โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

หุ้น การลงทุน

[บทความ] ทำความรู้จัก 6 ไลฟ์สไตล์การเงิน HENRYs, FIRE, YOLO, DINK, PANK, NEET

BT Beartai

อัพเดต 26 มิ.ย. เวลา 03.11 น. • เผยแพร่ 25 มิ.ย. เวลา 13.59 น.
[บทความ] ทำความรู้จัก 6 ไลฟ์สไตล์การเงิน HENRYs, FIRE, YOLO, DINK, PANK, NEET

ชีวิตคนเราแตกต่างกันไปตามวิธีคิดและพฤติกรรมทางการเงินของแต่ละคน ซึ่งปฎิเสธไม่ได้เลยว่าไลฟ์สไตล์ทางการเงิน (financial lifestyle) ก็เป็นส่วนสำคัญ สะท้อนแนวคิดเรื่องการใช้จ่าย การออม และรูปแบบการใช้ชีวิตของเราในอนาคต

บทความนี้จะพาไปรู้จักกับ 6 กลุ่มไลฟ์สไตล์การเงินที่มักถูกพูดถึง ได้แก่ HENRYs, FIRE, YOLO, DINK, PANK และ NEET แต่ละกลุ่มมีลักษณะเฉพาะตัวทั้งในด้านพฤติกรรมการเงิน ค่านิยมการใช้ชีวิต ตลอดจนแนวทางการวางแผนการเงินของตัวเองอย่างไร

HENRYs รายได้สูงแต่ยังไม่รวย

HENRYs ย่อมาจาก “High Earners, Not Rich Yet” หมายถึง “ผู้มีรายได้สูง แต่ยังไม่มั่งคั่ง” กลุ่มนี้คือคนที่มีรายได้ต่อปีในระดับสูงมาก (เช่นประมาณ $250,000–$500,000 ต่อปี หรือราว 8–16 ล้านบาท) แต่ยังไม่ได้สะสมทรัพย์สินมากพอที่จะถือว่าร่ำรวยจริง ๆ

เนื่องจากรายได้ก้อนใหญ่ของ HENRYs มักถูกใช้จ่ายไปกับค่าครองชีพและค่าใช้จ่ายส่วนตัวต่าง ๆ เช่น ค่าอาหาร ที่อยู่อาศัย การศึกษา หรือไลฟ์สไตล์ ทำให้เหลือเงินออมหรือเงินลงทุนสำหรับอนาคตไม่มากนัก แม้จะมีรายได้สูง แต่ภาระค่าใช้จ่ายที่สูงตาม

ผู้ที่จัดอยู่ในกลุ่ม HENRYs มักเป็นคนวัยทำงานตอนต้นถึงวัยกลางคนที่ประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน มีรายรับดีและมีศักยภาพที่จะเติบโตในอนาคต คนกลุ่มนี้มักให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตที่สะดวกสบายและทันสมัย เช่น การอยู่อาศัยในเมืองใหญ่ ซื้อของแบรนด์เนม ท่องเที่ยวต่างประเทศ หรือส่งลูกเข้าโรงเรียนดี ๆ

แนวทางการวางแผนการเงินสำหรับ HENRYs เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่หมดไปกับรายจ่าย HENRYs ควรปรับสมดุลการเงินด้วยการ ควบคุมค่าใช้จ่ายและเพิ่มการออมลงทุนให้มากขึ้น เช่น ลดหนี้สินที่มีอยู่ เพิ่มการนำเงินไปลงทุนหรือออมในบัญชีเกษียณ และวางแผนลดหย่อนภาษีอย่างเหมาะสม

FIRE ปลดเกษียณตัวเองให้เร็วสุดขีด

FIRE ย่อมาจาก “Financial Independence, Retire Early” คือ “มีอิสรภาพทางการเงิน เกษียณอายุก่อนวัย” ซึ่งเป็นแนวคิดที่ตั้งเป้าจะเกษียณจากการทำงานประจำให้ได้เร็วกว่าเกณฑ์ปกติมาก โดยยอมแลกกับการใช้ชีวิตอย่างประหยัดเก็บออมเงินให้ได้สัดส่วนสูงมากของรายได้ตั้งแต่ช่วงวัยทำงาน

