ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีบริการทุกอย่างในโลก หากมีความต้องการอะไร ไม่ว่าประหลาดแค่ไหน ก็มีคนให้บริการ
การช่วยคู่สามีภรรยาหย่าร้างกันก็เป็นบริการหนึ่ง
กระทาชายชาวญี่ปุ่น ฮิโรกิ เทไร มีความคิดแปลก ๆ เขาเป็นคนต้นคิด ‘คลับร้องไห้’ และโครงการ ‘Happy Divorce’ - หย่าร้างอย่างสุขสม
ในปี 2009 ฮิโรกิช่วยเพื่อนรุ่นพี่คู่หนึ่งหย่าร้างสำเร็จลุล่วงด้วยดี จึงคิดทำเป็นอาชีพ เขาช่วยจัดการเรื่องหย่าร้างให้คู่สมรสเกือบสองร้อยคู่
งานของเขาคือวางแผนการหย่าแก่คู่ครองที่อยากเลิกกันให้ลงตัว และเจ็บปวดน้อยที่สุด ไม่ใช่เลิกราแบบจบไม่สวย เจตนาเพื่อให้เลิกแล้วต่างคนต่างมีชีวิตดีขึ้น มีอนาคตใหม่ที่ดีรออยู่ เลิกแบบสันติ ไม่ตบตีกัน ไม่แยกเขี้ยวใส่กัน หย่าแบบเรียบร้อยแถมรอยยิ้ม และสามารถยิ้มได้ในวันสุดท้ายที่เห็นหน้ากัน
ไคลแม็กซ์ในตอนท้ายของพิธีเลิกคือใช้ค้อนทุบแหวนแต่งงาน
/////////////////////////////////////
สมัยนี้การหย่าร้างเกิดง่ายขึ้น เพราะวิธีคิดของผู้คนต่างจากสมัยก่อนซึ่งมีความอดทนสูงกว่า เหตุหนึ่งอาจเพราะแรงกดดันจากสังคม คนทั่วไปมองคนที่หย่าร้างว่ามีภาพลบติดตัว
ไทยโบราณมีสำนวน‘ชายสามโบสถ์ หญิงสามผัว’ ในความหมายว่าคบไม่ได้
‘หญิงสามผัว’ มีความหมายทางอ้อมว่า “คนดี ๆ ที่ไหนจะเลิกร้างกันง่าย ๆ”
นี่ย่อมไม่ยุติธรรมเท่าไรที่ให้ภาพลบต่อผู้หญิงฝ่ายเดียว แต่มันสะท้อนวิธีคิดของสังคมปิตาธิปไตยในยุคก่อน
แต่ประเด็นคือการอยู่กินด้วยกันของคนสมัยก่อนพยายาม ‘ยอม ๆ กัน’ ทนอยู่เพื่อลูกบ้าง เพื่อไม่ให้สังคมนินทาบ้าง การหย่าร้างก็อยู่ในตามความเคยชินของมนุษย์ที่มีมุมมองว่า ทุกอย่างในโลกต้องมี ‘ดี’ กับ ‘ไม่ดี’ เสมอ
การหย่าร้างไม่ใช่เรื่อง ‘ดี’ หรือ ‘ไม่ดี’ มันคือความเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งบนเส้นทางชีวิตอย่างนี้เอง
เรื่องรักไม่ต้องมีเหตุผล การเลิกรักก็ไม่ต้องการตรรกะใด ๆ บางครั้งการหย่าร้างอาจไม่ได้เกิดจากการเลิกรัก แต่เพราะความเบื่อหน่าย
คนจำนวนมากมีภาพฝังหัวว่า การแต่งงานคือจุดหมายปลายทางของชีวิต ถ้าลูกแต่งงานไปแล้ว พ่อแม่ก็รู้สึกหมดห่วง เพราะ “ลูกเป็นฝั่งเป็นฝาไปแล้ว”
ภาพจากนิทานและภาพยนตร์ตอกย้ำว่า การแต่งงานคือฉากสุดท้ายที่สุขสม นิทานทั้งหลายมักจบด้วยประโยค “And they lived happily ever after.” ต่อจากนั้นไป ทุกอย่างจะดีต่อเนื่องไป
ทว่าความจริงคือการแต่งงานไม่ใช่จุดสุดท้ายของความสัมพันธ์ การแต่งงานเป็นกระบวนการ กินเวลาตลอดชีวิตที่อยู่ด้วยกัน
จุดจบของการเกิดคือความตาย จุดจบของการแต่งงานคือการเลิกกัน
ความแตกต่างคือบางคู่สามารถอยู่ด้วยกันโดยยืดเวลาเลิกราออกไปจนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตายก่อน
//////////////////////////////////////////////
นักวิทยาศาสตร์ด้านการแพทย์และพันธุกรรมจำนวนหนึ่งเชื่อว่า ช้าหรือเร็ว เราทุกคนก็ต้องเป็นโรคร้ายใดโรคร้ายหนึ่ง อยู่ที่ว่ามันจะเกิดขึ้นก่อนเราตายหรือไม่
คนที่ตายไปตอนอายุ 80 โดยไม่เป็นมะเร็ง ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีทางเป็นมะเร็ง พันธุกรรมอาจกำหนดให้เขาเป็นมะเร็งในวัย 90 หรือ 100 เขาเพียงแต่ตายด้วยสาเหตุอื่นก่อนถึงคิวมะเร็งเท่านั้น
มะเร็งต่อมลูกหมากบางชนิดดำเนินไปช้ามาก ในกรณีนี้หมอจะบอกคนไข้ว่า ไม่จำเป็นต้องรักษา เพราะคนไข้แทบทั้งหมดตายไปก่อนที่มะเร็งจะออกฤทธิ์ในขั้นอันตราย
บางทีการเลิกราหย่าร้างก็เช่นกัน มันจะมาถึงแน่ อยู่ที่เราจะตายก่อนมันมาถึงหรือไม่
ชีวิตคู่ของคนเราอย่างสูงก็ยาวไม่เกิน 80 ปี (คำนวณจากแต่งงานตอนอายุ 20 ตายเมื่อ 100) แต่สมมุติว่าเราสามารถยืดเวลาตายออกไปเป็น 200 ปี บางทีคู่ครองส่วนใหญ่อาจเลิกรากัน !
