ในโลกแห่งความวุ่นวาย ที่ทุกคนต้องรีบๆๆ ออกวิ่งดีดตัวเพื่อเสาะหาความยิ่งใหญ่ ความร่ำรวย ความภาคภูมิใจ ทั้งกับตัวเองและเพื่อครอบครัว/คนที่รัก โลกที่ความสำเร็จมันวัดกันด้วยความเร็ว ต้องเจ๋งให้ได้เดี๋ยวนี้ ต้องโด่งดังให้ได้ไม่เกินปีหน้า หลายคนตื่นขึ้นมาด้วยจิตใจตั้งมั่นว่า ‘ถ้า (ใส่ชื่อคู่แข่งตัวเองลงไป) ทำได้ ทำไมฉันจะทำให้ดีกว่าเขาไม่ได้!’
และแล้วเราก็มาเจอ The Backwards Law หรือกฎแห่งการย้อนกลับ โดยนักปราชญ์ยุคใหม่ที่ชื่ออลัน วัตซ์ เขาบอกว่า ยิ่งเราอยากได้ประสบการณ์ดีๆ สิ่งดีๆ ผู้คนดีๆ ทุกอย่างมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งกลายเป็นประสบการณ์แย่ๆ ของเรามากเท่านั้น แต่หากเรายอมรับประสบการณ์ที่ไม่ได้ดั่งใจของเราเมื่อไหร่ เมื่อนั่นแหละ มันถึงเป็นประสบการณ์ที่ดีแก่เรา
เขาอธิบายเพิ่มว่า การที่เราโหยหาอะไรก็ตามที่คิดว่าจะทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นอยู่ตลอดเวลา ยิ่งทำให้เราไม่พอใจ เพราะมันยิ่งมาตอกย้ำความจริงในใจที่ว่า เรา ‘ขาด’ สิ่งนั้นอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว
- ยิ่งคลุ้มคลั่งกับการอยากรวย ยิ่งทำให้รู้สึกจนและไร้ค่า ไม่ว่าจริงๆ แล้วเราจะมีเงินอยู่เท่าไหร่
- ยิ่งคลุ้มคลั่งกับการอยากเซ็กซี่และเป็นที่ปรารถนา ยิ่งรู้สึกตัวเองน่าเกลียดจังเลย ไม่ว่าจริงๆ แล้วรูปร่างหน้าตาตัวเองจะเป็นยังไง
- ยิ่งคลุ้มคลั่งกับการอยากได้ความรัก ยิ่งรู้สึกเหงาและหวาดกลัว ไม่ว่าความจริงแล้วเราจะโดนรายล้อมด้วยผู้คนมากมายขนาดไหน
คงเกิดเป็นแรงสั่นสะเทือนที่อธิบายได้ยาก เรามักเห็นเสมอว่า เมื่อไหร่ก็ตาม ที่เราบอกตัวเองได้อย่างบริสุทธิ์ใจว่า เอ้อ รักการอยู่เป็นโสดจังเลย มีความสุขได้ด้วยตัวเองซะที เมื่อนั่นแหละ ผู้คนหน้าใหม่ก็ผ่านเข้ามาตรึมแบบงงๆ
มีสถิติที่เขียนไว้ในเว็บไซต์จิตวิทยาชื่อ Psychology Today
เขาพบว่า การที่เรารู้สึกขอบคุณและชื่นชมกับชีวิตที่มีอยู่ ช่วยทำให้เรามีสุขภาพดีขึ้น นั่นเป็นเพราะพวกเราก็จะอยากดูแลสุขภาพที่ตัวเองมี หมั่นเช็คสุขภาพเพื่อรักษาความสุขภาพดีนี้เอาไว้
การรู้สึกขอบคุณและชื่นชมกับชีวิตที่มีอยู่ ยังช่วยเรื่องสุขภาพใจ ลึกๆ ทำให้มีความสุขขึ้น และลดภาวะซึมเศร้า
และเมื่อเรารู้สึกพอใจในชีวิตของตัวเองแล้ว เราก็จะเผื่อแผ่ความสุขของเราออกไปกลายเป็นการได้ช่วยเหลือผู้อื่น หรือเห็นอกเห็นใจคนอื่นมากขึ้น
มีนักเขียนชาวอเมริกันคนหนึ่งชื่อ Leigh Liebmann เธอเล่าว่า ตอนที่เธอเพิ่งเสียพ่อไป เธอไม่มีเรี่ยวแรงจะลุกมาทำอะไรเลย และก็รู้สึกโมโหเวลามีคนมาบอกเธอว่า ‘ให้คิดถึงสิ่งดีๆ ที่ได้มาจากการเสียพ่อไปสิ’ เธอไม่ได้อยากรู้สึกขอบคุณชีวิตตอนนี้ เธอแค่อยากขอเวลาเศร้าหน่อย
แต่สิ่งที่ช่วยเธอได้มากในเรื่อง ‘การรู้สึกขอบคุณชีวิต’ นั่นคือ ‘ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น’ หรือ Empathy นั่นเอง
‘เมื่อฉันเริ่มให้ความสำคัญจิตใจของอีกคนหนึ่ง รับฟัง และมอบพื้นที่ปลอดภัยให้พวกเขารู้สึกว่ามีคนเข้าใจเขา ฉันก็รู้สึกขอบคุณชีวิตขึ้นมา’
การขอบคุณชีวิตนี่แหละ ที่ดึงเธอกลับมาสู่ปัจจุบันได้ อะไรง่ายๆ เช่นการส่งยิ้มให้คนหนึ่ง มันมอบความรู้สึกลึกซึ้งในใจเราอย่างไม่น่าเชื่อ และเมื่อเรารู้แล้วว่า การกระทำเพียงเล็กน้อยของเรามีความหมายต่อคนอื่นได้มากขนาดนี้ เราก็จะรู้สึก ‘เปล่าเปลี่ยว’ น้อยลง และแน่นอน ความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวนี้ เป็นบ่อเกิดของโรคทางจิตใจมากมายหลายครั้งไป
สำหรับตัวเราเองแล้ว
แน่นอนว่า เมื่ออยู่ในสังคมที่เร่งรีบอย่างทุกวันนี้
หากเรามัวแต่ใช้ชีวิตอย่างช้าๆ ค่อยๆ ละเมียดชื่นชมทุกสิ่งที่มีอยู่รอบตัวทุกลมหายใจ
การงาน หรือพัฒนาการชีวิตของเราคงไม่ไปไหน
การแข่งขัน หรือการสร้างจุดหมายของชีวิต อาจเป็นประโยชน์ต่อใครหลายคน
โดยเฉพาะในสังคมที่มีเศรษฐกิจและการหาเลี้ยงชีพให้อยู่รอดเป็นตัวประกัน
หากให้เราแนะนำ
คงเป็นการหาจุดสมดุล ของชีวิตที่ ‘รีบเร่ง’
และชีวิตที่ ‘ละมุน’
รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ควรจุดไฟให้ตัวเองพุ่งไปข้างหน้าเพื่ออนาคตที่สดใส
และรู้ว่าเมื่อไหร่ที่ควรผ่อน กลับมานอนหลับตา คลายความเครียด อิจฉาริษยาลง
และโอบกอดช่วงเวลาหอมหวานที่เป็นของเราคนเดียวนี้
แน่นๆ ได้ด้วยตัวเอง.
ติดตามบทความจากเพจ Beautiful Madness by Mafuang ได้บน LINE TODAY ทุกวันอังคาร