เมื่อวันที่ 21 มี.ค. 2568 ที่กองบัญชาการกองทัพไทย (บก.ทท.) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในฐานะประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (คณะกรรมการ ปชด.) ครั้งที่ 2
โดยนายภูมิธรรม แถลงผมการประชุมว่า รัฐบาลประกาศปฏิบัติการซีล สต็อป เซฟ ซึ่งการดำเนินการผ่านมาแล้วประมาณ 1 เดือน การดำเนินการมีผลดีขึ้นหลัง 3 ตัด “ตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ต ตัดการขนส่งน้ำมันและเชื้อเพลิง” ซึ่งที่ประชุมมีการเสนอให้ดำเนินการต่อไป ผลจากการใช้มาตรการดังกล่าว ทำให้คดีที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ลดไปถึง 22 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 30,000 กว่าคดี ทำให้มูลค่าความเสียหายลดลงประมาณ 200 ล้านบาท เชื่อว่ามาตรการดังกล่าว ดีและมาถูกทาง โดยสร้างผลกระทบไปยังผู้ก่ออาชญากรรมได้ ทำให้บางส่วนกระจายฐานที่ตั้ง ไปในพื้นที่ที่ลึกขึ้น จากชายแดนไทย เช่น คิงส์โรมัน ที่อยู่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ที่มีการย้ายฐานไปอยู่ชายแดนลาวและเวียดนาม ส่วนที่พญาตองซู สถานการณ์คลี่คลายขึ้น แต่มีบางส่วนขยับไปไกลขึ้น พร้อมยอมรับว่ายังมีการโทรศัพท์มาหลอกคนไทยอยู่ จึงทำให้ต้องดำเนินมาตรการนี้อย่างต่อเนื่อง ส่วนที่ประเทศกัมพูชา ขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานงาน ได้ลงนามมอบหมายให้จเรตำรวจ พล.ต.ต.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ประสานงานและทำการวางแผนในการดำเนินการ โดยมุ่งเป้าไปยังกลุ่มบริษัทแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นผู้ก่ออาชญากรรมที่จำเป็นต้องติดตามดำเนินการจับกุม เพื่อบังคับกฎหมายให้เข้มข้นมากขึ้น และขณะนี้ได้พิจารณาแต่งตั้งฝ่ายกฎหมายเพิ่มขึ้นด้วย
นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังพบข้อมูลว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์มีการย้ายที่ตั้งจากเมียวดีไปประเทศกัมพูชา ชายแดนลาวและเวียดนาม ทางกองทัพจะดำเนินการต่อเนื่อง ตามที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ เคยกล่าวไว้ว่า “ไม่จบไม่เลิก” หากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ขยายเข้าไปในพื้นที่ที่ลึกขึ้น ก็อยู่นอกเหนืออำนาจอธิปไตยไทย ทำได้เพียงแค่ขอความร่วมมือ ซึ่งจะต้องแปลงรูปแบบการดำเนินการให้เป็นไปตาม พัฒนาการของผู้ก่ออาชญากรรม แต่อย่าไปตีความว่า เขาไปที่ไหนแล้วเราไปถึงที่นั่น ซึ่งเราจะทำอยู่ภายในขอบเขตอธิปไตยของเรา และปกป้องคนของเราในประเทศและคนรอบข้างได้ ทั้งนี้สำหรับเหยื่อของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในฝั่งเมียวดีส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติ เช่น ฟิลิปปินส์ เอธิโอเปีย จีน มาเลเซีย เป็นต้น
นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า ทางประเทศไทยได้ประสานให้มีการรวบรวมผู้เสียหายมายังเมียวดี เพื่อที่จะเดินทางมาที่ จ.ตาก และขึ้นเครื่องบินกลับประเทศของตนเองได้เลย แต่สำหรับประเทศใดที่ยังไม่มีสถานทูตในประเทศไทยและมีกำลังทรัพย์น้อย ทางประเทศไทยจะประสานหารถบัสเพื่อรับผู้เสียหายไปขึ้นเครื่องบินพาณิชย์ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งสถานทูตของประเทศนั้น จะต้องเป็นผู้ดูแล อีกทั้งที่ประชุมให้ความสำคัญ กับการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยหามาตรการระงับการส่งสัญญาณอินเทอร์เน็ต และไฟเบอร์ใยแก้ว ซึ่งขณะนี้ได้มีการประสานงานแต่ยังเหลืออีกประมาณ 8-9 เครือข่าย เบื้องต้นได้มีการพูดคุยกับทาง คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) ไว้แล้ว โดยตนยืนยันว่ามีการวางระบบในการดำเนินการอย่างชัดเจน และให้ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) เป็นผู้ดูแลและดำเนินการแก้ไขปัญหา
