุนให้เด็กๆ สำรวจสิ่งรอบตัว โดยมีครูเป็นคนช่วย และเน้นความสำคัญของสิ่งแวดล้อมและสังคม

จุดเด่น

- แนวคิดก็คือการสร้างพลเมืองที่ดีและมีความรับผิดชอบต่อโลก

- เด็กๆ จะสื่อความเข้าใจ สิ่งที่เขาคิด อารมณ์ และความคิดสร้างสรรค์ผ่านการวาดภาพ การเต้น การเคลื่อนไหว การเล่น ดนตรี และอื่นๆ ได้อีกเป็นร้อยวิธี ซึ่งถือเป็นภาษาที่เด็กๆ สื่อสารออกมา

- ความสัมพันธ์เป็นหัวใจสำคัญในการเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์กับผู้ใหญ่หรือเด็กคนอื่นๆ โรงเรียนจึงเน้นให้เด็กๆ มีความร่วมมือกันด้วยการทำงานเป็นกลุ่ม ให้เด็กแต่ละคนมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียมกัน

- บทบาทของผู้ใหญ่คือสังเกต ฟังคำถาม และเรื่องราวของเด็กๆ เพื่อค้นหาสิ่งที่เขาสนใจ โดยครูคอยให้ความช่วยเหลือ ใช้คำถามของเด็กๆ เป็นโอกาสในการเรียนรู้และค้นหาคำตอบร่วมกัน แทนที่จะตอบคำถามเด็กเพียงอย่างเดียว

- ครูต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่เด็ก ต้องมีลักษณะเป็นนักค้นคว้า นักวิจัย และนักสำรวจ เพื่อนำพาเด็กไปสู่การเรียนรู้ที่ก้าวหน้า ให้เป็นคนที่อยากจะเรียนรู้ตลอดชีวิต

- สิ่งแวดล้อมเป็นครูคนที่สาม มีหน้าที่สร้างแรงบันดาลใจให้เด็กๆ กระตุ้นให้เด็กๆ เกิดความสนใจในเรื่องต่างๆ ครู พ่อแม่ และชุมชนจึงต้องมีส่วนร่วมในการจัดสภาพแวดล้อมให้เด็กได้เรียนรู้ สังเกต ตั้งสมมติฐาน และสำรวจ

ฝึกเป็นนักวิจัยตัวน้อยด้วยการเรียนรู้แบบโครงการ (Project Approach)

คือแนวคิดที่พัฒนามาจากการเรียนรู้แบบเรกจิโอเอมิเลีย เป็นการเรียนที่เปิดโอกาสให้เด็กสืบค้นข้อมูลด้วยตัวเองในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างลึกซึ้ง

จุดเด่น

- เชื่อว่าเด็กวัยอนุบาลชอบสำรวจสืบค้น และสนุกสนานกับการเรียนรู้สิ่งรอบตัว การเรียนจึงเน้นให้โอกาสเด็กๆ ได้ศึกษาสิ่งรอบตัวที่สนใจ

- วิธีการเรียนของเด็กจะคล้ายกับวิธีที่เราทำโพรเจกต์ คือ…

ขั้นเริ่มต้น: เด็กๆ บอกสิ่งที่ตัวเองสงสัย แล้วเลือกว่าจะศึกษาเรื่องอะไร มีครูให้คำแนะนำโดยไม่บอกคำตอบ แต่ให้เด็กคาดเดาคำตอบว่าน่าจะเป็นอะไร เอาไว้เปรียบเทียบทีหลัง

ขั้นรวบรวมข้อมูล: วางแผนไปสถานที่ต่างๆ หรือใช้หนังสือและสื่อต่างๆ เพื่อสำรวจสืบค้นให้ได้คำตอบ โดยมีครูช่วย รวมถึงจัดหาผู้เชี่ยวชาญที่สามารถตอบคำถามของเด็กๆ ได้ มาให้ความรู้ และรายงานสิ่งที่ค้นพบจากกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับเพื่อน

