ข้อมูลเบื้องต้น
อนากานเกิดใหม่ในร่างของเด็กที่ชื่อ 'อัญชัน' แถมยังมีลูกชายหนึ่งคนวัยสองเดือนที่กินนมจุมาก
และมีแม่อายุสี่สิบปีที่เชื่องช้า น่าสงสาร
เขาจะทำทุกอย่างเพื่อให้ครอบครัวใหม่นี้มีความสุข
ฝากติดตามด้วยนะคะ
รูปภาพน่ารักๆ จากคุณนักอ่าน
ขอบคุณมากๆ นะคะ^^
1 >เกิดใหม่เป็นคุณแม่โอเมก้าอายุสิบเก้าปี มีลูกหนึ่งคน
หลังคาสังกะสีเก่าผุพังคือที่พักอาศัยของเขาในชีวิตปัจจุบัน สภาพแวดล้อมซอมซ่อไม่น่าพิศมัย และคาดไม่ถึงว่า ‘กองขยะ’ แห่งนี้จะมีคนอาศัยอยู่หลายครัวเรือน
อนากานฟื้นขึ้นมาในร่างเด็กหนุ่มโอเมก้าได้สองวันแล้ว คราแรกเขารับสภาพตัวเองไม่ได้ แต่ท้ายที่สุดก็ปลงตกให้กับโชคชะตาชีวิตแสนรันทด
ร่างเดิมเขาเป็นเบต้านักธุรกิจมีชื่อเสียงกำลังจะได้รับตำแหน่งเป็นประธานบริษัทต่อจากบิดา แม้นว่าบิดาจะไม่แสดงอาการรักใคร่เขามากนัก เพราะเขาเป็นเพียงลูกที่ท่านรับเอามาเลี้ยงก็ไม่ได้ระแคะระคายในความรักของท่าน ซึ่งหลังจากเขาตาย เหตุผลแท้จริงของบิดาก็ปรากฏ เขาถูกรับมาเลี้ยงเพื่อเป็นตัวเปรียบเทียบให้บุตรชายของท่านอยากแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นด้วย ส่วนเรื่องการจะให้เขาดำรงตำแหน่งท่านประธานนั้นก็คือการหลอกลวงทั้งเพ
ด้วยเหตุผลนี้ เขาจึงไม่เสียดายชีวิตเดิมเลยสักนิดเดียว ตายจากครอบครัวจอมปลอม ทรัพย์สินที่หามาถือว่าเป็นค่าน้ำนมตอบแทนที่เลี้ยงจนเติบใหญ่ แล้วฆ่าเขาตายด้วยน้ำมือตัวเอง
แม้ว่าชีวิตเก่ามันจะหรูหราสุขสบาย แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการถูกเกลียดชังจากพี่น้อง
ตอนที่เขาตกลงมาจากชั้นดาดฟ้าของตึกก็คิดว่าตายเสียได้ก็ดี แม้นว่าจะไม่ได้หันไปมองว่าใครเป็นคนผลักลงมา แต่ก็พอทราบได้ว่าเป็นใคร เพราะคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นมีแค่สองคน บิดากับพี่ชาย ไม่ใครก็ใครสักคนในสองคนนี้ที่คิดจะปลิดชีพเขา
“แอ๊ แอ๊” เสียงทารกร้องเรียกสติให้อนากานอยู่กับชีวิตปัจจุบัน
เขาไม่ใช่เบต้าชื่ออนากานอีกต่อไปแล้ว
เขาชื่อ ‘อัญชัน’
ส่วนเจ้าเด็กที่โยเยอยู่นี่ชื่อ ‘หมูตุ๋น’ เป็นเด็กผู้ชายหน้าตาจิ้มลิ้มวัยสองเดือน ลูกเจ้าของร่างเก่าเป็นคนคลอดออกมาก่อนที่อนากานจะมาเกิดในร่างนี้
“แอ๊…” ร้องเรียกยาวขึ้น
อนากานขยับตัวไปดึงเด็กที่นอนอยู่ในเบาะผ้าขาดๆ ลากเข้ามาใกล้ๆ แล้วตะแคงตัวให้เต้านมแนบปากเด็กน้อย ตอนที่ถูกเด็กคนนี้ดูดนมครั้งแรก เขาจักจี้หัวนมแทบตาย ไม่ยอมให้ดูด ยื้ออยู่นาน จนแล้วจนรอดเห็นสงสารเด็กหิวนมจึงใจอ่อนยอมให้ดูด
เด็กน้อยกินนมราวกับพายุ ดูดอกคนเป็นแม่จนแทบจะกลืนเข้าไปในปาก เด็กคงหิวโหยอยู่ไม่น้อย น้ำนมของคุณแม่โอเมก้าชายเองก็มีเพียงนิดเดียวหากเทียบกับโอเมก้าเพศหญิง
“ตื่นแล้วเหรออัญ” เสียงเรียกจากหญิงอายุสี่สิบปี ผู้เป็นมารดาเจ้าของร่างทำให้เขาผงกหัวขึ้นมอง
“แม่เอาข้าวมาให้ลูก” เธอวางจานพลาสติกสีตุ่นลงกับพื้นพร้อมน้ำหวานสีแดงในแก้วพลาสติกมีหลอดเสียบ
“แม่เห็นว่าน้ำมันน่ากินเลยซื้อมาให้ด้วย ‘อัญ’ เดี๋ยวแม่ไปเก็บขยะก่อนนะ จะรีบกลับมานะลูก”
คล้อยหลังผู้หญิงที่แทนตัวเองว่าแม่ไปแล้ว
อนากานลุกขึ้นโดยอุ้มเด็กที่ดูดนมขึ้นมาตระกองไว้ในอ้อมแขน เขานั่งพิงกำแพงบ้านที่เป็นไม้อัดเก่าๆ เสื่อมโทรมแล้วครุ่นคิด
