ข้อมูลเบื้องต้น
แพทย์สาวชาวไร่
农园医锦
ผู้เขียน กุ่ยฮว่าฉิงอวี่ 姽婳晴雨 (Gui Hua Qing Yu)
ผู้แปล เมฆขาวหวานเย็น ,
ลิขสิทธิ์ฉบับภาษาไทย โดย Camellia Novel
*ลงรายตอนจนจบที่ MaReads.com
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ในยุคปัจจุบัน นางเป็นแพทย์สาวผู้เป็นเลิศด้านการปรุงยา แต่กลับต้องทะลุมิติไปเกิดใหม่เป็นสาวชาวไร่ผู้ยากจน อาภัพอับโชค บิดาไม่เหลียวแล มารดาเลี้ยงคอยกลั่นแกล้งทรมาน พี่ชายน้องชายต่างมารดาล้วนจ้องคอยรังแก มีเพียงพี่ชายฝาแฝดที่รักและทะนุถนอมนาง หากเขาก็ถูกยกให้ไปอยู่บ้านท่านปู่ที่แสนห่างไกล
แต่ในเมื่อนางมีวิชาปรุงยาเลิศล้ำ มีห้วงมิติวิเศษไว้เก็บรวบรวมสมุนไพรมีค่าหายาก นางจะใช้สิ่งเหล่านี้พลิกชะตา ฝ่าฟันจนฐานะตัวตนที่ลึกลับได้เปิดเผยอย่างยิ่งใหญ่
ครั้งหนึ่งนางบังเอิญถูกบุรุษรูปงามช่วยชีวิตไว้โดยบังเอิญ หลังจากนั้น ‘เจ้าสุนัขป่า’ ผู้แสนเย็นชาน่าครั่นคร้ามตัวนี้ก็เอาแต่ห่มหนังลูกสุนัขตัวน้อยน่ารักเวลาอยู่กับนาง คอยเคล้าเคลียทำตัวออดอ้อนอย่างสุดกำลัง ในเมื่อบุญคุณที่ช่วยชีวิตช่างแสนยิ่งใหญ่ ไร้สิ่งคู่ควรทดแทน เช่นนั้นใช้กายใจนี้ตอบแทนดีหรือไม่
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
นิยายเรื่องนี้เป็นลิขสิทธิ์ของ Camellia Novel
ในการเผยแพร่และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
《农园医锦》
Author: 姽婳晴雨 Gui Hua Qing Yu
Copyright ⓒ 2021 by COL Digital Publishing Group Co., Ltd.
Thai (language) Translation Copyright ⓒ 2022 by Amarin Corporations Public Company Limited, Ltd.
This Thai edition is published by arrangement with COL Digital Publishing Group Co., Ltd.
Arranged through Manzhouli Zhalainuoer Wenxin Counseling Studio (满洲里市扎赉诺尔区文心信息咨询工作室) & Pelican Media Agency Ltd., Taiwan
All rights reserved
Ebook จะทยอยออกหลังจากลงรายตอนค่ะ
ติดตามความคืบหน้าได้ที่ เพจ @Camellia Novel
ทางสำนักพิมพ์ขอขอบคุณทุกๆ การสนับสนุนของนักอ่านทุกท่านค่ะ
บทที่ 1 ซากกลางป่า
ภายในท้องของนางราวกับมีไฟกองหนึ่งลุกไหม้แผดเผา ในกระเพาะอาหารก็คล้ายกับมีคนเอามีดมาจ้วงแทงแรงๆ ความตายไม่ได้นำไปสู่ความหลุดพ้นเลย แต่กลับพามาพบความเจ็บปวดที่ทุกข์ทรมานยิ่งกว่าเดิม
กู้เยี่ยอดทนต่อความหิวโหยที่ทรมานท้องไส้ของนางอยู่ ลืมตาขึ้นช้าๆ สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาคือภาพต้นไม้ใหญ่หลายต้นกลุ้มรุมอยู่ในเงาราตรีมืดดำ ดูประหนึ่งสัตว์ประหลาดกำลังแยกเขี้ยวกางกรงเล็บ ขณะที่ระหว่างช่องว่างของกิ่งก้านเหล่านั้น เหนือขึ้นไปก็คือดวงดาวระยิบระยับเกลื่อนฟ้า
นางไม่ทันได้คิดทบทวนว่าตนเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เสียงคำรามของสุนัขป่าก็ดังขึ้นที่ข้างหู เมื่อหันหน้าไปมองดู ก็เห็นดวงตาสีฟ้าแต่ละคู่วาวประกายดุร้ายอยู่ท่ามกลางม่านราตรี
ยาผงไล่สัตว์! ทันทีที่คำนี้ผุดขึ้นมาในสมองของกู้เยี่ย ในมือของนางก็ปรากฏขวดใสใบหนึ่ง นางรีบโรยผงยาลงบนตัว ทำให้ฝูงสัตว์ที่รุกคืบเข้ามาพากันชะงักเท้า ครั้นแล้วตัวจ่าฝูงก็นำพรรคพวกของมันหันหัวกลับหายเข้าไปในป่าลึก
“น้อง… น้องพี่…” เสียงอันคุ้นเคยพาให้ร่างกายนี้ขยับไหวเองตามสัญชาตญาณ
พี่ชาย! เขาคือพี่ชายของร่างนี้ ชั่วเวลาเพียงพริบตาเดียว นางก็แยกแยะฐานะของผู้มาได้