เมื่อถามว่าสำหรับผลงานในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมานั้นเป็นอย่างไร นายภูมิธรรม กล่าวว่า เป็นที่พอใจและเกินความคาดหวัง ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหากับคนที่เราไม่เห็นตัวตน
เมื่อถามอีกว่าจะให้ 5 อำเภอ ใน จ.ตาก เป็นพื้นที่พิเศษความมั่นคงนั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า เป็นพื้นที่พิเศษ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือ แต่สิ่งที่สำคัญต้องดูเรื่องผลกระทบทางเศรษฐกิจ ซึ่งยังไม่มีการพูดคุยอย่างทั่วถึง แต่ในวันนี้จะต้องตัดสินใจว่าจะเลือกในด้านมนุษยธรรมหรือในด้านอื่นๆ ของประเทศ ซึ่งจะต้องทำหน้าที่ประสานงานให้ดีที่สุด
เมื่อถามต่อว่ากรณีที่นายกฯ ประกาศว่า “ไม่เลิกไม่จบ” แต่กระทรวงกลาโหม ระบุว่า มาตรการทำให้ศูนย์ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ขยับหนีออกไปไกลขึ้น จะจัดการให้จบได้อย่างไร นายภูมิธรรม กล่าวว่า จบลงได้ จบลงที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย แต่ถ้ามันออกนอกประเทศไปอยู่ที่อื่น ไปจัดการอย่างอื่น ก็ไม่มีผลต่อประเทศไทย เพราะเรื่องนี้ทุกคนจะต้องช่วยกัน การจัดการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไม่มีประเทศใดประเทศหนึ่งจะสามารถจัดการได้ มันขึ้นที่ว่าเกิดขึ้นที่ไหน จุดศูนย์กลางฐานที่มั่นอยู่ที่ไหน ซึ่งขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบของประเทศนั้น เรื่องนี้ได้มีการพูดคุยของแต่ละประเทศไปแล้ว
เมื่อถามว่าจะมีมาตรการอื่นนอกจากมาตรการสั่งตัดหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ทางกระทรวงกลาโหม กำชับและลงในรายละเอียดมากขึ้น เช่นการตัดอินเทอร์เน็ต แต่ยังได้รับรายงานว่า การตัดนั้นยังไม่ครอบคลุม ซึ่งตนได้สั่งให้ผู้ที่เกี่ยวข้องไปดูในเรื่องของรายละเอียดและทำให้ถูกต้องตามกรอบของกฎหมาย ส่วนการผ่อนปรนการตัดการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงไปยังเมียนมานั้น ขณะนี้ยังไม่ผ่อนปรน ซึ่งจะขยายเวลาต่อไปเรื่อย ๆ แต่ไม่จบไม่เลิก
เมื่อถามถึงการยกเลิกท่าข้ามที่ จ.ตาก นายภูมิธรรม กล่าวว่า จะต้องมีการพูดคุย ในเรื่องการขนส่งและเคลื่อนย้ายซึ่งทางกระทรวงอยากให้ทำการขนส่งเฉพาะที่สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่สอง แต่เรื่องเหล่านี้ต้องใช้ความรอบคอบในการตัดสินใจ
เมื่อถามถึงกรณีเคยมีผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว เสนอให้สร้างกำแพงตามแนวชายแดนทั้งหมด ราว 165 กม. เพื่อป้องกันเรื่องช่องทางธรรมชาติ โอกาสการพิจารณามีมากน้อยแค่ไหน นายภูมิธรรม กล่าวว่า เรื่องกำแพงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน อยู่ระหว่างการประเมินให้เกิดความชัดเจน ซึ่งพิจารณาไม่ง่าย ย้ำว่ามาตรการการปราบปรามขบวนการคอลเซ็นเตอร์ของเรามีความเข้มข้น เพียงแต่เราไม่มั่นใจกันเอง
เมื่อถามถึงกรณีที่มีข้อกังขา หลังพบว่ามีลูกของรัฐมนตรีท่านหนึ่ง ถือหุ้นอยู่บริษัทอยู่ในเมียนมา อาจส่งผลต่อการออกมาตรการของไทย นายภูมิธรรม กล่าวว่า ให้เอาชื่อมา แล้วไปดูความเกี่ยวพัน ตนอยากแก้ไขปัญหาตามความเป็นจริง อย่าจินตนาการ หลายเรื่องที่พูดมา บางครั้งก็จินตนาการ ยืนยันว่าไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างแน่นอน ด้วยเกียรติยศของตน