ขั้นสรุป: เด็กๆ นำสิ่งที่ค้นพบมาพูดคุย และจัดแสดงผลงานเพื่อแบ่งปันความรู้

- เป็นวิธีที่สอนให้เด็กรู้วิธีการเรียนรู้ (Learning to Learn) ทำให้สามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองไปตลอดชีวิต และยังสอนวิธีการคิดรูปแบบต่างๆ (Learning to Think) ทำให้สามารถพิจารณาข้อมูลอย่างมีเหตุมีผล รู้จักนำข้อมูลมาเปรียบเทียบ วิเคราะห์ และสังเคราะห์ได้ตามวัย เป็นวิธีการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับการทำงานของสมอง

- ครูจะช่วยบูรณาการกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ สังคมศึกษา หรือสุขศึกษาเข้าไป ให้เด็กสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง

เรียนภาษาอย่างธรรมชาติ (Whole Language Approach)

คือการสอนภาษาแบบบูรณาการ ผ่านการฟัง พูด อ่าน และเขียน เพื่อให้เด็กมีพัฒนาการด้านภาษาได้ง่ายและเร็วขึ้น

จุดเด่น

- เชื่อว่าเด็กเกิดมาพร้อมกับความสามารถเรียนรู้ภาษาด้วยตัวเองจากสิ่งต่างๆ รอบตัว ผ่านการพูด ฟัง อ่าน และเขียน เน้นสอนให้เด็กเข้าใจความหมายของคำเป็นประโยคเพื่อใช้สื่อสาร ไม่ใช่ท่องจำเป็นคำๆ

- จัดสภาพแวดล้อมให้เด็กได้ใช้ภาษาสื่อสาร เช่น การถามตอบง่ายๆ การเล่านิทาน หรือการแสดงบทบาทสมมติ

- ครูกระตุ้นให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนและครูในบรรยากาศอบอุ่น ไม่บังคับให้ท่องจำ หรือทำโทษเมื่อพูดผิดเขียนผิด ทำให้เด็กมีทัศนคติดีกับภาษา เพราะเด็กเรียนรู้ภาษาด้วยตัวเอง

- เด็กจะฟัง พูด อ่าน และเขียนได้โดยวิธีธรรมชาติ เพราะความคุ้นเคยกับหนังสือ และมีประสบการณ์กับตัวหนังสือที่มาพร้อมกิจกรรมในชีวิตประจำวัน ทำให้เคยชินกับการเรียนรู้ภาษาจากสิ่งรอบตัว และฝึกฝนให้เป็นนักอ่านนักเรียนรู้ภาษาที่ดี

- เด็กจะมีจินตนาการและพัฒนาการสมวัย เพราะเรียนรู้จากการสร้างสัญลักษณ์แทนภาษาขึ้นมา ก่อนจะพัฒนาไปสู่การเรียนการสอนแบบอ่านออกเขียนได้

วางแผนและลงมือกับไฮหรือสโคป (High/Scope Approach)

แนวคิดนี้มาจากทฤษฎีพัฒนาการทางจิตวิทยา และงานวิจัยของนักจิตวิทยากับนักการศึกษา ซึ่งเน้นพัฒนาทักษะในด้านต่างๆ ของเด็ก ทั้งความอิสระ การแก้ปัญหา และทักษะการสื่อสารที่จำเป็นในสังคมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

จุดเด่น

- เน้นการเรียนรู้แบบลงมือทำ ผ่านการเล่นที่หลากหลาย ด้วยสื่อและกิจกรรมที่เหมาะกับพัฒนาการของวัยนั้นๆ

- ในแต่ละวันเด็กๆ จะได้ลงมือทำ ในห้องเรียนที่จัดสภาพแวดล้อมไว้อย่างดี และทำกิจวัตรประจำวันสม่ำเสมอ