ซึ่งแนวคิด FIRE ได้รับความนิยมจากหนังสือ “Your Money or Your Life” ที่กระตุ้นให้คนตระหนักถึงการแลกเวลาในชีวิตกับเงินที่หามา ทุก ๆ การใช้จ่ายควรคิดเทียบเป็นจำนวนชั่วโมงที่เราต้องทำงานแลกมันมา

หลักสำคัญคือ มีวินัยทางการเงินขั้นสูง ใช้จ่ายเท่าที่จำเป็นและออมให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ คนสาย FIRE หลายคนตั้งเป้าออมเงินให้ได้มากถึง 50-75% ของรายได้ต่อปี ในช่วงที่ยังทำงานอยู่ จากนั้นนำเงินออมเหล่านี้ไปลงทุนสร้างผลตอบแทนทบต้น ด้วยความหวังว่าจะสะสมเงินก้อนใหญ่ให้ถึงเป้าหมายเลี้ยงดูตัวเองได้ด้วยการลงทุนไปตลอดชีวิต

เมื่อเกษียณเร็ว พวกเขาจะดำรงชีพด้วยการถอนเงินจากพอร์ตเงินลงทุนของตนเองออกมาใช้ทีละน้อยในแต่ละปี โดยหลักการนิยมใช้กฎ 4% คือถอนมาใช้ประมาณปีละ 3-4% ของพอร์ต และปล่อยให้เงินที่เหลือเติบโตต่อในตลาดทุน เพื่อให้พอร์ตนี้เลี้ยงตัวเองได้อย่างยั่งยืน จึงต้องคอยติดตามปรับแผนการลงทุนของตนให้เหมาะสมและมีวินัยการใช้จ่ายหลังเกษียณอย่างเคร่งครัด เพื่อรักษาเงินก้อนนี้ต้องอยู่ให้ได้อีกหลายสิบปี

ซึ่งการเกษียณเร็วแบบนี้สร้างแรงบันดาลใจให้หลาย ๆ คนหันมาใส่ใจการออมและการลงทุน เพื่อความมั่นคงในระยะยาว มากกว่าจะใช้จ่ายไปวัน ๆ โดยไม่คิดถึงอนาคต

YOLO ใช้เงินกับปัจจุบันเต็มที่ เพราะชีวิตมีครั้งเดียว

YOLO ย่อมาจาก “You Only Live Once” ที่ว่า “ชีวิตคนเรามีครั้งเดียว” ใช้ชีวิตให้เต็มที่กับปัจจุบัน คำนี้กลายเป็นสโลแกนที่นิยมในหมู่คนรุ่นใหม่ช่วงทศวรรษ 2010s โดยเฉพาะในวัฒนธรรมป๊อป ซึ่งถูกหยิบมาใช้บ่อยในการตัดสินใจบางอย่างที่อาจดูเสี่ยงหรือสุรุ่ยสุร่าย เช่น ซื้อของชิ้นใหญ่โดยไม่ได้วางแผนล่วงหน้า หรือออกเที่ยวสนุกสนานแม้จะเหลือเงินเก็บไม่มาก พฤติกรรมทางการเงินแบบ “อยากได้ต้องได้ อยากใช้ก็ใช้” ให้รางวัลกับตัวเองวันนี้เพราะไม่อยากเสียโอกาสไป

คนสาย YOLO ให้คุณค่ากับประสบการณ์และความสุขทันทีมากกว่าความมั่นคงระยะยาว คนกลุ่มนี้เชื่อว่าควรใช้ชีวิตเดี๋ยวนี้ ทำสิ่งที่อยากทำตอนนี้ เพราะเราไม่รู้ว่าจะมีวันพรุ่งนี้หรือไม่ ทำให้การเงินสำหรับคนสาย YOLO จึงมักเน้นการใช้จ่ายมากกว่าเก็บออม หลายคนยอมใช้เงินเกินกำลังของตัวเองเพื่อสนองความต้องการทันทีส่งผลให้มีสัดส่วนเงินออมน้อย

แม้การใช้ชีวิตแบบ YOLO สร้างชีวิตมีสีสันและประสบการณ์มากมายในระยะสั้น แต่หากไม่มีการวางแผนการเงินรองรับเลย ในระยะยาวอาจนำไปสู่ปัญหาการเงินได้ เช่น ไม่มีเงินออมฉุกเฉิน เวลาเกิดเหตุไม่คาดฝัน ไม่มีเงินเก็บเพื่อเกษียณ หรือมีหนี้สะสมจำนวนมากจากการใช้จ่ายเกินตัว