‘โฮ่ง… โฮ่งๆๆ’ สุนัขพื้นเมืองขนเหลืองตัวหนึ่ง หยุดอยู่ตรงหน้านางห่างไปไม่ไกล มันเห่าเรียกจากตรงนั้น ไม่กล้าเข้ามาใกล้
“เจอแล้ว! เจอตัวแล้ว! กู้หมิง น้องสาวเจ้าอยู่ทางนี้!” เด็กหนุ่มถือคบไฟคนหนึ่งปรากฏขึ้นในระยะสายตาของกู้เยี่ย เขาคือหลี่เฮ่า หลานชายคนโตของผู้ใหญ่บ้าน ปกติแล้วคบหาเป็นมิตรกับพี่ชายของร่างนี้เป็นอย่างดี
“น้อง…” เด็กชายเสื้อผ้าเก่าขาดคนหนึ่งวิ่งถลาเข้ามา ช้อนร่างผอมบางของนางขึ้นมากอด น้ำตาอุ่นๆ หยาดหนึ่งหยดลงข้างลำคอของกู้เยี่ย เด็กชายผู้ฝืนกลั้นทำตัวเข้มแข็งมาตลอดร้องไห้โฮราวกับเด็กน้อยผู้ไร้ทางสู้
กู้หมิงร้องไห้อยู่ครู่หนึ่งถึงได้มองสำรวจร่างกายของน้องสาวอย่างละเอียด พบว่านางปลอดภัยไร้ร่องรอยบาดเจ็บ จึงวางใจลงได้ “เป็นเพราะพี่เอง ไม่ควรทิ้งน้องให้ห่างกายเลย ใครจะคิดว่าหญิงสารพัดพิษผู้นั้นจะโหดเหี้ยมเช่นนี้ พาเจ้ามาทิ้งไว้กลางป่าทั้งที่เป็นๆ ซ้ำยังตลบตะแลงบอกว่าเจ้าสิ้นลมแล้วอีก”
“หมิงเอ๋อร์ พูดอะไรเช่นนั้น หญิงสารพัดพิษอะไร นางเป็นมารดาเจ้านะ! เจ้าฝ่าฝืนคุณธรรมจรรยาเช่นนี้ อยากถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ฟ้าผ่าตายรึ!” กู้เฉียวบิดาลำเอียงของพวกเขาทั้งสองขมวดคิ้วก่นด่า
“ในเมื่อนางกล้าทำ เหตุใดข้าจะไม่กล้าต่อว่านางเล่า นางไม่ใช่มารดาของพวกข้าเสียหน่อย! มีแม่ที่ไหนกันจะใจร้ายเอาลูกสาวมาทิ้งบนเขาให้หมาป่ากินเช่นนี้ หากสวรรค์ท่านจะฟาดสายฟ้าลงทัณฑ์ ก็ต้องฟาดใส่หญิงสารพัดพิษนั่นก่อน ไม่ใช่พวกเราหรอก” กู้หมิงหมดสิ้นความหวังในตัวบิดาอย่างแท้จริง
มารดาผู้นี้เป็นภรรยาใหม่ของบิดา ส่วนบิดานั้นเป็นผู้ให้กำเนิดโดยแท้ ทว่ายามที่หลิวซื่อ1ละเลยไม่เหลียวแลพวกเขาสองพี่น้อง บิดากลับทำเป็นหูหนวกเป็นใบ้ เวลานี้กู้หมิงเพียงแค่ด่าว่าหลิวซื่อเป็น ‘หญิงสารพัดพิษ’ เท่านั้น บิดากลับคิ้วกระตุกตาขวางตำหนิเขา บ้านนี้ยังมีที่ให้เขาและน้องสาวยืนอยู่อีกหรือ
‘เพียะ!’ เสียงฝ่ามือปะทะหน้าหนักๆ คราหนึ่ง กู้หมิงพลันรู้สึกถึงรสเค็มคาวซ่านอยู่ในโพรงปาก หูอื้อมึนชา ตาพร่าไปพักใหญ่ สุดท้ายก็ทรุดลงไปนั่งข้างกายน้องสาวฝาแฝด
“กู้เฉียว ลูกทำผิดก็ค่อยๆ อบรมสั่งสอนสิ ลงไม้ลงมือเช่นนี้ทำไมกัน อย่าทำให้เด็กต้องเจ็บช้ำเลย” ผู้ที่เอ่ยปากคือประมุขสกุลกู้อายุราวห้าสิบปี น้ำเสียงของเขาแฝงความไม่ยอมรับอยู่ในที
“ท่านประมุข เด็กที่ไหนเขาด่าว่าลบหลู่ผู้ใหญ่แบบนี้กัน เจ้าลูกคนนี้หากไม่ตีเสียบ้างก็คงไม่เป็นผู้เป็นคน ถ้าไม่สั่งสอน อีกหน่อยก็คงไม่เห็นคนเป็นพ่ออย่างข้าอยู่ในสายตาแล้ว” กู้เฉียวจ้องถมึงใส่บุตรชายด้วยความโกรธ ตั้งแต่ต้นมาจนถึงตอนนี้ เขาไม่ได้เหลือบแลดูกู้เยี่ยเลยแม้เพียงนิด
“ท่านพ่อ!” กู้หมิงลูบแก้มซ้ายที่บวมแดงขึ้นทันตา น้ำตาคลอเบ้า “ท่านก็ดีแต่ติเตียนพวกข้า ท่านไม่เห็นจริงๆ หรือว่านางทำกับข้าและน้องอย่างไรบ้าง”
กู้หมิงชี้ไปทางสตรีผู้หนึ่งซึ่งโหนกแก้มสูง ริมฝีปากบาง พลางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวว่า “เมื่อก่อนตอนท่านแม่ยังอยู่ เลี้ยงดูน้องให้กินอิ่มหนำ ผิวขาวผ่องมีน้ำมีนวล หน้าตาสดใสน่ารัก แล้วดูตอนนี้สิ เหตุใดน้องถึงกลายเป็นสภาพเช่นนี้ เพราะถูกปล่อยให้อดอยากหิวโหยอย่างไรเล่า”
ชาวบ้านและคนสกุลกู้ที่มาช่วยกันตามหาคนมองไปทางร่างซูบซีดผอมเกร็ง เหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกของหนูน้อยกู้เยี่ยเอ๋อร์ บางคนทนดูไม่ได้ต้องเบือนสายตาหนี
