โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

แพทย์อภัยภูเบศร แนะฮาวทู 'ใช้กัญชาด้วยตนเอง’ เลี่ยงเอฟเฟ็กต์ พร้อมแจกสูตรชา-น้ำพริกขี้กา-น้ำมันแก้ปวด

MATICHON ONLINE

อัพเดต 11 มิ.ย. 2565 เวลา 05.58 น. • เผยแพร่ 10 มิ.ย. 2565 เวลา 10.31 น.

แพทย์อภัยภูเบศร แนะฮาวทู ‘ใช้กัญชาด้วยตนเอง’ เลี่ยงเอฟเฟ็กต์ พร้อมแจกสูตรชา-น้ำพริกขี้กา-น้ำมันแก้ปวด

เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศในงาน “มหกรรม 360 องศา ปลดล็อกกัญชา ประชาชนได้อะไร” ซึ่งจัดขึ้นโดย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดบุรีรัมย์ ภายใต้แนวคิด กัญชาคืนชีวิตสร้างเศรษฐกิจให้ประชาชน ระหว่างวันที่ 10-12 มิถุนา

โดยบรรยากาศเวลา 12.00 น. ดร.ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวบรรยายในหัวข้อ “การใช้กัญชาด้วยตนเองอย่างไร ให้ปลอดภัยและได้ผล”

สำหรับผู้ที่มีอาการ “นอนไม่หลับ” ดร.ภญ.ผกากรองแนะนำว่า การใช้กัญชาเพื่อบรรเทาอาการนอนไม่หลับและปวด ยึดหลัก start low go slow stay low คือ ให้เริ่มที่ขนาดต่ำก่อน เพราะแต่ละบุคคล มีระบบกัญชาในร่างกายแตกต่างกัน “ใช่ว่าจะใช้มากแล้วจะยิ่งดี” ควรปรับหลังใช้ไปแล้ว 3-4 วัน จนกว่าจะได้ขนาดยาที่เหมาะสมที่สามารถใช้ได้โดยไม่เกิดผลข้างเคียง

ก่อนแนะนำ “สูตรชากัญชา” วิธีทำคือ นำใบกัญชาจำนวน 1-2 ใบ มาคั่วไฟอ่อนๆ 2-3 นาที ชงกับน้ำอุ่น ตั้งทิ้งไว้ 5 นาที ดื่มก่อนนอน โดยหาก 3 วันยังนอนไม่หลับ ให้ปรับเพิ่มครั้งละ 2 ใบ สูงสุด 6 ใบต่อวัน

“สูตรกัญชาดองน้ำผึ้ง” วิธีทำ นำใบกัญชามาคั่วไฟอ่อนๆ 2-3 นาที ทิ้งไว้ให้เย็น บรรจุลงโหล จากนั้นเทน้ำผึ้งลงไป (ใบสด 30 กรัม : น้ำผึ้ง 600 กรัม) ดอง 1 เดือน ใช้รับประทานครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ (ประมาณ 20 กรัม) ผสมน้ำอุ่น หรือนมอุ่นดื่มก่อนนอน จะได้รับกัญชาประมาณ 1 กรัมต่อวัน โดยสูตรนี้รับประทานได้ 1 เดือน

สำหรับอาการ “ปวด” ดร.ภญ.ผกากรอง แนะนำ “น้ำมันกัญชาสูตรรับประทาน” โดยหากรับประทานแบบชาชง หรือดองน้ำผึ้งแล้วยังมีอาการนอนไม่หลับ อาจเปลี่ยนมาใช้กัญชาแห้งเคี่ยวน้ำมันเพื่อหยดใต้ลิ้น

วิธีทำ นำกัญชาแห้งทั้ง 5 (ราก ลำต้น ก้าน ใบ ดอก) มาแช่ในน้ำมันมะพร้าว หมักทิ้งไว้ 7- 14 วัน แล้วนำมาหุงน้ำมัน โดยนำโหลแก้วไปวางไว้ในหม้อที่ตัมน้ำไว้ในความร้อนประมาณ 60 องศาเซลเซียส นาน 6-8 ชั่วโมง กรองเอาแต่น้ำมันด้วยกระดาษ กรองกาแฟ เก็บไว้ใช้รับประทาน