การเกิดใหม่เหมือนฟ้าประทานพรจริงหรือ
เขาไม่ได้อยากเกิดใหม่มาอยู่ในร่างเด็กใจแตกที่ท้องไม่มีพ่อตั้งแต่อายุสิบแปดปี แล้วยังตายเพราะกินยาลดน้ำหนักไร้ อย. จะให้โทษเจ้าของร่างเก่าฝ่ายเดียวไม่ได้ เพราะเขายังเด็กนัก สภาพแวดล้อมที่เขาอยู่ก็ย่ำแย่ เขามีแม่ที่เชื่องช้า ใช้ชีวิตอยู่ในกองขยะด้วยกัน
อนากานคว้าน้ำหวานมาดูดอึกใหญ่ คอที่แห้งผากเป็นผุยผงชุ่มชื่นขึ้น ก้มมองเด็กน้อยที่กินนมจากเต้า เห็นว่าหลับแล้วก็วางเด็กลงบนเบาะเก่าๆ ที่คาดว่าน่าจะเก็บมาจากกองขยะที่ยายของเด็กใช้ทำมาหากิน
อนากานมองข้าวราดแกงในจาน แม้ว่าไม่อยากกินก็ต้องฝืนกินเพื่อประทังชีวิต จะได้มีน้ำนมให้ลูกน้อยวัยกำลังเติบโต เขาเวทนาชีวิตใหม่ของตัวเอง แต่ถ้ามัวจมจ่อ นอนเป็นปลาตาย ชีวิตใหม่นี้ของเขาคงเน่าคากองขยะ
อนากานจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ชีวิตใหม่นี้ดีกว่าที่เป็นอยู่
ยอมรับว่าตอนตื่นขึ้นมาในร่างนี้ ชั่วความคิดสั้นๆ เขาเคยคิดว่าจะทิ้งสองคนยายหลานไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ไหนสักแห่ง แต่พอมองแววตาของคนเป็นยายและลูกชายเจ้าของร่างก็สงสารจนต้องล้มเลิกความคิดไป
สถานการณ์ปัจจุบัน เขาอยู่ในร่างเด็กอายุสิบเก้าปีเรียนจบแค่มอสาม อาศัยอยู่ในบ้านที่ใกล้กับกองขยะส่งกลิ่นเหม็น สภาพบ้านก็ใกล้จะพังแหล่มิพังแหล่เต็มทน ครอบครัวยากจนชนิดที่ว่าไม่มีเงินติดตัวสักแดงเดียว
เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านมีเพียงพัดลมเก่าๆ หนึ่งตัว กาน้ำร้อนที่คาดว่าน่าจะเก็บจากกองขยะพร้อมกับพัดลม
เสื้อผ้าที่ใส่ทั้งเก่าและขาดวิ่น
ความเป็นอยู่ไม่พร้อมสำหรับเลี้ยงทารกอย่างแรง สถานะทางการเงินวิกฤตขั้นสุดเพราะเขาไม่มีรายได้จุนเจือครอบครัว ส่วนยายของเด็กก็มีเพียงรายได้จากการขายขยะวันละไม่กี่ร้อยบาท ใช้ซื้ออาหารมาประทังสามชีวิตในบ้าน
เห็นสภาพน่าสังเวชของครอบครัวเจ้าของร่างแล้วอยากจะร้องไห้ รัฐสวัสดิการเข้าไม่ถึงพวกเขา เด็กน้อยไม่มีนมผงกิน ต้องกินนมจากเต้าแม่ที่มีน้ำนมอันน้อยนิด
คุณแม่โอเมก้าเพศชายไม่เหมือนเพศหญิง คลอดลูกแล้วจะไม่ค่อยแข็งแรง น้ำนมนั้นก็มีน้อยมาก หากอยากเพิ่มน้ำนม คนแม่ก็ต้องกินอาหารเพิ่มเข้าไปเยอะๆ เพื่อให้ร่างกายผลิตน้ำนม สภาพความเป็นอยู่อดมื้อกินมื้อแบบนี้ จะหาอาหารจากไหนมากินเพิ่มเข้าไป
เขาจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ชีวิตใหม่ลืมตาอ้าปากได้ แต่ตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก อนากานขอกินข้าวจานนี้ให้หมด นั่งคิดหาลู่ทางทำมาหากิน ทำกิจกรรมประจำวันเล็กๆ น้อยๆ ก่อนที่เจ้าลูกชายจะตื่นขึ้นมาแล้วอ้อนร้องขอกินนมแม่
>>>> ฝากติดตามด้วยนะคะ
2 >ขวดนมจากกองขยะ เก่าของใคร ใหม่ของเรา
บ้านเก่าใกล้จะพังหลังนี้ ห้องอาบน้ำมุงสังกะสีไม่มีน้ำอุ่นให้อาบ มีแต่ขันโทรมๆ วางอยู่ในถังสีเขรอะๆ ห่างไปมีส้วมหลุมนั่งยองที่สกปรกเปื้อนดินจากพื้น ห้องน้ำทำมาจากสังกะสีหลายแผ่นประกอบเข้าด้วยกันตามมีตามเกิด อย่าได้ถามหาสุขอนามัยที่เหมาะสมต่อการอยู่อาศัย แค่มีห้องน้ำใช้ก็นับว่าดีมากแล้ว