นี่ไม่ใช่ประเด็นการมองโลกในแง่ร้ายว่า รักแท้ไม่มีจริง แต่มองว่าความยาวของชีวิตคู่ขึ้นกับตัวแปรมากมาย ที่หากให้เวลายิ่งมาก ตัวแปรก็ยิ่งมาก
การมองโลกแบบ“ชีวิตคือกระบวนการ” อาจจะทำให้เราใช้ชีวิตคู่โดยไม่ประมาท ดูแลสุขภาพของความสัมพันธ์มากขึ้น เพราะเห็นคุณค่าของการอยู่ด้วยกัน
คู่สมรสทุกคู่ย่อมต้องผ่านความคิดในบางชั่ววูบเรื่องเลิกกัน ลิ้นกับฟันย่อมยากที่จะไม่กระทบกัน บางชั่วโมงบางวันอาจโกรธจนคิดจะเลิก แต่เมื่ออารมณ์หายเดือด ก็อาจเปลี่ยนใจ เพราะสายใยรักยังไม่ขาด
สายใยรักเป็นวัสดุพิเศษ มีความยืดหยุ่น เมื่อถูกความร้อนของอารมณ์เผา มันอาจยืดออก แต่ถ้าสร้างมาดี มันก็ไม่ขาด
สายใยรักต้องผ่านการทดสอบยืดเข้ายืดออกทุกวัน สายใยที่ไม่แข็งแรงก็ขาด
บางทีรักแท้ รักอมตะอาจไม่ใช่การอยู่ด้วยกันจนวันสุดท้าย มันอาจคือความรู้สึกดี ๆ ในช่วงที่อยู่ด้วยกัน ไม่ว่ามันจะยาวหรือสั้นเพียงใด
//////////////////////////////////////////
วินทร์ เลียววาริณ
ความเห็น 11
P-NOTT
การเลิกกัน คือตัวแทนของความไม่อดทนมากมาย
- เริ่มตั้งแต่ ไม่อดทนที่จะดูใจกันให้แน่ชัดว่าใช้ชีวิตร่วมกันได้ คือไม่อดทนก่อการรอคอย
- ต่อมาด้วย ไม่อดทนต่อความต้องการทางกามที่อาจจะแตกต่างมากน้อยไม่เท่ากัน
- ต่อมาด้วย ไม่อดทนต่อการเปลี่ยนแปลงของสังขารที่ทุกคนต้องเสื่อมถอยเช่นกัน
- ต่อมาด้วย ไม่อดทนต่อความทุกข์ต่างๆที่เข้ามาในชีวิตทั้งเงินทองและโรคภัย
- ตามมาคือ ไม่อดทนต่อความไม่แน่นอนต่างๆที่เกิดขึ้นกับชีวิต
- สุดท้ายคือ ไม่อดทนต่อชีวิตธรรมดาๆแบบมนุษย์
อย่าอ้างเลยอะไรเลยครับ ใจตัวเองที่เปลี่ยนแปรไป
23 ธ.ค. 2562 เวลา 05.53 น.
ผมคิดว่าในการดำเนินชีวิตคู่นั้น ยังไงก็ย่อมที่จะหนีไม่พ้นกับในเรื่องของปัญหาต่างๆที่จะเกิดขึ้นตามมาได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็ตาม แต่ถ้าหากว่าได้ปรึกษาและได้ร่วมกันที่จะแก้ไขกับปัญหาที่เกิดขึ้นมาอย่างจริงจังแล้ว ผมเชื่อว่ายังไงก็ย่อมที่จะผ่านพ้นกับในสิ่งที่เกิดขึ้นมาได้อย่างแน่นอนเหมือนกันนะครับ.
23 ธ.ค. 2562 เวลา 03.45 น.
มันไม่แฟร์ที่จะอยู่ด้วยกัน แล้วแอบปันใจให้ใครอีกคน
ไม่แฟร์ทั้งกับคนที่อยู่ด้วย และกับคนที่แอบไปปันใจให้
คนกลางนั่นแหละที่ผิด! #อยากเก็บเธอเอาไว้ทั้งสองคน #เห็นแก่ตัว
เลือกมาซักทาง หย่าๆให้จบ หรือไม่ก็เลิกปันใจ
🎶🎶 หากใจเธอมีสองใจก็คงแบ่งไปเท่า-เท่ากัน แต่มันคงมีสักวันที่เธอต้องเลือกใคร 🎶🎶
🎶🎶เมื่อมีแค่หนึ่งใจ... ก็ร้ากกกก.. ใครไป... ซักคน 🎶
23 ธ.ค. 2562 เวลา 12.20 น.
Tui of Earth
เลิกลาเป็นเรื่องปกติ พอๆกับแต่งงาน แค่บริบทต่างการ
เลิกกันด้วยความรู้สึกดีๆ จึงยังไม่ชิน
23 ธ.ค. 2562 เวลา 05.42 น.
เลิกๆกันไปเลย ลอยตัวกว่าใครๆทั้ง2คน
23 ธ.ค. 2562 เวลา 03.29 น.
ดูทั้งหมด