- ครูเป็นผู้สนับสนุนและผลักดันให้เด็กๆ เกิดกระบวนการ plan, do, review คือก่อนที่จะเริ่มทำกิจกรรม เด็กๆ จะวางแผนโดยมีครูช่วย เช่น จะทำอะไร จะใช้อะไรทำ ทำกับใคร จากนั้นลงมือทำให้สำเร็จ แล้วทบทวนสิ่งที่พวกเขาได้ทำกับครูและเพื่อนร่วมชั้น โดยแต่ละกิจกรรมจะใช้วิธีนี้จนเป็นกิจวัตร

- เน้นการเรียนรู้แบบ Active Participatory Learning คือการที่เด็กๆ มีประสบการณ์ตรงกับคน สิ่งของ เหตุการณ์ และความคิด ซึ่งหัวใจสำคัญของไฮ/สโคปก็คือ การที่เด็กๆ มีความสนใจและมีทางเลือก

ความฉลาดไม่ได้มีแค่ด้านเดียว กับการเรียนสไตล์พหุปัญญา (Multiple Intelligences)

แนวคิดนี้นำมาจากทฤษฎีของนักจิตวิทยาการพัฒนาชาวอเมริกัน—โฮวาร์ด การ์ดเนอร์ ในปี 1983 ซึ่งต่างจากทฤษฎีเรื่องความฉลาดที่เชื่อกันแต่เดิม ด้วยการเสนอว่าความฉลาดนั้นมีหลายด้าน ไม่ได้มีแค่คณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์

จุดเด่น

- ความฉลาดตามทฤษฎีของการ์ดเนอร์ แบ่งออกเป็น 8 มิติ

ด้านการพูดและภาษา (Verbal/Linguistic Intelligence): ความสามารถการเรียนรู้ภาษาพูด ภาษาอ่าน และภาษาเขียน ด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ (Logical/Mathematical Intelligence): ส่วนนี้ใกล้เคียงกับแนวความเชื่อด้านความฉลาดดั้งเดิม คือความฉลาดเรื่องการให้เหตุผลและการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ เช่น แก้ไขโจทย์ตัวเลข และการคิดวิเคราะห์ ด้านมิติสัมพันธ์ (Visual/Spatial Intelligence): ความสามารถในการรับรู้สภาพแวดล้อมโดยรอบ เช่น การกะระยะทางความลึก ความสูง ขนาด ความจุ และการใช้แผนที่ ด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว (Kinaesthetic Learning): ความสามารถในการเรียนรู้และควบคุมร่างกาย รวมถึงการมีเซนส์เรื่องเวลาที่ดี ด้านดนตรีและจังหวะ (Musical Intelligence): เกี่ยวกับการรับรู้ถึงเสียง จังหวะ การร้องเพลง และการเล่นดนตรี ด้านความสัมพันธ์กับผู้อื่น (Interpersonal Intelligence): มีความสามารถในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น เป็นตัวกลาง เข้าใจและมีความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ด้านการรู้จักตัวเอง (Intrapersonal Intelligence): ความสามารถในการเข้าใจตัวเอง ว่ามีความสนใจและเป้าหมายอะไร และควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ ด้านธรรมชาติ (Naturalistic Intelligence): ความสามารถในการสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ - เน้นเคารพจุดแข็งและความสนใจของเด็กแต่ละคน

- เด็กๆ จะมีพื้นที่เรียนรู้ที่ออกแบบมา เพื่อพัฒนาความฉลาดแต่ละด้านที่แตกต่างกัน

- กิจกรรมมีการผสมผสานกันอย่างลงตัว ระหว่างกิจกรรมในร่มและกลางแจ้ง และการทำงานเป็นรายบุคคลและกลุ่ม

เข้าใจความจริงของชีวิตแบบแนววิถีพุทธ

เป็นแนวการเรียนรู้ที่ใช้หลักธรรมคำสอนตามหลักพระพุทธศาสนา มาผสมผสานอยู่ในหลักสูตรการเรียนการสอน

