มีผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมรู้จักคุ้นเคย
เคยถอยรถเชฟโรเลต ออพตร้า
ซุ่มซ่ามไปชนท้ายรถเบนซ์ เอสคลาส
ซึ่งเธอก็ตกใจมาก เพราะแวบแรกนึกได้ว่า
รถของเธอประกันเพิ่งขาดไป ยังไม่ทันได้ต่ออายุ
แล้วอย่างนี้จะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าซ่อมให้เขาไหว
งานนี้เธอผิดเต็ม ๆ แก้ตัวไม่ได้เลย
.
ขณะกำลังหน้าซีด
ตื่นตระหนกตกใจกับความผิดของตนอยู่นั้น
เจ้าของรถเบนซ์ก็เดินเข้ามาทักทายยิ้ม ๆ
และถามอย่างมีเมตตาว่าน้องเป็นอะไรไหม?
เรียกประกันหรือยัง?
อ๋อเพิ่งขาดประกันเหรอ?
ถ้ายังไงพี่ออกให้ก่อนไหม?
ของพี่ไม่เป็นไร เดี๋ยวให้คนขับไปจัดการ
ที่บ้านยังเหลือสำรองอีก ๘ คัน ไม่ต้องห่วงนะ
.
คนจนเจอคนรวยแบบนี้เข้า
แน่นอน ต้องสะอึกอึ้ง ตื้นตัน
อย่างเธอที่เล่าเรื่องให้ผมฟัง
ถึงกับเกิดแรงบันดาลใจว่า
วันหนึ่งถ้ามีเงินมาก ๆ ขึ้นมา
ก็จะขอเป็นคนรวยแบบนี้แหละ
รวยแล้วไม่เอาเรื่องคนจน
รวยแล้วมีแก่ใจพูดปลอบบรรเทาทุกข์ให้คนอื่น
รวยแล้วไม่เป็นทุกข์กับความบุบสลายของสิ่งที่มีเกินพอ
.
ประสบการณ์ตรงดี ๆ เกี่ยวกับคนรวย
มักทำให้เราได้คิดเยอะขึ้น มองอะไรกว้างขึ้น
และออกจากมุมแคบบางมุมได้
เป็นต้นว่า เลิกมองคนรวยเป็นปีศาจ
เลิกเหมารวมว่า ต้องชั่วมาก ถึงจะมีเงินมากได้
.
นอกจากมุมมองเกี่ยวกับคนรวยที่ต่างไป
เรายังอาจได้ตั้งคำถามกับตัวเองด้วยว่า
ถ้าเรารวย เราจะรวยไปทำไม?
.
คนส่วนใหญ่อาจร้องประสานเป็นเสียงเดียวกันว่า
รวยไว้ปิดหนี้ รวยไว้กินอร่อย
รวยไว้เที่ยวสนุก รวยไว้เซ็กส์สนั่น
อยากซื้ออะไรก็ซื้อ อยากทำอะไรก็ทำ
เพราะอย่างไรก็เป็นอิสระทางการเงินแล้ว
ไม่จำเป็นต้องอดเปรี้ยวไว้กินหวานแล้ว
ไม่จำเป็นต้องฝืนใจทำงานที่ไม่อยากทำแล้ว
.
คนอีกส่วนหนึ่ง
ที่เคยได้รับแรงบันดาลใจจากคนรวย
อาจนึกถึงรูปแบบต่าง ๆ ของการช่วยคน
หรือช่วยให้โลกนี้ดีขึ้น
อย่างน้อยดีกว่าก่อนที่ตนจะเกิดมา
.
คนอีกส่วนหนึ่ง
ที่มีความรู้ ความเข้าใจ
และศรัทธาทางศาสนาจริง ๆ
อาจนึกถึงเหตุที่อยากรวยได้ต่างจากคนทั่วไป
นั่นคือ รวยไว้ปิดอบาย
.
รวยไว้ปิดอบายมีอยู่ ๓ ระดับ
ระดับแรก ไม่ต้องอยู่ในนรกบนดิน
คือ รวยพอจะเอาตัวรอดได้
ไม่ต้องโหยหิว ไม่ต้องไร้ที่ซุกหัวนอน ไม่ต้องป่วยเรื้อรัง
อันจะเป็นเหตุให้ตื่นอย่างเป็นทุกข์ แม้หลับก็ฝันร้าย
.