“หลิวซื่อไม่ยอมให้น้องร่วมโต๊ะกินข้าว ทั้งยังไม่เหลืออาหารให้น้องกินด้วย น้องหิวโหยจนหมดสิ้นหนทาง ต้องถอนผักหญ้าริมทางมากินประทังหิว แถมยังไม่กล้าเก็บผักหญ้าพวกนั้นกลับมาทำกินที่บ้าน ได้แต่กินทั้งดิบๆ เช่นนั้น น้องอายุน้อยแค่นี้ แรกๆ ยังแยกแยะพืชผักไม่เป็น เก็บพืชมีพิษมากินจนอาเจียนและถ่ายท้อง”
“ท่านดูเนื้อตัวน้องข้าสิ มีตรงไหนดูได้บ้าง ไม่ได้กินข้าว ก็ไม่มีแรงหยิบจับเคลื่อนไหว พอทำอะไรเชื่องช้า ก็ถูกตีอย่างโหดร้ายทารุณ นี่ยังไม่ต้องพูดถึงที่ต้าจ้วงกับเสี่ยวจ้วงชอบเอาไม้พลองมาตี เอาก้อนหินมาโยนใส่น้องนะ… ท่านพ่อ น้องก็เป็นลูกสาวของท่าน ในตัวนางก็มีเลือดของท่านไหลเวียนอยู่ ท่านทนดูให้นางหิวตาย ถูกทำร้ายจนตายได้หรือ”
แขนเสื้อของกู้เยี่ยถูกถกขึ้น เผยให้เห็นรอยเขียวม่วงเป็นริ้วๆ และรอยแผลถลอกปอกเปิก ฟ้องชัดว่าเจ้าของร่างกายนี้ถูกกระทำอย่างไรไว้บ้าง
“เจ้าเด็กบ้า อย่าพูดเหลวไหลนะ! มีใครเห็นหรือว่าข้าเป็นคนตีเด็ก เจ้าลูกกระต่าย2เลี้ยงไม่เชื่อง พูดจาโกหกพกลมออกมาได้เต็มปาก! พี่น้องทั้งหลาย พวกท่านคิดดูเถิด ข้าวปลาอาหารแต่ละวันนางล้วนเป็นคนทำเอง พวกเรากลับจากงานมาก็คิดว่านางกินเรียบร้อยแล้ว นางยังไม่ได้กินข้าวแล้วทำไมไม่บอกล่ะ ไม่บอกแล้วข้าจะรู้ได้อย่างไร ส่วนเรื่องแผลบนตัว นั่นเป็นเพราะนางซุกซนเองต่างหาก ไม่รู้ว่าไปชนนู่นชนนี่ที่ไหนมา ไม่ได้เกี่ยวกับข้าเสียหน่อย” หลิวซื่อขยับปากฉอดๆ พูดคำจากดำเป็นขาว
กู้หมิงแทบอยากเข้าไปฉีกอกหลิวซื่อ “แล้ววันนี้เล่า? เมื่อตอนเย็นน้องยังพูดคุยกับข้าอยู่ดีๆ ทำไมท่านถึงนำนางมาทิ้งแบบนี้ ในป่านี่สัตว์ร้ายชุกชุม ท่านนำน้องสาวข้ามาทิ้งไว้กลางป่า คิดจะทำให้นางไม่มีทางรอดกลับไปเลยรึ!”
“ตอนข้ากลับถึงบ้าน นางหนูก็ไม่ขยับเขยื้อนแล้ว เรียกอย่างไรก็ไม่ตื่น ข้าก็คิดว่านางไม่รอดแล้วน่ะสิ ทุกวันนี้ชีวิตลำบากยากแค้น บ้านใครไม่เคยมีเด็กตายบ้างเล่า ห้องหับในบ้านต่อไปล้วนต้องเก็บไว้ให้พวกเจ้าสามคนพี่น้องแต่งภรรยา นางมาตายในบ้านแบบนี้ไม่เป็นมงคลเลย” หลิวซื่อไม่รู้สึกเลยสักนิดว่าตนทำสิ่งใดผิด
กู้หมิงแค่นเสียงขึ้นจมูกทีหนึ่ง “อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าท่านมีแผนการอะไร วันนั้นที่ท่านบอกกับต้าจ้วง ข้าได้ยินทั้งหมด ท่านบอกว่าน้องสาวข้าเป็นของจ่ายชดเชย3 เลี้ยงไว้ก็สิ้นเปลืองอาหาร ตายไปก็ประหยัดสินเดิมเจ้าสาวได้บ้าง…วันนี้ท่านเอานางมาปล่อยในป่าลึก เพราะหวังจะได้ไม่ต้องเตรียมสินเดิม พรุ่งนี้ก็คิดจะกำจัดข้า เพราะกลัวว่าข้าจะไปแบ่งสมบัติกับต้าจ้วงเสี่ยวจ้วงด้วย ท่านพ่อ ท่านจะยังยืนมองอยู่ข้างๆ ต่อไปได้อีกหรือ”
“เจ้าพูดเหลวไหลอะไร แม่เจ้าไม่ใช่คนเช่นนั้น เลิกพูดได้แล้ว เข้าใจผิดกันทั้งนั้น! ตอนนี้คนก็หาตัวเจอแล้ว รีบกลับบ้านไป” กู้เฉียวโบกมือปัดๆ อย่างหงุดหงิดรำคาญใจ
กับบุตรชายคนโตกู้เฉียวยังมีความรักความผูกพันให้อยู่หลายส่วน เพียงแต่ร่วมเรียงเคียงหมอนกับหลิวซื่อมาหลายปี ความรู้สึกของความเป็นพ่อกลับไม่หลงเหลือให้กู้หมิงเท่าไรแล้ว คำพูดของกู้หมิง เขาไม่นำมาใส่ใจ ทั้งยังโมโหที่บุตรชายพูดเรื่องน่าตื่นตระหนกตกใจ ทำให้ตนขายหน้าต่อหน้าประมุขสกุลและชาวบ้านเช่นนี้
“ไม่ ถ้าหากกลับไปเช่นนี้ นางก็หาโอกาสทอดทิ้งน้องได้อีก ท่านพ่อ ต่อหน้าท่านปู่ประมุขสกุลและท่านลุงท่านอาทั้งหลาย โปรดพูดให้ชัดเจนเถิดว่า ให้หลิวซื่อกล่าวคำสัตย์สาบาน ว่าจะไม่ให้น้องทำงานหนัก และจะไม่ให้น้องต้องอดอาหารอีก”