จุดเด่น

- เป็นโรงเรียนปกติทั่วไป แต่นำหลักธรรมของพระพุทธศาสนามาประยุกต์ในการเรียน ซึ่งหลักศาสนาพุทธคือการศึกษาความจริงเป็นตัวตั้ง เรียนเรื่องข้างนอกเพื่อพัฒนาจิตใจข้างในตัวเอง

- นำวิถีวัฒนธรรมของชาวไทยส่วนใหญ่แต่ดั้งเดิม ที่มุ่งเน้นให้เข้าใจชีวิตที่แท้จริง และสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้องเหมาะสม โรงเรียนวิถีพุทธจึงเน้นความเรียบง่ายและสมถะ

- เน้นการพัฒนาตามหลักไตรสิกขาอย่างบูรณาการ ได้แก่ ศีล สมาธิ และปัญญา ให้ครอบคลุมการดำเนินชีวิตทุกด้าน สู่การพัฒนาที่สมบูรณ์

- มีบรรยากาศที่เป็นกัลยาณมิตรต่อกัน ทั้งครูต่อนักเรียน นักเรียนต่อครู นักเรียนต่อนักเรียน และครูต่อครูด้วยกัน

ผสมผสานตะวันตกตะวันออก แบบนีโอฮิวแมนิสต์  (Neo-Humanist)

แนวคิดนี้เริ่มต้นมาจาก พี.อาร์. ซาร์การ์ (P.R. Sarkar)—นักปราชญ์ชาวอินเดีย ที่นำศาสตร์ทางตะวันออกและตะวันตกมาผสมผสานเข้าด้วยกัน ทำให้นอกจากจะเห็นการเรียนการสอนที่ใช้เสียงเพลงและวิทยาศาตร์แล้ว ยังมีการให้เด็กๆ ฝึกสมาธิ ทำโยคะอีกด้วย

จุดเด่น

- พัฒนาเด็กอย่างเป็นองค์รวม โดยเชื่อว่าจะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เกิดจากศักยภาพ 4 ด้านคือ ร่างกาย (Physical) ที่แข็งแรง, จิตใจ (Mental) มีความเชื่อมั่นในตัวเอง เป็นตัวของตัวเอง มีความคิดสร้างสรรค์, จิตวิญญาณ (Spiritual) ที่จะช่วยเหลือผู้อื่น มีความเมตตา และมีความรู้ (Academic) มีความรู้เพื่อหาเลี้ยงตัวเองได้ การศึกษาที่ดีจะต้องจัดให้ครบทั้งหมดนี้

- ใช้กิจกรรมที่ทำให้คลื่นความถี่ของสมองต่ำ อ้างอิงจากงานวิจัยที่เชื่อว่าร่างกายที่อยู่ในภาวะคลื่นความถี่ของสมองต่ำ ทำให้เกิดความสงบทางจิตใจ อารมณ์ดี ใจเย็น มีความคิดสร้างสรรค์สูง เรียนรู้ได้ดี และเกิดสมาธิง่าย จึงฝึกให้เด็กๆ ทำโยคะ นั่งสมาธิก่อนเข้าห้องเรียน นอกจากนั้น การเล่านิทาน การกอด เสียงเพลง ท่าที หรือแม้แต่คำพูดจากคนรอบข้าง มีส่วนทำให้คลื่นความถี่สมองต่ำได้เช่นเดียวกัน

- มีความเชื่อว่าความฉลาดสามารถฝึกฝนกันได้ ขึ้นกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าพันธุกรรม และใช้หลักการพัฒนาเซลล์ประสาท ซึ่งเซลล์ประสาทจะทำงานประสานขยายตัวได้ดี เมื่อมือกับเท้าทำงานมาก เพราะปลายประสาทจะอยู่ตรงส่วนนี้มาก จึงให้เด็กทั้งเรียนและเล่น กิจกรรมเลยให้เด็กๆได้ออกนอกห้อง ได้ปีนป่าย ได้วิ่งเล่น เพื่อให้มือกับเท้าทำงานมากที่สุด