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เคยใช้ส้วมนั่งยอง อนากานในร่างเก่าเป็นคนจริงจังกับงานเพื่อเอาใจบิดาจึงไม่เคยว่อกแว่กเที่ยวเล่นที่ไหน ห้องน้ำที่เขาใช้ส่วนใหญ่จะเป็นห้องน้ำที่บ้านหรือไม่ก็คอนโดที่สะดวกสบาย เขาไม่เคยใช้ห้องน้ำสาธารณะ
แต่ช่างมันเถอะ ชีวิตเก่าต่อให้ดีแค่ไหน ก็ยังขมขื่น เขาจะปรับตัวใช้ชีวิตใหม่นี้ให้ได้ ยังไม่ทันจะตักน้ำในถังราดอาบตัวเอง เสียงร้องไห้จ้าของเจ้าลูกชายก็ดังสะเทือนเข้ามาถึงในห้องน้ำ เหมือนสังกะสีถูกเขย่า
อนากานรีบวางขัน ออกไปจากห้องน้ำ เพื่อดูลูกที่นอนแผดเสียงร้องจ้าอยู่ในเปลผ้าผูกโยงจากเสาต้นหนึ่งไปยังอีกต้นกลางบ้าน
พอเข้ามาใกล้ลูก กลิ่นระเบิดที่ลูกปู้ดออกมาก็กระแทกเข้าจมูกเต็มแรง
“นี่กลิ่นอึของเด็กที่กินแต่นมใช่ไหม ทำไมเหม็นมหาประลัยอย่างนี้ล่ะ” แม้จะขมคอแค่ไหนก็ต้องจัดการเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูก นำเจ้าเด็กน้ำลายยืดไปล้างก้น เช็ดด้วยผ้าขนหนูสะอาดแล้วนุ่งผ้าอ้อมใหม่ให้
ลูกชายของเขาไม่มีแพมเพิร์สใส่ ทำให้ต้องนุ่งผ้าอ้อมรองรับของเสีย ในท่ามกลางความอนาถา อนากานมองเด็กตาแป๋วที่นอนเล่นนิ้วตัวเอง
“แม่จะหาเงินมาซื้อนมผง และผ้าอ้อมให้หมูตุ๋นให้ได้เลย” ประกาศกร้าวเสียงดังลั่น เขาจะไม่ยอมเช็ดก้นเด็กน้อยจนตูดเปื่อยแน่
เด็กสองเดือนนอนเป็นหลัก พอกล่อมลูกหลับ อนากานก็รีบเข้าไปอาบน้ำ กวาดสายตามองตัวเองในกระจกบิ่นๆ มือสองที่เก็บมาจากกองขยะก็ค้นพบว่าคราบที่เปื้อนอยู่บนใบหน้านั้นคือขี้ไคล สังเกตร่างกายเพิ่มเติมก็พบอีกว่าทุกส่วนล้วนมีขี้ไคลเกาะ
เขายกมือเกาหัวแกรกๆ รู้สึกคันเหมือนมีอะไรเดินไต่ไปมาอยู่บนศีรษะ อนากานไม่ได้รู้สึกไปเอง เพราะหลังจากเขาเกาหัวอย่างหนัก ตัวการของเรื่องก็เผยตัวออกมา ‘เหา’ คนเพิ่งเคยได้เห็นเหาตัวเป็นๆ ครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาดูโลกยี่สิบห้าปีตะลึงงัน
เจ้าของร่างเดิมในวัยสิบเก้าปีได้มอบประสบการณ์คนเป็นเหาให้อนากานสัมผัส
เขาถอนหายใจให้กับความอัตคัดของตัวเองจนหมดปอด แล้วถึงไปหยิบกรรไกรหักๆ บิ่นๆ ที่หาได้จากกองข้าวของที่สุมกันไร้ระเบียบ อนากานในร่างเดิมตัดผมทุกอาทิตย์เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของตัวเอง เขาอาจจะทำได้ไม่ดีเหมือนช่างตัดผม แต่ก็พอถูไถไปได้
จัดการกับผมเผ้าที่พันกันเหนียวด้วยสบู่ก้อนที่วางอยู่ในถาดพลาสติก อันที่จริงเขาอยากเอาผงซักฟอกมาสระผม แต่คิดแล้วว่าอย่าทำอย่างนั้นดีกว่า เกิดแพ้ขึ้นมาคงยุ่งยากไม่น้อย สระผมด้วยเศษสบู่เหลือที่กองรวมกันเรียบร้อย ก็ใช้กรรไกรตัดสั้น เสร็จจากงานบนหัวแล้ว หยิบผ้ามาชุบน้ำ ขัดขี้ไคลออกจากตัว
หลังจากขัดสีฉวีวรรณจนสะอาดสะอ้าน เด็กอัญชันคนนี้ก็ดูดีอยู่ไม่น้อย หากเขาได้อยู่ในบ้านที่อบอุ่น ได้รับการศึกษาที่ดี มีผู้ใหญ่คอยให้คำปรึกษา ชีวิตเขาคงจะดีกว่าที่เป็นตอนนี้แน่
เสร็จจากจัดการตัวเอง ก็ออกมาจัดการกับกองผ้าอ้อมใช้แล้วของลูก แม้ว่าจะไม่เคยซักผ้ามาก่อน แต่ด้วยสถานการณ์บีบคั้นก็ทำให้สามารถเรียนรู้การซักผ้าเองได้
อนากานใช้น้ำร้อนซักผ้าลูก เขาไม่กล้าแตะต้องผงซักฟอก เพราะรู้อยู่แล้วว่าผิวเด็กบอบบาง ในเมื่อไม่มีน้ำยาซักผ้าก็ใช้น้ำร้อนซักแทนไปก่อนแก้ขัด
แต่พอลุกขึ้นเก้าอี้เตี้ย จังหวะนั้นเขาถึงได้รู้ซึ้งถึงความเป็นคุณแม่โอเมก้า รู้สึกหน่วงมดลูกจนต้องเอามือประคองไว้ที่หน้าท้อง ร่างนี้เพิ่งคลอดลูกมาได้สองเดือนยังไม่แข็งแรงมากนัก