กู้หมิงยืดกายที่ผอมบางขึ้นตรงแน่ว เม้มปากอย่างดื้อดึง เพื่อน้องสาว เขายอมแลกทุกสิ่ง อย่างมาก… อย่างมากเขาก็พาน้องไปอยู่ด้วยกันในถ้ำ ล่าสัตว์เก็บของป่าเลี้ยงน้อง
เรื่องของบ้านกู้เฉียว ใช่ว่าคนในสกุลจะไม่เคยรู้ เพียงแต่เรื่องในครอบครัว กฎทางการยากจะจัดการได้ หากไม่ได้กระทำผิดให้เห็นซึ่งหน้า ประมุขสกุลก็ได้แต่ปิดตาข้างหนึ่งไว้ ทว่าวันนี้เกิดเรื่องจนเกือบถึงแก่ชีวิต ในฐานะประมุขสกุลจึงต้องลุกขึ้นอ้างหลักคุณธรรมจรรยาสักหน่อย
“หลิวซื่อ เรื่องนี้เจ้ากระทำเกินไปจริงๆ เอาเถอะ คนครอบครัวเดียวกัน ไม่ควรโกรธแค้นกันข้ามคืน พูดคุยกันเข้าใจแล้ว ก็อย่าได้ทำอีก เจ้าเจ็ด วันนี้พวกเจ้าสองผัวเมียก็ให้คำสัตย์กับลูกๆ เสีย จะได้ให้เด็กๆ สบายใจ”
กู้เฉียวเป็นอันดับเจ็ดของรุ่นในทำเนียบสกุล
หลิวซื่อสีหน้าไม่ยินยอม ปากบ่นอุบอิบ “ให้คำสัตย์อะไร ทำเหมือนข้าไปทรมานพวกเขาจริงๆ อย่างนั้นแหละ เรื่องนี้ข้าไม่ยอมรับหรอก”
“เมียพี่เจ็ด อย่าคิดว่าเจ้ากระทำการอะไรลับหลังแล้วจะรอดพ้นสายตาทุกคนได้ เจ้าคิดการอะไร มีใครบ้างที่ไม่รู้ ถ้าไม่เพราะเห็นแก่เหมียวซื่อละก็…” สะใภ้ท่านหนึ่งซึ่งสนิทสนมกับมารดาแท้ๆ ที่ล่วงลับไปแล้วของพวกกู้หมิงแสยะยิ้มมองหน้าหลิวซื่อ สายตานั้นคมเฉียบประหนึ่งมีดดาบ ราวกับว่าจะฟาดฟันเอาเปลือกที่ปิดซ่อนเรื่องน่าละอายของหลิวซื่อออกไปให้หมด
หลิวซื่อสีหน้าเปลี่ยนไปทันตา รีบขัดคำพูดของสะใภ้สกุลผู้นั้น ส่งเสียงแหลมจนพาให้นกหลายตัวแตกตื่น “ก็ได้ๆ! พวกเด็กๆ ไม่รู้ความ ข้าอาจจะทำอะไรประสาผู้ใหญ่ พานให้เข้าใจผิดไปบ้าง พวกเจ้าเหน็ดเหนื่อยมามากแล้ว กลับบ้านไปกับพ่อแม่เถอะนะ ข้าเป็นแม่เลี้ยงก็จริง แต่พ่อพวกเจ้าเป็นพ่อแท้ๆ จะไปทนเห็นคนอื่นเอาชีวิตพวกเจ้าได้อย่างไร”
คำพูดของนางอ้างเหตุอ้างผล ฟังดูเหมือนพูดดีกับเด็กทั้งสอง แต่ในคำพูดนั้นกลับไม่ได้แสดงความสำนึกผิดให้คนในสกุลเห็นเลยแม้แต่น้อย
กู้หมิงรู้ดีว่าตนอายุยังน้อย การแตกหักกับคนในบ้านไม่เป็นผลดีอันใดกับเขาและน้องสาวเลย เขานั่งลงข้างกายน้องสาว ลูบใบหน้านางเบาๆ พลางยิ้มปลอบ “น้อง เจ้าคงเสียขวัญมากใช่ไหม ไม่ต้องกลัวนะ มีท่านประมุขสกุลกับท่านลุงท่านอาทั้งหลายเป็นพยาน ต่อไปภายหน้า ไม่ว่าใครก็อย่าหวังเอาเจ้ามาทิ้ง พี่จะปกป้องน้องเอง”
กู้เยี่ยท่าทางเหมือนผู้ชมที่อยู่ข้างสนามมาตลอด มอง ‘ฉากวุ่นวาย’ ตรงหน้าด้วยสายตานิ่งเฉย แต่เด็กชายผู้ออกหน้าทุ่มเทเพื่อนางอย่างสุดชีวิตเบื้องหน้านี้ ทำให้หัวใจที่เย็นชาของนางอุ่นซ่านขึ้นมาได้ เมื่อชาติภพก่อน นางเติบโตมาในบ้านเด็กกำพร้า สำหรับนางแล้ว ความรักความผูกพันในครอบครัวนับเป็นความหวังลมๆ แล้งๆ อย่างหนึ่ง ในชาตินี้ เหมือนได้เติมเต็มความฝัน ได้มีพี่ชายที่มอบความรักให้นางอย่างล้นเหลือ บางทีการเกิดใหม่ก็อาจไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรนัก
กู้หมิงแบกน้องสาวขึ้นหลังทั้งที่ตนเองก็ผอมแห้งแรงน้อยไม่ต่างกัน เดินเพียงสองก้าวก็หอบหายใจฟืดฟาด ระหว่างทางเดินลงจากเขา สองขาอ่อนล้าจนแทบจะล้มลงกับพื้น ท่านอาเก้าผู้อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงทนดูต่อไม่ไหว จึงรับตัวกู้เยี่ยไปอุ้มพาลงจากเขาแทน
กู้เยี่ยถูกนำมาวางลงบนเตียงเตาซึ่งปูด้วยเสื่อกกขาดๆ ผืนหนึ่ง สลบไสลในห้วงนิทราไปอย่างเงียบๆ จนเมื่อคนในสกุลและชาวบ้านจากไปหมดแล้ว หลิวซื่อและสามีก็กลับเข้าห้องอย่างฮึดฮัดขัดใจ กู้หมิงนำผ้าห่มซึ่งเต็มไปด้วยรอยปะชุนมาห่มคลุมน้องสาว จากนั้นก็โน้มลงกระซิบอย่างมีลับลมคมใน
