โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

ประวัติศาสตร์รัตนโกสินทร์ในเมืองเก่าอยุธยา : ราชวงศ์จักรี คณะราษฎร และ การปฏิสังขรณ์อดีต

มติชนสุดสัปดาห์

อัพเดต 28 พ.ย. 2567 เวลา 06.59 น. • เผยแพร่ 06 ต.ค. 2565 เวลา 01.41 น.

คนที่เดินทางไปเมืองเก่าอยุธยา ส่วนใหญ่คือการเที่ยวชมโบราณสถานและวัดวาอารามที่ยังคงทิ้งร่องรอยแห่งอดีตอันยิ่งใหญ่สวยงามเมื่อครั้งอยุธยายังดำรงสถานะเป็นศูนย์กลางราชอาณาจักรสยาม แต่ในความเป็นจริงเมืองเก่าอยุธยามิได้มีเพียงร่องรอยหลักฐานของอดีตสมัยที่อยุธยาเป็นราชธานีเท่านั้น มีประวัติศาสตร์มากมาย ในยุครัตนโกสินทร์ (บางอย่างสำคัญมาก) ที่เกิดขึ้นในพื้นที่เมืองเก่าอยุธยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์จักรี และคณะราษฎร

เหตุการณ์เสียกรุงเมื่อ พ.ศ.2310 ที่ตามมาด้วยการรื้อและขนย้ายอิฐมหาศาลจากกรุงเก่า (รวมถึงการขนย้ายพระพุทธรูปหลายองค์) เพื่อนำมาสร้างกรุงเทพฯ ในยุคต้นร้ตนโกสินทร์ อาจถือเป็นสัญลักษณ์ของการทิ้งอยุธยาไว้ข้างหลัง เป็นจุดสิ้นสุดของประวัติศาสตร์อยุธยา

แม้เมืองเก่าอยุธยาจะไม่ถึงกับร้างผู้คน อีกทั้งรัชกาลที่ 1 พร้อมด้วยวังหน้าจะหวนกลับมาปฏิสังขรณ์วัดสุวรรณดารารามอันเป็นวัดของสายตระกูลขึ้นใหม่ แต่ทั้งหมดก็แทบมิได้ส่งผลอะไรมากนักในภาพรวม และเพียงเวลาไม่นาน เมืองเก่าอยุธยาก็ร้างรา ร่วงโรย และรกร้าง โดยเฉพาะพื้นที่ตอนในของเกาะเมือง หลักฐานความยิ่งใหญ่ของราชธานี 417 ปีค่อยๆ ถูกฝังกลบ

และความทรงจำหลายอย่างก็จางหายไปตามกาลเวลา

อย่างไรก็ตาม ราวต้นพุทธศตวรรษที่ 25 ในช่วงที่สยามกำลังก้าวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ สำนึกใหม่ว่าด้วยรัฐและชาติจากโลกตะวันตกกำลังค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในสำนึกของชนชั้นนำ อดีตและประวัติศาสตร์กำลังกลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ในช่วงเวลานี้เองที่เมืองเก่าอยุธยาเริ่มกลับมามีความสำคัญอีกครั้ง

การเดินทางย้อนกลับไปสำรวจเพื่อ “ค้นหา/สร้างใหม่” สิ่งที่เรียกว่า “อดีต” ของตนเอง (กรณีนี้คืออดีตของชนชั้นนำสยาม) ผ่านการขุดค้นและบูรณะโบราณสถานภายในเมืองเก่าอยุธยา รวมถึงเมืองเก่าทิ้งร้างทั้งหลายทั่วสยาม กลายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างหนึ่งต่อการเปลี่ยนผ่านสู่รัฐสมัยใหม่

การปฏิสังขรณ์วังจันทรเกษม, วัดสุวรรณดาราราม, วัดเสนาสนามราม, โครงการสร้างวังหลังป้อมเพชร (ไม่ได้สร้างจริง) และการสร้างปราสาทจตุรมุขบนเนินฐานพระที่นั่งสรรเพชญปราสาท โดยรัชกาลที่ 4 หรือการขุดค้นครั้งใหญ่วัดพระศรีสรรเพชญ์และพระราชวัง, การจัดงานพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษกในบริเวณพระที่นั่งสรรเพชญปราสาท ไปจนถึงการรวบรวมโบราณวัตถุทั่วอยุธยาและพื้นที่ใกล้เคียง มาจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ภายในวังจันทรเกษมในสมัยรัชกาลที่ 5

คือตัวอย่างของปรากฏการณ์นี้

ในภาษาไทย คำว่า “การปฏิสังขรณ์” ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า “restoration” มีความหมายสื่อถึงการซ่อมแซมทำให้กลับคืนดีเหมือนเดิม (ในวัฒนธรรมไทยนิยมใช้คำนี้กับโบราณสถานและวัดวาอารามเท่านั้น)