ฉุกใจได้อีกว่านอกเสียจากการเป็นแม่ของเด็กหมูตุ๋นแล้ว เขาต้องจัดการกับตัวเองที่เป็นโอเมก้าด้วย เขาไม่รู้ว่าตัวเองมีรอบฮีทตอนไหน เจ้าของร่างเดิมไม่ได้จดวันเป็นฮีทเอาไว้ อนากานต้องจับสังเกตเอง
เขาไม่มีรอยพันธะ เท่ากับว่าเขาไม่มีเจ้าของ อยากรู้เหลือเกินว่าเด็กอัญชันคนนี้ไปพลาดท้องกับใครมา ไม่ใช่ว่าจะไปเรียกร้องให้อัลฟ่าเห็นแก่ตัวมารับผิดชอบ เขารู้เพื่อที่จะได้ระวังตัวเอาไว้ หลีกเลี่ยงไม่พบเจอหน้ากันอีก
“ซักผ้าเหรออัญ” เสียงดังมาจากหน้าบ้านทำให้ชำเลืองสายตาออกไปมอง ผู้หญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับยายของหมูตุ๋นยืนอยู่หน้าบ้าน
“จ้ะ” อนากานตะโกนตอบ อีกฝ่ายพอเห็นว่าเขาพูดคุยด้วยก็เดินเข้ามาหาด้านใน
“แม่ไปเก็บของขายเหรอ”
“ใช่จ้ะ แม่ออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว” อนากานตอบขณะที่กำลังบิดผ้าอ้อมลูกอยู่ในมือ
“น้าฝากบอกแม่ด้วยนะ ค่าของที่เซ็นไว้รีบเอามาจ่ายด้วย น้าจะเอาเงินไปต่อทุนซื้อของ” ได้ยินแล้วยืนไว้อาลัยให้ความยากไร้ของตัวเอง
“กี่บาทเหรอจ๊ะ”
“พันนึง แม่เอ็งติดน้ามาสองอาทิตย์แล้ว”
“แม่กลับมา อัญจะบอกให้นะ”
“ขอบใจ” อนากานพรูลมหายใจออกจากปอด เงินหนึ่งพันบาทที่มารดาไปเซ็นของกินมา ด้วยสถานการณ์ ไม่มีทางหาใช้คืนเจ้าของร้านขายของชำได้ในตอนนี้แน่
อนากานซักผ้าเสร็จ ก็จัดแจงเก็บกวาดบ้านให้สะอาดเท่าที่สามารถทำได้ พอหันมองเปลที่ลูกชายนอนอยู่ เด็กน้อยก็มองเขากลับด้วยแววตาไร้เดียงสา
“อยากช่วยแม่ทำงานบ้านเหรอลูก”
“อือ…อา” เด็กน้อยออกเสียงฟังไม่รู้เรื่อง ขณะพยายามพูดคุยด้วย น้ำลายก็ไหลย้อยออกมาจากมุมปาก
อนากานหยิบผ้าอ้อมมาซับน้ำลายลูก แล้วอุ้มเจ้าตัวน้อยขึ้นมาคุยเล่นในอ้อมแขน
“รีบโตนะเจ้าเด็ก จะได้ช่วยกันทำมาหากิน” มีมากคนย่อมหารายได้มากกว่าคนเดียว พรุ่งนี้เขาตั้งใจว่าจะออกไปเก็บขยะขายช่วยแม่ สองแรงย่อมดีกว่าแรงเดียว
เสียงกุกกักตรงประตูหน้าบ้านทำให้อนากานอุ้มลูกออกมาสำรวจดู ผู้หญิงแต่งตัวโทรมๆ เดินหอบขยะพะรุงพะรังเข้ามาในบ้าน พอเห็นอนากาน เธอก็ยิ้มให้ เป็นรอยยิ้มที่ดูอิดโรยไม่น้อย
“แม่เจอขวดนมด้วยลูก หมูตุ๋นจะมีขวดนมใช้แล้ว” จะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก มันจุกอยู่ในอก
ยายของเด็กไปตรากตรำเก็บขวดนมใช้แล้วจากกองขยะมาให้หลานใช้ ก่อนจะยกให้อนากาน เธอเอามือปัดฝุ่นให้ดูสะอาดขึ้น
“ของเก่าของคนอื่น แต่มันยังดูใหม่อยู่เลย” สภาพของขวดนมดูใหม่กว่าที่คิด มันอยู่ในบรรจุภัณฑ์ที่ฉีกขาดเพียงเท่านั้น
อนากานรับขวดนมมาตรวจสภาพ ดูไม่ขี้เหร่เท่าไหร่นัก แต่ต่อให้มีขวดนม ก็ไม่มีนมผงชงให้ลูกกินอยู่ดี
“นี่อัญ แม่เก็บนี้มาด้วย อัญดูให้แม่หน่อยว่ามันกินได้ไหม” ยื่นกล่องมาให้อนากานสำรวจดู มันเป็นกล่องสบู่ที่ทำออกมาเหมือนขนม ไม่ใช่ขนมที่ไว้สำหรับกิน
“มันกินไม่ได้” เขาตอบ
“หมดอายุแล้วเหรอลูก”
“มันเป็นสบู่ นี่เขาก็เขียนอยู่หน้ากล่องว่าเป็นสบู่” อนากานชี้นิ้วไปตรงตัวอักษรที่เขียนคำว่าสบู่ และก็ได้ค้นพบความจริงเกี่ยวกับแม่เจ้าของร่างเดิมว่าท่านอ่านหนังสือไม่ออก