“น้องหิวไหม วันนี้พี่โชคดีจับปลาตัวหนึ่งได้จากในคู เมื่อตอนกลางวัน อาศัยช่วงที่ไม่มีคนอยู่บ้าน แอบต้มน้ำแกงไว้ เดี๋ยวพี่ไปอุ่นมาให้เจ้าดื่มสักหน่อย ค่อยนอนต่อเถอะนะ”
เมื่อกู้หมิงออกจากห้องไป กู้เยี่ยก้มมองมือที่ผอมเกร็งราวกับตีนไก่ของตัวเอง เจ้าของร่างเดิมอายุสิบเอ็ดขวบ แต่น้ำหนักตัวยังไม่เท่าเด็กวัยเจ็ดแปดขวบเลยด้วยซ้ำ ตัวเล็กแกร็นประหนึ่งไม้ขีดไฟ ผอมแห้งเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก บนผิวหนังที่หยาบกร้านเห็นเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาอย่างชัดเจน…
1 ธรรมเนียมเรียกขานสตรีที่แต่งงานแล้วของจีนในสมัยโบราณ จะใช้คำว่า ‘ซื่อ’ ซึ่งแปลว่านามสกุล ต่อท้ายนามสกุลเดิมของสตรี บางครั้งอาจเพิ่มนามสกุลของสามีไว้หน้าสุดเพื่อระบุตัวตนให้ชัดขึ้น
2 ลูกกระต่าย เป็นคำเปรียบเปรยถึงเด็กดื้อ หรือเด็กที่สร้างปัญหารำคาญใจ ใช้ได้ทั้งในเชิงที่เรียกด้วยความเอ็นดู และในเชิงดุด่าว่ากล่าว
3 ธรรมเนียมการแต่งงานของชาวจีนสมัยโบราณ เมื่อฝ่ายหญิงแต่งเข้าบ้านฝ่ายชาย จะต้องเตรียมสินเดิมเจ้าสาว เช่น เงินทอง หรือข้ารับใช้ ขนไปที่บ้านสามี จึงมีคำเรียกลูกสาวในเชิงเหยียดหยันว่าเป็น ‘ของจ่ายชดเชย’ มีแต่เสียไม่มีได้
บทที่ 2 บัวแดงอันแปลกประหลาด
“น้องรีบดื่มน้ำแกงปลานี่เร็ว จะได้ไม่ถูกต้าจ้วงเสี่ยวจ้วงเห็นแล้วแย่งไป”
ต้าจ้วงเป็นลูกติดของหลิวซื่อกับสามีคนก่อน เสี่ยวจ้วงคือน้องร่วมบิดาของพวกกู้หมิง อายุเพียงสามขวบ
กู้เยี่ยต่อสู้กับความหิวโหยที่เหมือนไฟแผดเผาในท้องอย่างทรมาน จึงรับของจากมือพี่ชายมาแต่โดยดี ทว่าฝืนดื่มน้ำแกงปลาไปได้แค่สองสามอึก ก็ดื่มต่อไม่ได้อีก เพราะขาดอาหารมานาน เยื่อบุกระเพาะของนางจึงฝ่อ อวัยวะห้ากลั่นหกกรอง1 เสื่อมสภาพลงอย่างรุนแรงไปตามๆ กัน นางอ่อนแอเสียจนแทบไม่มีแรงหายใจ อะไรที่เรียกว่า ‘น้ำมันหมดตะเกียงมอด’ น่ะหรือ ดูร่างกายของนางก็จะรู้ได้อย่างแจ่มแจ้ง
“ดื่มอีกอึกหนึ่งสิ เจ้ากินน้อยเกินไปแล้ว” กู้หมิงมองน้องสาวอย่างห่วงใย เพราะบำรุงร่างกายไม่เพียงพอ น้องสาวจึงสามวันดีสี่วันไข้ มารดาเลี้ยงก็กลัวสิ้นเปลือง ไม่ยอมเชิญหมอมาดูอาการให้ เขาเสี่ยงอันตรายไม่กลัวถูกสัตว์ร้ายจับกิน เข้าป่าไปล่าสัตว์ แต่กลับเก็บเกี่ยวสิ่งใดไม่ค่อยได้
เวลาที่โชคเข้าข้าง จับไก่ป่ากระต่ายป่ามาได้ ก็จะเอาไปมอบให้ท่านหมออู๋แพทย์เพียงคนเดียวในหมู่บ้าน เชิญให้เขามารักษาโรคให้น้องสาว ท่านหมออู๋บอกว่า โรคของนางเกิดจากความอดอยากและความตรากตรำ เพียงแค่กินอิ่มก็ไม่เป็นอะไรแล้ว
หากกู้หมิงมีเวลาว่างก็จะช่วยงานน้องสาว และหาวิธีทำให้นางกินมากขึ้นสักหน่อย แต่ร่างกายของนางยังคงทรุดโทรมลงเรื่อยๆ จนสองสามวันมานี้ กว่าจะกินข้าวแต่ละเม็ดช่างยากเย็นแสนเข็ญ กินอะไรเข้าไปก็อาเจียนออกมา ท่านหมออู๋จึงบอกว่า ไม่อาจจะรักษานางได้แล้ว ได้แต่รอช่วงเวลาสุดท้ายจะมาถึง
ทว่า เขาไม่ยอมตัดใจ และไม่อยากถอดใจด้วย ก่อนที่มารดาของพวกเขาจะสิ้นใจ ได้จับมือเขา ฝากฝังให้ดูแลน้องสาวให้ดี เป็นเขาเองที่ไม่ได้ความ…
เห็นน้องสาวดื่มน้ำแกงปลาได้หลายอึก โดยไม่ได้อาเจียนออก กู้หมิงก็รู้สึกมีความหวังขึ้นมาหลายส่วน ตัวเขาเองก็ดื่มน้ำแกงที่เหลือลงท้องไปจนหมด ไม่คิดแบ่งให้ลูกทั้งสองของหลิวซื่อได้กินเด็ดขาด!