แต่ในความเป็นจริง ธรรมชาติของการปฏิสังขรณ์มิได้มีเพียงมิติของการย้อนกลับไปหาอดีตดั้งเดิมอันจริงแท้เพียงเท่านั้น คำนี้ยังมีนัยยะของการตีความสิ่งใหม่และนำมันย้อนกลับไปสวมให้อดีต (ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ) ไปพร้อมกัน

ดังนั้น คำนี้จึงเหมาะสมอย่างยิ่งกับการนำมาใช้อธิบายโครงการทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเมืองเก่าอยุธยาช่วงดังกล่าว (ไม่ใช่แค่ใช้เรียกโครงการบูรณะวัดเก่าเท่านั้น) เพราะในทัศนะผม โครงการทั้งหมด โดยแท้จริงแล้วมีเป้าหมายเพื่อ “ค้นหา/สร้างใหม่” สิ่งที่เรียกว่า “อดีต” ของราชวงศ์จักรี (และของชาติ ในความหมายที่ชาติมีหัวใจสำคัญอยู่ที่สถาบันกษัตริย์) ในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความท้าทายของการปฏิรูปการปกครองและสถาบันกษัตริย์ ไปสู่ความเป็นสมัยใหม่

และด้วยเหตุนี้ ผมจึงอยากเสนอให้เรียกสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดข้างต้นว่าเป็น “การปฏิสังขรณ์อดีต” ครั้งใหญ่ของราชวงศ์จักรีในพื้นที่เมืองเก่าอยุธยา นับตั้งแต่เมืองถูกทิ้งร้างไปใน พ.ศ.2310

อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์นี้ถือว่าเป็นเพียงระลอกแรกเท่านั้น เพราะภายหลังการปฏิวัติ 2475 ในช่วงเวลาที่คณะราษฎรมีอำนาจ (พ.ศ.2475-2490) ได้เกิดระลอกที่สองของ “การปฏิสังขรณ์อดีต” ครั้งใหญ่อีกครั้งในพื้นที่เมืองเก่าอยุธยาที่มีเนื้อหาสาระบางอย่างแตกต่างออกไป

ในขณะที่ระลอกแรกเน้นการค้นหา รื้อฟื้น และสถาปนาอดีตอันยิ่งใหญ่ของสถาบันกษัตริย์ สร้างความเชื่องโยงระหว่างกษัตริย์อยุธยาในอดีตกับกษัตริย์รัตนโกสินทร์ในปัจจุบันผ่านโครงการบูรณะปฏิสังขรณ์มากหมายทั้งแบบถาวรและชั่วคราว

แต่ระลอกที่สองจะเน้นการเข้าไปเปิดพื้นที่เมืองเก่าให้กลับไปสู่สภาพความเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนอีกครั้ง

การตัดถนนโรจนะผ่านเข้าไปกลางเกาะเมืองอยุธยา และการสร้างสะพานปรีดี-ธำรง เพื่อเชื่อมต่อการคมนาคมทางรถยนต์เข้าสู่เกาะเมืองอยุธยาเป็นครั้งแรก รวมไปถึงการสร้างโรงเรียนและศาลากลางจังหวัดขนาดใหญ่ขึ้นใหม่ ทั้งหมดคือรูปธรรมที่สำคัญในการรื้อฟื้นอยุธยาระลอกที่สอง

ก่อนการสร้างสะพานปรีดี-ธำรง อาจกล่าวได้โดยไม่เกินความจริงไปนักว่า พื้นที่ตอนในของเกาะเมืองอยุธยาล้วนเต็มไปด้วยพื้นที่รกร้าง แม้มีบ้านเรือนผู้คนและเรือกสวนของชาวบ้านกระจายอยู่ในพื้นที่ต่างๆ แต่ก็น้อย ผู้คนส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในบริเวณพื้นที่รอบเกาะเมืองที่การสัญจรทางน้ำเข้าถึงได้อย่างสะดวกมากกว่า

แต่เมื่อมีสะพานปรีดี-ธำรง และถนนโรจนะ พื้นที่ตอนในของเกาะเมืองก็สามารถเข้าถึงได้โดยสะดวกผ่านถนนและรถยนต์ ทำให้สภาพการอยู่อาศัยของผู้คนเปลี่ยนไปอย่างมีนัยยะสำคัญ การขยายตัวของถนนสมัยใหม่ก็เริ่มขึ้นนับตั้งแต่นั้นมา (ก่อนหน้านี้ถนนภายในเกาะเมืองคือถนนดินและอิฐทั้งสิ้น ซึ่งไม่ได้มีไว้สำหรับการสัญจรโดยรถยนต์)

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องแลกมาคือ โบราณสถานเก่าแก่หลายแห่งเมื่อครั้งอยุธยายังเป็นราชธานีถูกรื้อทิ้งเพื่อเปิดทางสู่ความเจริญแบบสมัยใหม่