ระดับที่สอง ไม่ต้องตกนรกหลังตาย
คือ รวยพอจะไม่ต้องเบียดเบียนคนอื่น
ไม่ต้องขอหยิบขอยืม ไม่ต้องคดโกง ไม่ต้องปล้นฆ่า
อันจะเป็นเหตุให้จิตวิญญาณดำมืด ถูกถ่วงหนักให้ดิ่งลงต่ำ
.
ระดับที่สาม ไม่ต้องไปอบายอีกเลย
คือ รวยแล้วจัดเวลาชีวิตได้ตามปรารถนา
เหลือเวลาปลีกวิเวก เจริญสติปฏิบัติธรรม
มากพอที่จะบรรลุถึงซึ่งธรรมอันปลอดภัย
ไม่ต้องไปสู่อบายอีก เที่ยงที่จะถึงพระนิพพานสถานเดียว
.
แทนการคิดฟุ้งซ่านว่า
จะเกลียดเงิน หรือรักเงินดี
ลองตั้งเข็มให้ชีวิตตัวเองว่า
จะรวยเพื่อเป็นอิสระทางการเงินเพื่อไปสู่จุดหมายแบบไหน
จุดหมายแบบไหน จะกลายเป็นทิศทาง
ที่คุณจะร่ำรวยขึ้นมาด้วยวิธีใด
ลวงโลกด้วยของหลอก หรือเผื่อแผ่ด้วยของดี
แต่ละวิธี จะพาคุณไปสู่ความเป็นคนรวยชนิดไหน
ได้เป็นสุขชาติเดียวแล้วไปเป็นทุกข์อีกหลายชาติ
หรือได้เป็นสุขทั้งชาตินี้และชาติต่อ ๆ ไป
.
รวยแล้วใจร้าย จะรวยได้ชาติเดียว
รวยแล้วใจดี จะมั่งมีอีกหลายชาติ
รวยแล้วใจละ จะไม่เหลือสักชาติให้เป็นทุกข์!
ความเห็น 14
ไม่ว่าจะรวยหรือจนก็ตาม ถ้าหากว่าในจิตใจของคนเรานั้นมีคำว่าอภัย และน้ำใจให้ต่อกันแล้ว เชื่อว่าก็คงจะช่วยบรรเทากับปัญหาต่างๆที่กำลังเป็นอยู่ได้อย่างแน่นอน.
05 ต.ค. 2562 เวลา 21.08 น.
💕Kitiyakan 💕
ขอบคุณสำหรับแนวคิดดีๆคะ😇
06 ต.ค. 2562 เวลา 10.22 น.
s. yingjaroen
สาธุ อ่านแล้วใจสว่าง กระจ่างทางปัญญา
06 ต.ค. 2562 เวลา 06.43 น.
รวยจนไม่สำคัญ
สำคัญที่ "ใจ"
ต้องมี "สตื"
ทำให้เกิด "ปัญญา"
และนำพาสู่ "ทางออกที่ดี"
สำหรับชีวิตในขณะนั้น
การที่เราจนเงิน
ไม่ได้หมายความว่า
เราจะจนในการทำบุญ
แค่เราตั้งใจว่าจะทำบุญ
จะทำมากน้อยเราก็ได้บุญ
เพราะขณะทำบุญ
จิตตั้งมั่นว่าทำบุญ
ทำมากหรือน้อย
ก็ได้บุญแล้วและจะทำให้
เกิด "ปิติ" ที่ต่างกัน
ของแต่ละบุคคล
ขอบคุณ🙏
บทความนี้ที่
สร้างประสบการณ์
แนวคิดใหม่คือ
"รวยแล้วต้องรู้จักแบ่งปัน
เอื้ออาทรต่อคนที่ด้อยกว่า"😇
06 ต.ค. 2562 เวลา 15.08 น.
piak
มันอยู่ที่ปัญญามากกว่า ไม่ได้อยู่ที่ความรวยแล้วจะปิดอบาย ถึงคุณจะรวย ถ้าวันไหนมีปัจจัยให้คุณประพฤติผิด คุุณทำผิด คุณก็สามารถตกนรกได้ แต่ถ้าคุณมีปัญญา ไม่ว่ารวยหรือจน คุณก็บรรลุธรรมปิดอบายได้ อย่างเช่นขอทานโรคเรื้อน หรือหญิงรับใช้เมื่อได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าก็สามารถบรรลุธรรมปิดอบายได้ แล้วยังร่นการเกิดเหลือเพียงเจ็ดชาติเท่านั้น หลักของศาสนาพุทธคือปัญญา ไม่ใช่เงิน
06 ต.ค. 2562 เวลา 07.41 น.
ดูทั้งหมด