เขาห่มผ้าห่มให้น้องสาวกลับดังเดิม และบอกกับนางเสียงแผ่วเบา “น้องพี่ หลับพักผ่อนเถอะนะ ต่อไปพี่จะจับปลามาต้มน้ำแกงให้เจ้าดื่มทุกวัน”
กู้เยี่ยพยักหน้าอย่างว่าง่าย ระหว่างที่กู้หมิงกลับไปในครัวล้างหม้อล้างชาม นางก็ไม่อาจอดกลั้นไว้ได้อีกต่อไป อาเจียนเอาน้ำแกงปลาที่ดื่มไปออกมาทั้งหมด ร่างกายนี้ไม่อาจรับของกินอันใดได้แล้วจริงๆ
การได้รับโอกาสเกิดใหม่อีกครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย นางไม่อยากตายไปทั้งที่เพิ่งข้ามภพมาเช่นนี้ การเป็นผู้ข้ามภพที่อายุสั้นที่สุดนั้นช่างน่าขันเสียนี่กระไร
ห้วงมิติ! นางเป็นผู้มีห้วงมิตินี่นา! พอกู้เยี่ยนึกถึงยาผงไล่สัตว์ขวดนั้นตอนอยู่ในป่าได้ ดวงตาก็วาวประกายแห่งความหวังขึ้นมา
ยาน้ำบำรุงฤทธิ์อุ่นขวดหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ กู้เยี่ยใช้พลังเฮือกสุดท้าย ในที่สุดก็ส่งยาเข้าปากตัวเอง และกลืนลงไปได้สำเร็จ ชั่วขณะก่อนที่จะจมดิ่งสู่ห้วงนิทรา นางรับรู้ได้ถึงกระแสอุ่นร้อนที่ค่อยๆ ไหลไปตามชีพจร ซ่านไปสู่อวัยวะต่างๆ ในร่างกายอันอ่อนล้านี้อย่างชัดเจน…
หลิวซื่อมีนิสัยเห็นแก่ได้และไม่ยอมเสียเปรียบใคร แต่ทุกวันนี้พี่ชายน้องสาวคู่นี้กลับเพิ่มความยุ่งยากรำคาญใจมากขึ้นทุกวัน เมื่อกู้เยี่ยร่างกายอ่อนแอ ลุกจากเตียงมาทำงานไม่ได้ งานบ้านต่างๆ ก็ตกมาที่ตัวหลิวซื่อทั้งหมด
พอคิดขึ้นได้หญิงผู้นั้นก็พุ่งเข้ามาที่ห้องเรือนปีกตะวันตก ทั้งทุบโต๊ะ ทั้งขว้างปาถ้วยชาม พูดจาสาปแช่งร้ายกาจไม่หยุดปาก กู้เยี่ยใช้จุกอุดหูไร้รูปร่างอุดหูตัวเองไว้ ไม่ว่าหลิวซื่อจะก่นด่าเป็นแม่ค้าร้านตลาดอย่างไร ก็ไม่กระทบถึงตัวนางแม้แต่น้อย
หลิวซื่อใช้ลูกไม้เดิมตอนทำอาหาร คือทำแป้งปิ่งธัญพืช2ขนาดประมาณหนึ่งฝ่ามือแบ่งให้กินได้คนละแผ่น เพียงแต่จะให้กู้เฉียวได้กินสองแผ่นในฐานะหัวหน้าครอบครัว ตอนเช้าจึงยังคงไม่มีให้กู้เยี่ย ส่วนของกู้หมิงก็เป็นแผ่นที่เล็กที่สุดในบรรดาทั้งหมด
ถึงอย่างไรกู้หมิงก็ฉีกหน้ามารดาเลี้ยงของตน แสดงตัวต่อต้านเพื่อน้องสาวอย่างชัดเจนแล้ว จึงไม่ได้หวั่นเกรงอะไรอีก ขณะกำลังกินอาหาร หลังจากบิดาหยิบชิ้นหนึ่งไปแล้ว เขาก็รีบคว้าแป้งปิ่งในกระจาดมาสองแผ่นอย่างรวดเร็ว พร้อมกับยกชามโจ๊กของตนเพื่อเข้าไปกินกับน้องสาวที่ห้องด้วยกัน
หลิวซื่อเห็นดังนั้นก็กระโดดโหยง เท้าเอวแผดเสียงแหลม “เอาคืนมานะ! ปิ่งแผ่นนั้นเป็นของพ่อเจ้า เจ้าลูกอกตัญญู แม้แต่เสบียงของพ่อก็ยังขโมย”
กู้หมิงหยุดชะงักเท้า หันกลับมาจ้องตอบนาง “ปิ่งแผ่นนี้ไม่ใช่ของน้องหรอกหรือ? ผู้ที่ลดเสบียงของท่านพ่อเป็นท่านเองแท้ๆ เกี่ยวอะไรกับข้าด้วยเล่า เวลานี้ร่างกายของน้องไม่อาจปล่อยให้อดๆ อยากๆ ได้อีกแล้ว” พูดจบก็ไม่รอให้หลิวซื่อกระทืบเท้าร้องด่า รีบผลุบเข้าห้องไปโดยไว
หลิวซื่อก่นด่าพลางยื่นมือไปหวังคว้าตัวเขาไว้ เวลานี้เองกู้เฉียวก็ขัดเสียงด่าทอที่ดังไม่หยุดของหลิวซื่อ “เจ้ายังขายหน้าคนไม่พออีกหรือไง อยากให้เจ้าเก้าได้ยินแล้วนำเรื่องไปบอกคนในหมู่บ้าน ให้คนเขามาว่าพวกเราทรมานลูกอย่างนั้นรึ เด็กตัวเล็กแค่นั้นจะกินสักกี่มากน้อยกัน ต่อไปทำกับข้าวก็เติมน้ำเพิ่มอีกสักกระบวย เพิ่มข้าวเพิ่มแป้งอีกสักหนึ่งกำมือ อย่าให้ใครต้องหิวตายก็พอแล้ว”
กู้เฉียวรู้สึกหงุดหงิดใจ เพราะเรื่องแตกแยกในบ้านนี้ ทำให้เขาถูกลุงใหญ่และผู้อาวุโสในสกุลเรียกไปอบรม ขายหน้าคนไปทั้งสกุล ถ้ากู้หมิงเจ้าลูกไม่รู้จักคิดแค่แอบตามหาน้องสาวแล้วพากลับมาเงียบๆ ก็คงไม่เป็นปัญหา แต่นี่กลับทำให้รู้กันไปทั่วทั้งหมู่บ้านชิงซาน พาให้เวลาออกจากบ้านเขารู้สึกเหมือนถูกทุกคนมองด้วยสายตาแปลกๆ ไม่รู้ว่าคนในหมู่บ้านแอบพูดถึงครอบครัวเขาลับหลังว่าอย่างไรแล้ว
