โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ต่างประเทศ

สื่อต่างประเทศ รายงาน หนึ่งเมนูอาหารไทย เสี่ยงเป็นโรคมะเร็ง กินบ่อย ๆ อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

สยามนิวส์

เผยแพร่ 19 มี.ค. 2567 เวลา 01.45 น. • สยามนิวส์
เรื่องนี้มีที่มาจาก สำนักข่าว Daily Star ของประเทศอังกฤษ

เรื่องนี้มีที่มาจาก สำนักข่าว Daily Star ของประเทศอังกฤษ ได้มีการรายงานว่า เมนู ก้อยปลา ถูกบริโภคโดยคนไทยหลายล้านคน แม้ว่านักท่องเที่ยวอาจไม่พบ ก้อยปลา ในเมนูร้านอาหารไทยโดยทั่วไป แต่อาหารจานนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย

เมนู ก้อยปลา โดยทั่วไปแล้วเป็นเมนูที่ทั้งจานเต็มไปด้วยปลาดิบสับ พร้อมด้วยสมุนไพร เครื่องเทศ และน้ำมะนาว ทั้งนี้ ไม่ใช่ปลาที่ทำให้เมนูก่อให้เกิดมะเร็ง แต่เป็นพยาธิตัวแบนหรือพยาธิใบไม้ที่อาศัยอยู่ภายในปลาพวกนี้ เพราะพวกปรสิตเหล่านี้มีถิ่นกำเนิดในปลาน้ำจืดในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง

ตามรายงานยังอธิบายอีกด้วยว่า เนื่องจากผู้คนจำนวนมากชอบรับประทานปลาดิบนี้ ส่งผลให้ภาคอีสานของประเทศไทยมีจำนวนผู้ป่วยมะเร็งท่อน้ำดีสูงที่สุดในโลก ซึ่งโรคนี้ได้รับการขนานนามว่า เพชฌฆาตเงียบ ซึ่งมีอัตราการรอดชีวิตต่ำที่สุดในบรรดามะเร็งทุกชนิด หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน

ทั้งนี้ ศาสตราจารย์ นพ.ณรงค์ ขันตีแก้ว นายแพทย์ชาวไทยผู้ล่วงลับ ซึ่งได้อุทิศตัวทำงานอย่างหนักเพื่องานวิจัยในเมนูนี้ เคยกล่าวเอาไว้ว่า พื้นที่นี้ถือเป็นภาระด้านสุขภาพที่ใหญ่มาก แต่ไม่มีใครรู้เรื่องนี้เพราะพวกเขาตายอย่างเงียบ ๆ เหมือนกับใบไม้ที่ร่วงหล่นจากต้นไม้

ซึ่งเมื่อรับเอาพยาธิเข้าไปแล้ว จะไปฝังตัวในท่อน้ำดีเป็นเวลานานทำให้บริเวณดังกล่าวเกิดการอักเสบเรื้อรัง 30-40 ปี และพบว่า 10% จะกลายเป็นมะเร็งท่อน้ำดี หากตรวจพบเร็วก็สามารถรักษาให้หายได้ แต่ถ้าช้าก็อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

ขอบคุณ Daily Star

เรียบเรียง siamnews

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...