- พลังบวกเป็นสิ่งที่สำคัญ ซึ่งซึมซับในจิตใต้สำนึกตั้งแต่วัยเด็ก จึงควรปลูกฝังเรื่องด้านบวกและเรื่องที่ดีให้เขา ไม่ใช่การบ่นหรือดุว่าเขาเป็นเด็กดื้อ เด็กซน และเชื่อว่าถ้าเด็กรู้สึกว่าเขาได้รับความรักเต็มที่ เขาจะเผื่อแผ่ความรักไปสู่ผู้อื่น คุณครูในโรงเรียนนีโอฮิวแมนิสต์จึงต้องอ่อนโยน ยิ้มแย้มแจ่มใส ให้คำชมพร้อมสัมผัสเด็กด้วยการกอดซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความรัก

- พฤติกรรมของครูคือบทเรียนที่ดีที่สุดของเด็ก คุณครูจึงต้องสมบูรณ์พร้อมทั้งพฤติกรรมส่วนตัวและเทคนิคการสอน คุณครูต้องเชื่อมั่นในศักยภาพความเป็นมนุษย์ของเด็ก (Neo-Humanist Education) และเชื่อว่าเด็กตัวเล็กๆ สามารถพัฒนาได้อีกมากมาย

2. โรงเรียนอนุบาลแนววิชาการ

โรงเรียนอนุบาลแนววิชาการ เป็นโรงเรียนที่ใช้หลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ เน้นให้เด็กสามารถอ่านออกเขียนได้โดยเร็ว เนื่องจากเชื่อว่าเด็กมีศักยภาพในการเรียนรู้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของสมอง เน้นฝึกฝนทางวิชาการในแต่ละด้าน เช่น วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ เพื่อเตรียมตัวเรียนในระดับสูงต่อไป

3. โรงเรียนอนุบาลหลักสูตรสองภาษา (Bilingual School)

ใช้หลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ เน้นการเรียนการสอนสองภาษา คือภาษาไทยกับภาษาที่สอง เช่น ภาษาอังกฤษหรือภาษาจีน และบางโรงเรียนอาจเพิ่มเป็นสามภาษา และใช้แนวความคิดของโรงเรียนทางเลือกเข้ามาผสม

4. โรงเรียนอนุบาลหลักสูตรนานาชาติ (International School)

เป็นโรงเรียนที่ไม่ใช้หลักสูตรการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ แต่ใช้หลักสูตรการศึกษาของต่างประเทศ เช่น หลักสูตรของประเทศสหรัฐอเมริกา หลักสูตรของประเทศอังกฤษ หลักสูตรของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งใช้ภาษาอังกฤษ หรือภาษาอื่นๆ เป็นหลัก

แต่ละโรงเรียนจะมีแนวทางเป็นของตัวเอง บางโรงเรียนก็นำหลายหลักสูตรมาประยุกต์รวมกัน เช่น โรงเรียนนานาชาติที่ใช้แนวคิดแบบมอนเตสซอรี ผสมเรกจิโอเอมิเลีย หรือโรงเรียนที่ชั้นเตรียมอนุบาลอาจใช้แนวทางหนึ่ง ส่วนอนุบาลและประถมใช้อีกแนวหนึ่งก็มี แล้วแต่ความชอบของคุณพ่อคุณแม่และลูกๆ

ข้อมูลจาก

PBS

Parents

The Asian Parent

Montessori-NW

An Everyday Story

The New Age Parents

WBMS

Michael Olaf

Teaching English

Skoolopedia

Education

อนุบาลกุ๊กไก

สมาคมอนุบาลศึกษาแห่งประเทศไทย

รักลูก

รักลูก

ผู้จัดการ Online

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...