ผู้หญิงอายุสี่สิบปีที่อนากานรู้จักคือคนที่ทำงานเก่งกาจและยังสาวสะพรั่ง แตกต่างจากคนตรงหน้าราวกับฟ้าและหุบเหว แต่พอลองตรองดูสภาพความเป็นอยู่ของเธอก็พอจะทราบได้ว่าเหตุใดถึงอ่านหนังสือไม่ออก
“มีสบู่ก็ดีแล้วจะได้เอาไว้อาบน้ำ” อนากานพูด “แม่ไปอาบน้ำเถอะ ฉันจะกวาดบ้านต่อให้เสร็จ” หลังพูดจบก็อุ้มหมูตุ๋นไปนอนในเปลเพื่อที่จะทำความสะอาดให้เรียบร้อย
แม่เจ้าของร่างเดิม อายุสี่สิบปี เป็นคนความรู้น้อย อ่านเขียนหนังสือไม่ออก ซึ่งก็ไม่แปลกใจทำไมท่านถึงทำอาชีพเก็บขยะขายประทังชีวิตไปวันๆ มิหนำซ้ำยังทำอะไรเชื่องช้าดูขัดหูขัดตา แต่ท่านก็ไม่ได้ทอดทิ้งลูกกับหลานให้อดตาย ท่านเอาเงินที่หาได้จากการขายขยะซื้อแกงถุงกลับมาบ้านสองถุง
อนากานมองดูยายของหลานจุดเตาไฟด้วยฟืนเพื่อหุงข้าวด้วยหม้ออะลูมิเนียมก้นดำที่คะเนว่าน่าจะใช้งานมาอย่างโชกโชน
หุงข้าวเช็ดน้ำ พอมีน้ำข้าวเหลือ พักให้เย็น ก็นำไปใส่ในขวดนมให้หลานดูด เด็กน้อยหมูตุ๋นดูแปลกใหม่กับขวดนมไม่ยอมดูดคราแรก แต่พอคะยั้นคะยอหนักเข้าก็ยอมเอาเข้าปากดูด
“แม่เอาน้ำข้าวที่เหลือใส่หม้อนี้ไว้นะลูก หมูตุ๋นจะได้กินสลับกับนมของอัญ” พูดเสร็จก็ตักข้าวมาให้ แกะแกงถุงที่มีสารพัดผักอยู่ในนั้นยกให้อนากาน
“แกงนี้จะช่วยเพิ่มน้ำนม อัญกินเยอะๆ นะลูก” อนากานน้ำตาร่วงลงมาอาบแก้ม ตื้นตันในอกจนเก็บกลั้นไม่อยู่ เขาไม่เคยมีใครห่วงหาขนาดนี้มาก่อน ชีวิตเดิมของเขากินอิ่มนอนหลับก็จริงอยู่ แต่ไม่ได้ใส่ใจความรู้สึกกันถึงขนาดนี้
“ขายขยะได้เงินเยอะไหม”
“วันนี้ได้ร้อยเดียวเองลูก ซื้อกับข้าวก็หมดแล้ว” อนากานมองแกงของตัวเองที่มีกุ้งตัวโต แล้วมองแกงในถ้วยที่อีกคนกำลังตักกินมีแต่ถั่วงอกและเต้าหู้ราคาถูก ในอกรู้สึกอัดอั้น แม้ว่าลำบากยากแค้นแค่ไหน คนเป็นแม่ก็ยังอยากให้ลูกกินอยู่สุขสบาย
“พรุ่งนี้ฉันไปเก็บขยะด้วยได้ไหม”
“แล้วใครจะดูหมูตุ๋น” นั่นน่ะสิ เด็กน้อยอายุแค่สองเดือนให้ออกไปตากแดดตากลมตอนนี้คงไม่ไหว หากฝากคนอื่นเลี้ยงก็ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ซึ่งเขาไม่มีเงินสักบาท พอคิดคำนวณแล้วก็หมดหวังที่จะออกไปช่วยเก็บขยะขาย
“อัญอยู่บ้านเลี้ยงหมูตุ๋นนี่ล่ะ แม่ไปเก็บคนเดียวได้” อนากานยอมรับสภาพตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้ไปมากกว่านี้ เพราะเขามีลูกชายต้องรับผิดชอบดูแล
>>>> จุกอยู่ในอกค่ะ ชีวิตรันทดแท้
3 >เงินหนึ่งพันบาทมีค่าขนาดนี้เลย
อนากานหัดก่อไฟ หุงข้าวเช็ดน้ำเองได้แล้ว ลูกชายมีน้ำข้าวกินสลับกับน้ำนมของเขา หนึ่งวันของชีวิตแม่เลี้ยงเดี่ยวหมดไปกับการป้อนนมลูก ซักผ้าลูก เขาเป็นทั้งคุณแม่มือใหม่และเป็นทั้งโอเมก้ามือใหม่ด้วยเช่นกัน
“หมูตุ๋น รีบโตไวๆ นะ แม่จะได้พาออกไปข้างนอก ไปช่วยคุณยายทำมาหากิน” สะกิดแก้มย้วยของลูกชาย
หมูตุ๋นน้อยร้องอ้อแอ้ ประหนึ่งว่าตัวเองกำลังพูดคุยด้วย
“หนูก็อยากออกไปเที่ยวข้างนอกเหรอลูก”
“อือ” เด็กน้อยครางรับ ไม่เป็นภาษา
อนากานวางมือลงบนอกของเด็กทารกแล้วลูบเบาๆ
“คุยเก่ง คุยไม่พักเลย” แหย่เจ้าเด็กช่างจ้อ
“ที่พูดมานี่ไม่รู้เรื่องสักคำ” เด็กน้อยหัวเราะเสียงดัง ตื่นเต้น สนุกสนานที่พูดคุยด้วยแล้วแม่โต้ตอบกลับมา
“กินนมเพิ่งอิ่มเลยคึกสินะ” จ้อไม่หยุดจนน้ำลายยืดลงมาเปื้อนคาง อนากานใช้ผ้าอ้อมซับน้ำลายลูก