วิธีใช้กรณี “นอนไม่หลับ” ใช้ครั้งละ 2 หยดใต้ลิ้น ก่อนนอน ติดต่อกันนาน 5-7 วัน หากยังไม่ดีขึ้นให้ปรับเพิ่ม ครั้งละ 1-2 หยด

กรณี “ปวด” ใช้ครั้งละ 2 หยดใต้ลิ้น ก่อนอาหารเช้า-เย็น ติดต่อกันนาน 5-7 วัน หากยังไม่ดีขึ้นจึงปรับเพิ่ม ครั้งละ 1-2 หยด

ทั้งนี้ ผู้ที่ควรหลีกเลี่ยงการใช้สูตรดังกล่าว ได้แก่ ผู้อายุต่ำกว่า 25 ปี, สตรีมีครรค์และให้นมบุตร, ตับและไตบกพร่อง, ผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด ผู้ที่ใช้ยาละลายลิ่มเลือด วาร์ฟาริน และผู้ที่ใช้ยาที่มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในตอนหนึ่ง ดร.ภญ.ผกากรอง กล่าวถึงการใช้น้ำมันกัญชาว่า จะเหยาะใต้ลิ้นหรือกินก็ได้ แต่การเหยาะจะออกฤทธิ์เร็ว เพียง 15-30 นาทีก็เห็นผล แต่สำหรับคนไข้ที่ปวดรุนแรง ต้องให้กินไปด้วย เพราะออกฤทธิ์ช้า แต่ยาจะอยู่ได้นานกว่า โดยเวลาใช้หากเป็นคนไข้ที่ไม่เคยใช้มาก่อน ให้ใช้ปริมาณน้อยที่สุด ปรับขนาดได้ หากปวดกล้ามเนื้อ เมื่อหายแล้วสามารถหยุดใช้ได้

สำหรับ “ยาทา” ถ้าไม่มีแผล ผิวหนังปกติจะซึมยากมาก จึงไม่ต้องกังวลว่าจะเมา (High) ถ้าหากไม่ได้ไปถูที่จมูก ซึ่งสิ่งที่ตนกำลังศึกษา คือการใช้ในโรคแผล อย่าง “สะเก็ดเงิน” ซึ่งช่วยบรรเทาการอักเสบได้

ส่วนการติดตามผลการใช้ ดร.ภญ.ผกากรองชี้ว่า ถ้าหากเราต้องปรับขนาดการรักษา ให้ค่อยๆ ปรับทุก 3-4 วัน ถ้าปรับจนพบผลข้างเคียงซึ่งคนไข้ส่วนใหญ่ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ มีผลข้างเคียงคือ ปากแห้ง คอแห้ง ง่วงนอน ให้จิบน้ำบ่อยๆ อาการข้างเคียงจะอยู่ไม่เกิน 7 วัน ถ้าหากกลับมาอีก มีคลื่นไส้ อาเจียน ใจสั่น ความดันลด เช่นนี้ต้องปรับยาลง

“ตอนใช้ช่วงแรกๆ มักมีผลข้างเคียง สำหรับผู้สูงอายุ หากเป็นกลุ่มโรคเรื้อรัง การใช้กัญหา อาจช่วยให้ความดันลดได้ จึงควรมีเครื่องวัดความดันไว้ด้วย ถ้ามาถูกทาง 7 วัน อาการข้างเคียงจะไม่มี การรักษาที่ดี จะต้องได้ผล และไม่มีผลข้างเคียง คือหลักการทางการแพทย์

หากมีผลข้างเคียง ให้ไปสถานพยาบาลใกล้บ้าน หากไปแล้ว ปรับการใช้ยาแล้ว 1 เดือนไม่ดีขึ้น หรือผลข้างเคียง เกิน 1 สัปดาห์ ต้องให้คนมีความรู้ช่วยปรับ เช่น ใช้ยาเหยาะใส่ช้อนก่อน ค่อยกิน เพราะการเหยาะใต้ลิ้น ผู้สูงอายุจะกะปริมาณไม่ถูก จึงควรมีกระจกส่องตอนเหยาะ หรือมีคนเหยาะให้” ดร.ภญ.ผกากรองระบุ