หลิวซื่อหายใจฮึดฮัดนั่งลงอย่างไม่พอใจ แล้วแย่งแป้งปิ่งในมือต้าจ้วงมาบิออกส่วนหนึ่ง และของตัวเองอีกส่วนหนึ่งวางไว้ตรงหน้าผู้นำของบ้าน แม้นางจะไม่ชอบลูกทั้งสองของอดีตภรรยา แต่ก็ไม่ได้โง่ขนาดนั้น นางยังเคารพเชื่อฟังสามีของตนอยู่ สามีคือผู้ชายของนาง ที่นาบนเขาสิบกว่าหมู่3ของครอบครัว ล้วนหวังพึ่งแรงกำลังของเขาทั้งสิ้น นางจะไม่เอาใจใส่ใครย่อมได้ทั้งนั้น แต่จะละเลยสุขภาพร่างกายของสามีไม่ได้เด็ดขาด
“ที่ข้าทำไปก็เพื่อใครเล่า ท่านไม่ได้ดูแลเรือน ไม่รู้หรอกว่าถ่านฟืนข้าวแป้งแพงแค่ไหน ที่นาของหมู่บ้านเรา พอเก็บเกี่ยวข้าวกับธัญพืชได้ก็ต้องส่งให้เจ้าของที่ดินก่อน เหลือเก็บกันไม่เท่าไร พอกินกันเสียที่ไหน ข้ากับต้าจ้วงขึ้นเขาเก็บของป่า เหนื่อยยากแสนเข็ญกว่าจะขายได้เงินมาแลกเป็นเสบียงเหล่านี้ได้ ไหนยังต้องกระเบียดกระเสียรอีก ต้าจ้วงกับเสี่ยวจ้วงก็โตขึ้นทุกวัน มีแต่จะกินเยอะขึ้นเรื่อยๆ หากไม่คิดกะการณ์ให้ดี บ้านเราจะใช้ชีวิตทุกวันนี้ได้อย่างไร
ที่หาว่าข้าทรมานลูกอดีตภรรยาให้อดๆ อยากๆ แล้วเก็บไว้กินคนเดียวนั้น ช่างให้ร้ายข้าเหลือเกิน ท่านดูข้าสิทำงานตรากตรำทั้งวันทั้งคืน จะได้กินอะไรหรือไม่ ข้าแต่งเข้าบ้านท่านมาเกือบสี่ปีแล้ว เสื้อผ้าใหม่สักตัวยังไม่เคยซื้อหากับเขาเลย! นางเป็นแค่เด็กน้อยยังไม่ได้ทำงานหนักอะไร กินน้อยไปบ้างจะเป็นไรไป” หลิวซื่อพูดพลางยกชายเสื้อขึ้นมาซับหางตา
กู้เฉียวซดโจ๊กคำหนึ่งกัดแป้งปิ่งคำหนึ่ง จากนั้นพูดปลอบหลิวซื่อไปตามเรื่อง “อืม.เจ้าพูดถูก หลายปีมานี้ลำบากเจ้ามากจริงๆ… เพียงแต่บ้านเราก็ไม่ได้อดอยากขนาดนั้นจริงๆ สักหน่อย เดี๋ยวพอเก็บเกี่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ข้าไปช่วยเก็บของป่ามาขายให้ได้เงินมาแลกเสบียงอาหารก็ได้… เอาตามนี้ละกัน อย่าทำให้ข้าเสียหน้าอีก ได้ยินหรือไม่”
ว่ากันตามตรง กู้เฉียวผู้นี้ยึดตัวเองเป็นที่ตั้ง ทั้งยังรักหน้าตา หลิวซื่อรู้ดีแก่ใจ หากตอนนี้นางก่อเรื่องอะไรขึ้นอีกเพียงนิดเดียว จะต้องลงเอยไม่ดีแน่ เวลาปกติกู้เฉียวดูเป็นคนไม่รู้ร้อนรู้หนาว แต่เวลาโกรธขึ้นมา นางก็หวาดผวาในใจเช่นกัน จึงได้แต่กัดฟันกลั้นจมูกรับคำไปก่อน… เจ้าเด็กบ้าสองคนนั่น หากวันหน้ามีโอกาสค่อยจัดการพวกมันใหม่!
เสี่ยวจ้วงไม่อยากกินแป้งปิ่งแห้งๆ เห็นมารดาอารมณ์ไม่ดี รีบเอาใจป้อนแป้งปิ่งธัญพืชที่กัดไปเพียงสองสามคำใส่ปากมารดา ดวงตาน้อยๆ กลอกมอง พร้อมกับทำเสียงเล็กเสียงน้อย “ท่านแม่ กิน”
“มีแต่ลูกเท่านั้นที่รู้จักรักข้า หากไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขที่คลอดออกมาเอง ช้าเร็วอย่างไรก็ต้องกลายเป็นพวกหมาป่านัยน์ตาขาว4ทั้งนั้น” หลิวซื่อร่ำเสียงสูง ทั้งยังแค่นเสียงไปทางห้องเรือนปีกตะวันตกแรงๆ จากนั้นก็ลูบใบหน้าเจ้าเนื้อของลูกคนเล็กอย่างรักใคร่เอ็นดู แล้วหอมแก้มอย่างเต็มรักทีหนึ่ง พูดเสียงกระซิบกระซาบ “ไม่เสียแรงที่แม่รักเจ้า เดี๋ยวแม่จะทำน้ำแกงแป้งก้อน5ให้กินนะลูก”
เสี่ยวจ้วงก็กระซิบเบาๆ เช่นกัน ขอต่อรองสักเล็กน้อย “เพิ่มไข่ด้วย…”
“เจ้านี่เป็นแมวตะกละจริงๆ นะ! ได้ จะเพิ่มไข่ให้เจ้าฟองหนึ่งเลย” หลิวซื่อบีบแก้มน้อยๆ ของลูกชาย ก่อนดื่มโจ๊กในชามของตนให้หมด แล้วจึงเข้าครัวไปอีกครั้ง
ลับหลังนาง ต้าจ้วงทำหน้าทำตาใส่เสี่ยวจ้วง เสี่ยวจ้วงยังเด็กกระเพาะยังเล็ก น้ำแกงแป้งก้อนที่เหลือสุดท้ายก็ย่อมต้องตกถึงท้องต้าจ้วงอยู่ดี เพียงแต่ในบ้านไม่ได้จุดเตาทำอาหารให้เสี่ยวจ้วงโดยเฉพาะบ่อยครั้งนัก นานๆ ทีถึงจะทำมื้อพิเศษสักครั้ง… เฮ้อ ช่วยไม่ได้ เกิดมายากจนเองนี่นะ