“คุณยายไปหาเงินมาเลี้ยงเราสองคน ถ้าหนูโตเร็วๆ แม่ก็จะไปช่วยคุณยายหาเงินด้วย หนูก็ด้วยนะต้องช่วยเราหาเงินเข้าใจไหม” เด็กน้อยทำหน้าเออออราวกับว่าเข้าใจประโยคที่แม่สื่อสาร
“คุยยาวเลย โอ้โหเกิดมาสองเดือนนี่มีเรื่องให้คุยเยอะแยะเลยนะเจ้าเด็ก” แซวเจ้าหนูที่ยังไม่รู้ความ นอนยิ้มอวดเหงือกให้คนเป็นแม่เอ็นดู
“พลิกคว่ำให้ได้ก่อนเลยเราอะ” เล่นกับลูกพอหอมปากหอมคอก็กล่อมลูกนอน
หลังจากลูกหลับแล้ว อนากานออกไปแยกขยะที่แม่เก็บมาเตรียมนำไปขาย มีพวกโลหะ ขวดน้ำ ลังกระดาษ และพลาสติก แยกใส่ถุงให้ง่ายต่อการเอาไปขายร้านรีไซเคิลที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล
อนากานหยิบขวดน้ำอัดลมที่เป็นพลาสติกสีต่างๆ แยกเก็บไว้ ตั้งใจว่าจะนำไปประดิษฐ์โมบายให้ลูกชายนอนมอง เสริมสร้างการเรียนรู้
แม้ว่าจะนึกสงสารตัวเองแค่ไหนก็ข่มใจ เพราะคนที่น่าสงสารกว่าเขาคือเด็กไร้เดียงสาที่เกิดในกองขยะ ชีวิตเปื้อนดิน สังคมแวดล้อมรอบข้างก็ใช่ว่าจะดีเด่อะไร สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าหากจมปลักอยู่ตรงนี้ ชีวิตคงอยู่ไปวันๆ อย่างอัตคัดขัดสน หาเงินกินมื้อต่อมื้อมองไม่เห็นอนาคตข้างหน้า
ขณะที่กำลังแยกขยะอยู่ ผู้หญิงคนเดิมที่ขายของชำเปิดประตูหน้าบ้านเข้ามาทำปึงปังเสียงดัง หน้าตาแลดูหงุดหงิดฉุนเฉียว
“น้าบอกให้แม่เอาตังค์ไปจ่ายคืนน้า ทำไมแม่ยังไม่เอาเงินไปให้น้าอีก” อนากานพูดไม่ออก เงินหนึ่งพันบาทสำหรับเขาคือเศษเงิน แต่พอมาอยู่ในร่างนี้ที่ข้าวสารกรอกหม้อแทบไม่พอยาไส้ ทำให้เห็นค่าของเงินเพียงหนึ่งพันบาท
“เดี๋ยวฉันบอกให้แม่เอาเงินไปจ่ายนะ”
“น้าจะรอแม่เอ็งอยู่นี่แหละ” เธอว่าเสร็จก็ปักหลักยืนรอ ไม่นานแม่ก็กลับเข้ามาในบ้านพร้อมถุงใส่ขวดน้ำที่เก็บได้จากกองขยะ
“นี่พี่ ค่าของที่พี่ติดฉันไว้จะเอายังไง ฉันเองก็ต้องเอาเงินไปต่อทุนเหมือนกันนะ”
“รอก่อนได้ไหม ฉันยังหาเงินไม่ได้เลย”
“เห็นเก็บของขายทุกวัน พี่จะไม่มีเงินได้ยังไง” อนากานมองภาพตรงหน้า แล้วจุกแน่นในอก หลั่งน้ำตาอยู่ข้างในใจ เพราะจะร้องก็ร้องไม่ออก เวทนาชีวิตมืดมนของครอบครัว
คนไม่มีก็คือไม่มีจริงๆ ไม่ได้โกหกด้วยซ้ำ
เขาไม่เคยคิดว่าเงินหนึ่งพันบาทจะหายากเย็นได้เท่านี้เลย
“ฉันว่าพี่มีแต่พี่ไม่ให้มากกว่า” คนมาทวงหนี้ล้วงค้นกระเป๋ากางเกงของแม่ เจอเงินร้อยบาทในนั้นก็คว้าเอาไป แม่เอื้อมมือไปยื้อเงินคืนแต่ก็คว้าลมกลับมา
“นี่ไง”
“เงินนี้ฉันจะเอาไว้ซื้อกับข้าวให้ลูกกิน อัญมันต้องให้นมหลาน ต้องกินเยอะๆ ฉันจะหาเงินใช้หนี้ให้ แต่ขอเงินนี้เอาไว้ซื้อกับข้าวก่อนเถอะนะ” อนากานได้ยินกลั้นไม่ไหว น้ำตาร่วงเผาะอาบแก้ม ผู้หญิงคนนี้ห่วงเขา แม้ว่าตัวเองจะท้องหิวก็ยังอยากให้ลูกและหลานได้กินอิ่มสบาย
“ฉันไม่รู้แหละ พี่ลำบาก คนอื่นเขาก็ลำบากเหมือนกัน หนี้เหลืออีกเก้าร้อยนะ หาเอามาคืนฉันด้วย” เธอได้เงินแล้วก็เดินสะบัดก้นออกไปจากบ้าน
อนากานยืนน้ำตาคลอหน่วย พูดไม่ออก เกินกว่าสงสาร โจทย์ชีวิตที่เขาเผชิญอยู่นี้หนักหนาสาหัส อนากานยกมือปาดน้ำตาตัวเอง เขารู้สึกแย่ที่ไม่สามารถช่วยอะไรผู้เป็นแม่ได้เลย
“เดี๋ยวแม่จะออกไปยืมเงินมาซื้อกับข้าวนะ” อนากานรีบเบรกทันที ให้ดาหน้าออกไปหยิบยืม เกรงว่าจะถูกไล่ตะเพิด เพราะคนที่ไปยืมก็อยู่ในกองขยะ คงเดือดร้อนเหมือนๆ กัน