ดร.ภญ.ผกากรองยังกล่าวถึง การใช้กัญชากับอาการเบื่ออาหาร ซึ่งผู้ป่วยสามารถเลือกกินอาหารที่มีส่วนผสมของใบกัญชา โดยเริ่มจากปริมาณน้อย ครึ่งใบต่อวัน ใช้ได้วันละไม่เกิน 5-8 ใบ นำไปปรุงผสมอาหารที่มีส่วนผสมของเครื่องเทศเป็นหลัก จะมีสรรพคุณช่วยปรับธาตุลมในทางเดินอาหาร ทำให้เลือดลมไหลเวียนดี กินข้าวได้มากขึ้น

ทั้งนี้ หลังกินอาหารที่มีส่วนผสมของกัญชาอาจมีอาการข้างเคียง เช่นกัน

ดร.ภญ.ผกากรองเผยว่า 1.การใช้ดอกผสมอาหาร พูดตรงๆ ไม่อร่อย คนไทยมักไม่ค่อยใส่ 2.มักผสมกับเครื่องเทศ เพื่อปรับลมในลำไส้ จะทำให้การดูดซึมอาหารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อาการนอนไม่หลับ ไม่อยากอาหาร ก็จะหาย

“ถ้าใครจะทำร้านอาหาร เราทำร้านอาหารเหมือนกัน จะไม่เกิดความแตกต่าง แต่ถ้ามีประวัติเบื้องหลังในการทำ จะช่วยได้มาก อย่าง ฝรั่งไม่กินใบ เพราะเห็นว่า เหมือนกินซาก แต่องค์ความรู้ใหม่บอกว่า สารสำคัญในนั้น อาจจะมีประโยชน์มากกว่าด้วยซ้ำ ต้องปรับใช้ให้เหมาะกับแต่ละคน เช่น มีผู้ป่วยฉายรังสีมา แต่ลิ้นแตก เช่นนี้กินผสมเครื่องเทศไม่ได้ อาจจะต้องใช้กินเป็นชาชง เป็นต้น

“กัญชา หากไม่ผ่านความร้อน จะเป็นสาร THCA CBDA ต้องนำไปผ่านความร้อน เพื่อสกัด A หรือ Acid ออก ใบสดมีประโยชน์อะไร ใบมีสารกลุ่มกรดของสารเมา -สารต้านเมา ซึ่งช่วยลดการอักเสบ ถ้ากินใบสด ไม่เมา ค่อนข้างปลอดภัย เพียงแต่กินยาก เหม็นเขียวมาก จึงนิยมนำไปทำสลัด หรือน้ำปั่นได้” ดร.ภญ.ผกากรองระบุ

ทั้งยังนำแนะนำเมนูกัญชา อย่าง “ตำกัญ” น้ำพริกขี้กา โดยบอกส่วนผสมคือ

ใบกัญชาสด/แห้ง 5 ใบ
พริกชี้ฟ้าสีแดง 3 เม็ด
พริกหนุ่ม 3 เม็ด
พริกจินดาสีแดง 5 เม็ด
พริกจินดาสีเขียว 5 เม็ด
กระเทียม 10 กลีบ
หอมแดง 8 หัว
น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปี๊บ 1/4 ช้อนชา
เกลือ 1 หยิบมือ และผักตามใจชอบ

วิธีการทำ มีดังนี้

1.นำใบกัญชาแบบแห้งหรือสดก็ได้ ใส่ลงในกระทะตั้งไฟอ่อนๆ (หากเป็นใบสดให้คั่วจนแห้งกรอบและมีกลิ่นหอม)

2.ใส่พริกหอมกระเทียมที่เตรียมไว้ไปคั่วในกระทะ โดยคั่วไปเรื่อยๆ ด้วยไฟอ่อนจนกว่าจะเริ่มสุกเกรียม สังเกตจากหอมแดงและกระเทียม ที่ดูใสขึ้นและมีกลิ่นหอม

3.เมื่อคั่วเสร็จแล้ว นำมาตำพอแหลก ปรุงรสด้วยมะนาว น้ำปลา และน้ำตาลปี๊บ ชิมรสตามใจชอบ โขลกเบาๆ พอเข้ากัน จากนั้นตักใส่ถ้วย รับประทานคู่กับผักสด

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...