วางแผนการเงินอย่างไรในสไตล์ YOLO ด้วยการนำพลังของ YOLO มาใช้ในทางที่เป็นประโยชน์ได้ เช่น ใช้เป็นแรงจูงใจให้ลงมือทำทันทีกับเรื่องการเงินที่สำคัญ วันนี้คือวันที่ดีที่สุดที่จะเริ่มศึกษาเรื่องเงินทอง เริ่มออมเงิน และปรับนิสัยการใช้จ่าย เพื่อให้เราสามารถใช้ชีวิตอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการเงินในภายหลัง

DINK ชีวิตคู่รายได้สองทาง ไม่มีบุตร

DINK ย่อมาจาก “Double Income, No Kids” หมายถึง คู่รักหรือครอบครัวที่มีรายได้ 2 ทาง แต่ไม่มีลูก จึงมักมีสถานะการเงินที่คล่องตัวกว่าครอบครัวทั่วไปที่มีลูก เพราะไม่มีภาระค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตร รายได้รวมของครอบครัวสามารถนำไปใช้กับเป้าหมายทางการเงินอื่น ๆ ได้เต็มที่ เช่น ออมเพื่อซื้อบ้าน ลงทุน หรือใช้จ่ายกับไลฟ์สไตล์ของคู่รักเอง

รูปแบบชีวิต DINK เป็นที่พูดถึงมากขึ้นในยุคปัจจุบันที่หลายคู่แต่งงานกันแต่ตัดสินใจจะไม่มีลูก แต่นิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเหมือนลูกแทน โดยเฉพาะในสังคมเมืองที่ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูลูกสูงส่งผลให้ค่านิยมเรื่องการมีลูกเปลี่ยนไป

พวกเขามักมีเงินออมและเงินลงทุนสูงกว่าค่าเฉลี่ย เพราะสามารถกันเงินส่วนที่ถ้าหากมีลูกต้องใช้ไป (ค่าอาหาร เสื้อผ้า การศึกษา ฯลฯ) มาออมได้ มีความยืดหยุ่นทางการเงินสูง สามารถวางแผนการใช้จ่ายและการออมได้ง่ายกว่าคนที่มีลูก ช่วยให้มีโอกาสบรรลุเป้าหมายเร็วขึ้น

PANK หญิงแกร่งไม่มีลูก

PANK ย่อมาจาก “Professional Aunt, No Kids” หรือหมายถึง “คุณป้าคุณน้าผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จในงาน แต่ไม่มีลูกของตัวเอง” คำนี้ถูกบัญญัติขึ้นครั้งแรกในปี 2008 โดย Melanie Notkin นักเขียนผู้ก่อตั้งชุมชน Savvy Auntie เพื่อใช้อธิบายกลุ่มผู้หญิงโสดหรือแต่งงานแล้วแต่ไม่มีลูกซึ่งมีหน้าที่การงานก้าวหน้า รายได้ดี

ผู้หญิงกลุ่ม PANK มักเป็นคนเมืองรุ่นใหม่วัย 20-40 ที่ตัดสินใจใช้ชีวิตแบบไม่มีลูก มีชีวิตส่วนตัวที่ อิสระ คล่องตัว แต่พวกเธอก็ยังสามารถสัมผัสความสุขจากการได้มีส่วนร่วมในชีวิตเด็ก ๆ ผ่านบทบาทคุณป้าของหลานหรือเด็กใกล้ตัวแทน

การวางแผนการเงินและอนาคตของ PANK คล้ายกับคู่รัก DINK ผู้หญิงกลุ่ม PANK ควรใช้โอกาสที่มีรายได้ดีและไม่มีภาระเลี้ยงดูบุตร ในการสร้างความมั่นคงให้ชีวิตระยะยาวของตนเอง ลงทุนเพิ่มมูลค่าทรัพย์สิน และทำประกันสุขภาพ ประกันชีวิตไว้รองรับยามฉุกเฉิน เนื่องจากเมื่อเข้าสู่วัยชรา คนกลุ่มนี้จะไม่มีลูกคอยดูแล การเตรียมเงินทองและการดูแลตัวเองให้เพียงพอจึงเป็นสิ่งสำคัญ