“กับข้าวเมื่อเช้ายังเหลืออยู่เยอะ แบ่งกินด้วยกันกับฉันก็ได้ แม่ไปยืมเขา เขาก็ไม่มีให้เราหรอก” อนากานสูดลมหายใจเข้าปอด
ความจนที่น่าสังเวชนี่ เขาจะมัวแต่คร่ำครวญถึงมันไม่ได้ ลูกยังต้องการเขา ผู้หญิงตรงหน้าที่ไม่รู้หนังสือคนนี้ด้วยเช่นกัน
แกงถุงเมื่อเช้ายังเหลือเยอะ อุ่นกินอีกรอบกับแม่สองคนพอประทังชีวิตให้ผ่านวันนี้ไปอีกวัน
“แม่ทำงานมาเหนื่อย กินเยอะๆ เถอะ” อนากานตักเนื้อหมูใส่จานแม่ แต่แม่ตักคืนมาใส่จานของเขา
“ลูกกินเถอะ แม่ไม่ชอบกินหมู” มองดูคนเป็นแม่ที่ตักแต่น้ำแกงคลุกข้าวกินแล้วสงสารจับใจ
“พรุ่งนี้ฉันจะไปช่วยแม่เก็บขยะ เอาหมูตุ๋นไปด้วยกันนี่ล่ะ”
“ไม่ต้องหรอกลูก”
“ให้ฉันไปเถอะ เผื่อว่าฉันจะช่วยอะไรได้บ้าง” เขายื่นคำขาดว่าจะไป สุดท้ายอีกฝ่ายก็ยินยอมให้เขาไปด้วย
อนากานติดแหง็กอยู่กับบ้านต่อไปไม่ไหวแล้ว ลูกยังเล็กอยู่ก็จริง แต่ถ้าไม่ขยับตัวทำอะไรเลย ครอบครัวคงไม่มีทางรอด
อนากานพูดคุยกับลูกชายวัยสองเดือนว่าพรุ่งนี้เขาต้องออกไปข้างนอกแล้ว
“หมูตุ๋น เราต้องพลิกชีวิตนะลูก” เด็กน้อยไม่งอแงมองใบหน้าเขา จ้องริมฝีปากที่ขยับพูดตาไม่กะพริบราวกับรู้ความ
“เราต้องสู้นะลูก ถ้าเราไม่สู้อาจจะเน่าตายที่นี่ก็ได้”
อนากานถามย้ำ “หนูจะไปกับแม่ใช่ไหม” เด็กน้อยดีดเท้า ขยำมืออย่างกระตือรือร้น อาการดีใจของลูก อนากานทึกทักว่าตกลง
ขวดน้ำที่อนากานตั้งใจว่าจะเก็บไว้ทำโมบาย กำลังถูกตัดออกเป็นชิ้นๆ สีแดง เขียว เหลือง สลับกันแล้วซ้อนให้ดูวิบวับ ร้อยด้วยเชือกฟางตามมีตามเกิด ไม่ได้หรูหรางดงาม มันก็แค่โมบายประกอบจากเศษขยะ
ใช้เวลาไม่นานโมบายจากขวดพลาสติกก็สำเร็จพร้อมอวดโฉม เป็นของเล่นชิ้นแรกของหมูตุ๋น
อนากานแขวนมันไว้เหนือเปลผ้าขาวม้าของลูกชาย พอเด็กน้อยที่เห็นโมบายห้อยอยู่ตรงหน้าก็สนใจมอง
อนากานสังเกตพฤติกรรมลูกชายเพื่อประเมินถึงพัฒนาการ ที่ต้องทำแบบนี้ก็เพราะกังวลว่าลูกจะสมองช้า
ความกังวลของเขาคลี่คลายลงเมื่อเห็นว่าลูกมีปฏิกิริยากับของเล่นที่แม่ประดิษฐ์ให้
“ชอบใช่ไหมล่ะหมูตุ๋น”
เด็กน้อยส่งเสียงอ้อแอ้อารมณ์ดี เพียงแค่เศษขยะก็ทำให้หมูตุ๋นมีความสุขได้แล้ว
ความลำบากยากจนทำให้ต้องดิ้นรน เด็กสองเดือนจะนอนสบายอยู่ในเปลยังทำไม่ได้ อนากานใช้ผ้าข้าวม้าพาดกลางลำตัว เพื่อทำเป็นเป้อุ้มเด็กชั่วคราว จับลูกชายวางลงไปในผ้าขาวม้าแล้วรัดแน่นก็ได้เป้อุ้มเด็ก
“ขอโทษนะหมูตุ๋น แม่รอให้หนูโตกว่านี้ไม่ได้ หนูต้องอดทนหน่อยนะ ไปช่วยคุณยายเก็บขยะกัน”
หลังจากเตรียมพร้อมจะออกไปกองขยะกับแม่เสร็จเรียบร้อย ท่านหยิบหมวกมาสวมให้อนากานกันแดดร้อน อนากานเลือกสวมรองเท้าหูคีบเพราะทั้งบ้านมีแค่รองเท้าคู่นี้คู่เดียวที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ครบคู่ แม้ว่าจะมีรอยขาดไปบ้าง แต่ก็ยังพอทำเนาใส่เดินเหินได้อยู่
“อัญไม่ต้องช่วยแม่เก็บหรอก หนูแค่ยืนรออยู่ข้างนอกก็พอนะลูก ข้างในมันเหม็นมาก”
อนากานไม่เคยไปบ่อขยะมาก่อน พอมาครั้งแรกถึงได้ตะลึงกับภาพตรงหน้า ขยะกองสูงเท่ากับตึกสี่ชั้น มีคนยืนอยู่บนกองขยะในมือถือถุง และไม้หนึ่งอันคุ้ยเขี่ยขยะเก็บใส่ถุง ขยะมหาศาลขนาดนี้ กลิ่นของมันไม่ต้องพูดถึง เหม็นจนเวียนหัว แต่เหมือนว่าคนที่มาเก็บขยะจะชินชากับกลิ่นของมันแล้วจึงไม่ได้ใช้ผ้าปิดจมูกเหมือนอนากาน