การปฏิสังขรณ์เมืองเก่าอยุธยาในยุคนี้คล้ายคลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่เมืองเก่ากรุงเทพฯ ในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ต้องการเปลี่ยนเมืองเก่าแบบจารีตไปสู่เมืองศิวิไลซ์ตามอย่างยุโรป ซึ่งทำให้ป้อม กำแพงเมือง วัง และวัดบางแห่งได้ถูกรื้อลงเพื่อเปิดทางให้แก่ถนนและอาคารราชการสมัยใหม่

ย้อนกลับมาที่เมืองเก่าอยุธยา มีสิ่งที่น่าสนใจในระลอกที่สอง คือ การเข้าไปจัดการกับโบราณสถานบางแห่งในยุคนี้เป็นการสร้างความหมายใหม่ในฐานะของการเป็นสัญลักษณ์ที่เชื่อมโยงระหว่างอดีตกับความเป็นเมืองสมัยใหม่ เช่น กรณีการสร้างวงเวียนรอบเจดีย์วัดสามปลื้ม (โดยทำการรื้ออาคารประกอบ เช่น โบสถ์ วิหาร ออกจนหมดเหลือเพียงเจดีย์องค์เดียว) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนความหมายของเจดีย์ในแบบเดิม มาสู่การเป็นอนุสาวรีย์หรือแลนด์มาร์คสำคัญกลางถนนสมัยใหม่

หลังจากที่หมดยุคคณะราษฎร และเข้าสู่ยุคจอมพล ป.พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหลัง พ.ศ.2490 “การปฏิสังขรณ์อดีต” ของอยุธยาก็เปลี่ยนแนวทางมาสู่ระลอกที่สาม

ในช่วงปลายทศวรรษ 2490 จอมพล ป.มีโครงการบูรณปฏิสังขรณ์เมืองเก่าอยุธยาครั้งใหญ่ ทั้งการปฏิสังขรณ์วิหารพระมงคลบพิตร วัดพระศรีสรรเพชญ์ โครงการบูรณะเจดีย์วัดสามปลื้มพร้อมทั้งสร้างอนุสาวรีย์พระเจ้าตากสิน (ไม่ได้สร้าง) และการขุดค้นทางโบราณคดีตามวัดต่างๆ เป็นจำนวนมาก เพื่อนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการฉายภาพอดีตอันยิ่งใหญ่ของอยุธยาภายใต้โครงเรื่องประวัติศาสตร์ชาตินิยมไทย

สิ่งที่น่าสนใจในช่วงนี้คือ มีการปรับปรุงบึงพระรามครั้งใหญ่เพื่อให้เป็นสวนสาธารณะสำหรับประชาชนมาใช้พักผ่อนหย่อนใจ ซึ่งแนวคิดนี้จะว่าไปก็สืบทอดไอเดียมาตั้งแต่ยุคคณะราษฎรที่นิยมสร้างรมณียสถานสำหรับประชาชน ในพื้นที่กลางเมือง ไม่ว่าจะเป็นเขาดินวนาที่กรุงเทพฯ และสระแก้วที่ลพบุรี

เมื่อมองในรายละเอียด “การปฏิสังขรณ์อดีต” อยุธยาในระลอกที่สามนี้ มีส่วนอย่างสำคัญที่ทำให้เรื่องราวของอยุธยาหวนย้อนกลับมาสู่การรับรู้ของประชาชน เรื่องราวการขุดค้นทางโบราณคดีต่างๆ ถูกนำมาตีพิมพ์เผยแพร่ในวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวารสารศิลปากร มีการจัดทัศนะศึกษาที่นำพาผู้คนย้อนอดีตกลับไปรู้จักราชธานีอันยิ่งใหญ่ของชาติ

จากทั้งหมดที่กล่าวมา ผมอยากสรุปว่า เมืองเก่าอยุธยาที่เต็มไปด้วยซากโบราณสถานทิ้งร้างมากมายกระจายอยู่ทั่วเมือง หากมองด้วยสายตาคนทั่วไปเมื่อไปเยี่ยมเยือน อาจหลงคิดไปว่า ประวัติศาสตร์อยุธยาได้หยุดลงไปแล้วตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ.2310

แต่ในความเป็นจริงโบราณสถานเหล่านั้นที่ล้วนแล้วแต่ได้ผ่าน “การปฏิสังขรณ์อดีต” ครั้งใหญ่สามระลอกในสมัยรัตนโกสินทร์ ได้ทำให้เมืองเก่าอยุธยามีชีวิตอีกด้านอยู่บนหน้าประวัติศาสตร์รัตนโกสินทร์และประวัติศาสตร์แห่งชาติในยุคสมัยใหม่อย่างที่หลายคนอาจคิดไม่ถึง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งประวัติศาสตร์ราชวงศ์จักรีและคณะราษฎร •

https://twitter.com/matichonweekly/status/1552197630306177024

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ประวัติศาสตร์รัตนโกสินทร์ในเมืองเก่าอยุธยา : ราชวงศ์จักรี คณะราษฎร และ การปฏิสังขรณ์อดีต

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichonweekly.com

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...