NEET คนวัยรุ่นที่ไม่ได้เรียน ไม่ได้ทำงาน

NEET ย่อมาจาก “Not in Education, Employment, or Training” หมายถึง “บุคคลที่ไม่ได้อยู่ในระบบการศึกษา ไม่ได้มีงานทำ และไม่ได้กำลังฝึกอบรมวิชาชีพใด ๆ” คำนี้มักใช้กล่าวถึงเยาวชนหรือคนหนุ่มสาวช่วงอายุประมาณ 15–24 ปีที่ไม่ได้ประกอบอาชีพหรือเรียนต่อในเวลานั้น โดยอาจจะว่างงานอยู่บ้าน ไม่ได้ศึกษาต่อ และไม่ได้เข้ารับการฝึกทักษะอาชีพใด ๆ

แนวคิด NEET เริ่มใช้ครั้งแรกในสหราชอาณาจักรราวปลายยุค 1990s เพื่อสะท้อนปัญหาคนหนุ่มสาวที่หลุดออกจากวงจรทั้งการเรียนและการทำงาน ภายหลังก็แพร่หลายไปยังหลายประเทศรวมทั้งญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สหรัฐฯ เป็นต้น

คนกลุ่มนี้คอยพึ่งพิงการสนับสนุนจากครอบครัวหรือเงินช่วยเหลือจากรัฐในการดำรงชีวิต ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของพวกเขามักเป็นภาระของพ่อแม่ผู้ปกครอง หรือกินเงินเก็บที่มีอยู่ บางคนอาจหารายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ จากงานไม่ประจำหรือออนไลน์ แต่โดยหลักคือยังไม่สามารถพึ่งพาตัวเองทางการเงินได้

หากคนคนหนึ่งอยู่ในภาวะ NEET เป็นเวลานาน ย่อมสูญเสียโอกาสในการพัฒนาตนเอง ทั้งด้านความรู้ ทักษะการทำงาน และประสบการณ์ชีวิตการทำงาน เมื่อเวลาผ่านไปก็จะยิ่งกลับเข้าสู่ตลาดงานได้ยากขึ้น ส่งผลให้ขาดความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว

โดยตัวเลขประมาณการล่าสุดโดยองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ระบุว่าในปี 2023 มีเยาวชนอายุ 15–24 ปีทั่วโลกกว่า 21.7% ที่จัดอยู่ในกลุ่ม NEET หรือเกิน 1 ใน 5 ของคนหนุ่มสาวทั่วโลก ไม่มีงานทำและไม่ได้เรียนต่อ ถือเป็นสัญญาณที่หลายประเทศต้องเร่งแก้ไข

การวางแผนการเงินขั้นแรกคือการวางแผนพัฒนาตนเอง ให้กลับเข้าสู่ระบบการทำงานหรือการศึกษา เช่น อาจเริ่มจากเข้ารับการฝึกอบรมวิชาชีพระยะสั้น เข้าคอร์สเพิ่มพูนทักษะที่ตลาดงานต้องการ หรือขวนขวายหาประสบการณ์ทำงานไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด เพื่อสร้างโปรไฟล์ให้พร้อมสมัครงานใหม่ หารายได้และสร้างความมั่นคงให้ชีวิตตนเอง ลดภาระผู้อื่น และกลับมาเป็นกำลังสำคัญของเศรษฐกิจและสังคมได้อีกครั้ง

ไม่ว่าคุณจะอยู่ในกลุ่มไลฟ์สไตล์การเงินแบบใด การตระหนักรู้ถึงข้อดี ข้อเสียและผลลัพธ์ระยะยาวของแนวทางที่คุณเลือกคือสิ่งสำคัญที่สุด คนเรามีค่านิยมและความสุขที่ต่างกัน บางคนให้ค่ากับความมั่นคง บางคนให้ค่ากับการใช้ชีวิตวันนี้

แต่สุดท้ายแล้ว การวางแผนการเงินส่วนบุคคลที่ดีคือการหาสมดุลระหว่างปัจจุบันและอนาคต ให้เงินทองรับใช้ชีวิตเราได้ทั้งวันนี้และวันข้างหน้าอย่างลงตัว จงเริ่มทบทวนเป้าหมายชีวิตตัวเอง ดูว่าแนวทางปัจจุบันตอบโจทย์หรือไม่ และปรับแผนการเงินให้สอดคล้องกับชีวิตที่คุณอยากให้เป็นในระยะยาว เพื่อก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและมีความสุขควบคู่กันได้

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...