“ต่อให้เก็บขยะไปอีกสิบปีก็ไม่มีทางรวยแน่ มีแต่จะเสียสุขภาพ” อนากานตระกองลูกแนบอก หลุบสายตามองเจ้าตัวน้อยที่นอนเกาะอกเขาอยู่แล้วถอนหายใจ
“แม่พาหนูเข้าไปในนั้นไม่ได้ มันไม่ถูกสุขอนามัย หนูจะป่วย” อนากานจะไม่พาลูกเล็กเข้าไปในกองขยะ เขายืนรอแม่เก็บของอยู่บริเวณด้านนอกบ่อขยะ
“หมูตุ๋น เราให้ยายทำงานอยู่ในนั้นตลอดไปไม่ดีแน่ แม่จะหาหนทางให้เร็วที่สุด รีบพาหนูกับยายไปอยู่ในที่ที่ดีกว่านี้” สภาพแวดล้อมนี้ไม่เหมาะสมกับการอยู่อาศัยหรือทำงาน อนากานต้องการจะดิ้นรนพาพวกเขาออกไปสู่ชีวิตใหม่ ไม่ต้องดีมากมาย แต่ให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็พอ
“อัญ แม่เจออันนี้ด้วยลูก” ยายของหมูตุ๋นรีบเดินลงมาจากกองขยะ เอาของที่เจอมาอวดอนากาน เธอดูภูมิใจมากที่เจอมัน อนากานเห็นสิ่งของตรงหน้าก็หน่วงในอก
“มันขาดไปหน่อย เดี๋ยวกลับบ้านแม่จะเย็บให้นะ” มองเป้อุ้มเด็กที่มีสภาพชำรุดแล้วถอนหายใจ
“จ้ะแม่ ขอบคุณแม่มากนะ”
ชีวิตเขาและลูกในตอนนี้ เป้อุ้มเด็กเก่าๆ ใบนี้ก็นับว่ามากแล้ว เย็บปะรอยขาด ซักสะอาดตากแดดหอมๆ หน่อยคงนำกลับมาใช้ได้
อนากานไม่สามารถแบกลูกไว้ในผ้าขาวม้า มันไม่ปลอดภัย เขากลัวว่าจะพลาดทำลูกตกลงไปด้านล่าง
“มีเป้อุ้มเด็ก หนูจะได้ไม่ต้องเกาะอกแม่ หนูจะได้นั่งสบายๆ นะลูก”
หลังจากทำงานมาครึ่งวันก็ได้ขยะเกือบเต็มถุง
อนากานไม่ให้แม่ซื้อกับข้าวถุงมากินแล้ว เพราะว่ามันมีราคาสูง เขาเลือกที่จะทำอาหารเอง ไม่มีเนื้อหมู เนื้อไก่ ให้กินก็ไม่เป็นไร ขอแค่มีโปรตีนจากไข่ก็เพียงพอยังชีพ
>อธิบายเพิ่มเติม
>ถามว่าทำไมอนากานที่รู้ว่ามีรัฐสวัสดิการ แล้วถึงไม่ไปพึ่งพา เดี๋ยวไรท์จะทยอยเขียนอธิบายในเนื้อเรื่องนะคะ มีรัฐสวัสดิการค่ะ แต่คนนั่งกระทรวงเป็นคนของสภาสูงและเป็นอัลฟ่า
>ประเทศนี้ปกครองด้วยสภาสูง ซึ่งไม่ได้ถูกเลือกมาด้วยประชาชน และพวกเขาเป็นอัลฟ่า เขียนข้อกฎหมายเอง มีอำนาจบนตาชั่งที่ไม่เถรตรง เอียงอย่างเห็นได้ชัด อยู่ในวงจรทุนนิยม เพราะอนากานรู้อย่างถ่องแท้ถึงระบบที่เอาเปรียบคนในชนชั้นโอเมก้า จึงไม่คิดจะพึ่งพารัฐสวัสดิการ
>เวิร์สนี้เป็นเวิร์สเดียวกับหลายเรื่องแนวโอเมก้าที่ไรท์เขียนเลยค่ะ มีฉากบรรยายสภาสูงไว้ในเรื่องเจ้าไจ๋ตอนที่โดนจับไปน่าจะพอคุ้นๆ กันว่าสภาสูงเห็นแก่ตัวแค่ไหน
>บ้านเจตน์ต่อสู้เรื่องชนชั้นมาตลอด แก้ข้อกฎหมายเพื่อโอเมก้าได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ข้อกฎหมายที่เจตน์แก้ต้องรวบรวมคนในชนชั้นสูงให้ช่วยโหวต มันจึงละเอียดอ่อนทางการเมืองมาก ข้อกฎหมายที่เจตน์แก้แล้วมีประโยชน์คือข้อกฎหมายให้เบต้าและโอเมก้าทำงานในระดับสูงได้ คือในระดับเดียวกันกับอัลฟ่า แต่แก้ข้อกฎหมายได้แล้วก็ยังยากอยู่ดี โอเมก้าต้องใช้เวลาในการหลุดพ้นจากการถูกกดทับจากสังคมอัลฟ่าเป็นใหญ่
>แม่จุลสนับสนุนบ้านพักพิงคุณแม่โอเมก้า ทำไมอนากานถึงไม่ไปที่นั่น บ้านพักพิงคุณแม่โอเมก้าเป็นเจตจำนงที่แม่จุลสร้าง ไม่ขึ้นตรงกับสภาสูง ไม่อยู่ในรัฐสวัสดิการ อนากานไม่รู้ว่ามีบ้านพักพิงคุณแม่โอเมก้าเพราะตอนอยู่ในร่างเดิมเขาเอาแต่ทำงาน ส่วนในร่างใหม่ก็ยังไม่คุ้นเคยดีนัก คิดว่าในอนาคตอาจจะมีโอกาสได้ไปขอรับความช่วยเหลือ ตอนนี้ก็ต้องช่วยเหลือตัวเองไปก่อน
ความเห็น 0