ความวุ่นวายภายนอกเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลถึงพี่ชายน้องสาวสองคนภายในห้องเลยสักนิด กู้หมิงรู้ว่ากระเพาะของน้องยังอ่อนแอ จึงบิแป้งปิ่งขนาดเท่าเล็บมือคลุกลงไปในโจ๊กให้นิ่มก่อน แล้วค่อยป้อนให้น้องสาว
กู้เยี่ยมองดูอาหารเละๆ สีตุ่นๆ นั่นแล้ว แม้ว่าท้องจะหิวจนเจ็บปวดทรมาน แต่กลับไม่อาจกระตุ้นความอยากอาหารของนางได้เลย ท่ามกลางสายตาคาดหวังของพี่ชาย นางต้องฝืนกินเข้าไปคำหนึ่งอย่างยากลำบาก
แหวะ! เทียบกับน้ำสุขภาพที่ชาติก่อนไว้กินเวลาออกปฏิบัติภารกิจแบบกะทันหันแล้ว ไม่อร่อยพอๆ กันเลย
นางกินลงไปสองสามคำ ก็กินต่อไม่ลงแล้วจริงๆ
ทางเดินอาหารและระบบภายในของร่างนี้ได้รับการเยียวยารักษาด้วยยาบำรุงฤทธิ์อุ่นมาหนึ่งคืน ถึงจะยังคงอ่อนแออยู่บ้าง แต่อาหารปริมาณเล็กน้อยแค่นี้ก็พอรับไหว กู้หมิงป้อนน้ำอุ่นให้น้องสาวพลางบอกว่า “เดี๋ยวพี่จะไปตัดฟืนบนเขา ดูว่าจะจับปลามาได้อีกหรือไม่ ท่านหมอบอกว่าน้ำแกงปลาบำรุงร่างกายได้ดี”
พูดถึงตรงนี้ เขาก็ถอนหายใจยาว ก่อนจะพูดต่อ “ท่านหมอยังบอกอีกว่าน้ำแกงไก่บำรุงได้ดีที่สุดเลย แต่น่าเสียดาย พี่ไร้สามารถ ไม่อาจล่าสัตว์มาได้ทุกวันเหมือนอย่างจางลี่หู่ในหมู่บ้าน”
“พี่ชาย ท่านเก่งมากๆ แล้ว ถ้าหากไม่ได้ท่าน ข้าคงถูกสัตว์ร้ายในป่ากินจนไม่เหลือกระดูกแน่ๆ” สำหรับเด็กวัยเพียงสิบเอ็ดขวบ กู้หมิงนับว่าทำได้ดีอย่างยิ่ง
เพียงแต่เมื่อคิดถึงตอนที่ฟื้นขึ้นมา แล้วเห็นดวงตาสีฟ้าของฝูงสุนัขป่า กู้เยี่ยจึงอดเอ่ยเตือนออกมาไม่ได้ “พี่ชาย บนเขามีหมาป่ามากมาย ต่อไปอย่าเข้าป่าขึ้นเขาไปตามลำพังนะ ข้ามีพี่ชายที่รักข้าอยู่แค่คนเดียว ไม่อยากให้ท่านเป็นอะไร”
“ได้ ต่อไปข้าจะทำงานอยู่แถวๆ หมู่บ้าน ไม่ให้เจ้าต้องเป็นห่วง ข้าไปตัดฟืนละ ถ้าเจ้ายังไม่ง่วง ข้าจะขอให้พี่ลี่ลูกอาเก้ามาอยู่เป็นเพื่อนคุยเล่นกับเจ้า” กู้หมิงกลัวว่าตอนที่ตนเองไม่อยู่ น้องสาวผู้แสนซื่อจะถูกหลิวซื่อและลูกๆ รังแกอีก
ในความทรงจำของเจ้าของร่างคนเดิม พี่ลี่อายุแก่กว่าฝาแฝดกู้หมิงกู้เยี่ยเอ๋อร์หนึ่งปี มักดูแลผู้อื่นอย่างอบอุ่นอ่อนโยน เจ้าของร่างนี้รู้สึกผูกพันกับพี่ลี่เป็นพิเศษ ทว่าตอนนี้กู้เยี่ยอยากเข้าไปดูในห้วงมิติสักหน่อย จึงปฏิเสธคำเสนอของพี่ชาย โดยอ้างว่าตนยังอ่อนเพลีย อยากพักผ่อนก่อน
กู้หมิงผละไปอย่างไม่วางใจ ขึ้นเขาตามบิดาและมารดาเลี้ยงไป ส่วนต้าจ้วงอายุอานามเข้าวัยเกณฑ์กำลังพลแล้วจึงถูกเกณฑ์ไปใช้แรงงาน หลิวซื่อเองก็ไม่วางใจให้เสี่ยวจ้วงอยู่บ้านตามลำพัง จึงเอาลูกใส่กระบุงสะพายหลังแบกขึ้นเขาไปด้วยกัน
ในบ้านเงียบสงบไร้ผู้คน กู้เยี่ยเพ่งจิตเข้าไปในห้วงมิติ ห้วงมิตินั้นก็ยังคงเป็นห้วงมิติเดิม พื้นดินดำอุดมสมบูรณ์ขนาดสิบกว่าหมู่ ปลูกสมุนไพรที่นางเสาะหารวบรวมมานานหลายปีเมื่อชาติที่แล้วไว้เต็มทั่ว สมุนไพรกว่าร้อยชนิดเจริญเติบโตงอกงามดี มีแต่ของล้ำค่าทั้งนั้น
สมุนไพรหลายสิบชนิดอายุมากกว่าร้อยปี ถือเป็นของธรรมดาในห้วงมิตินั้น โสมคนและรากเหอโส่วอู6อายุหนึ่งร้อยปี หรือกระทั่งหลายร้อยปีก็มีให้เห็นไม่น้อย สมุนไพรในห้วงมิติใช้เวลาเติบโตสั้นกว่าภายนอก เวลาที่นางทดลองตัวยาใหม่ๆ ล้วนไม่เคยขาดแคลนวัตถุดิบเลยสักครั้ง
กู้เยี่ยสำรวจดูแปลงสมุนไพรรอบหนึ่ง แล้วจึงมาถึงห้องทดลองยาอย่างอารมณ์ดี… สิ่งปลูกสร้างจากไม้ที่ดูโอ่อ่าและมีกลิ่นอายแบบโบราณ เมื่อได้เห็นกล่องซึ่งบรรจุยาชนิดต่างๆ ไว้เต็มแน่นภายในห้อง ในใจของกู้เยี่ยก็พลอยรู้สึกสงบปลอดภัยขึ้นมา นางลูบไล้ขวดยาหลากสีสันเหล่านั้นทีละขวดๆ อย่างเผ่าเบา ประหนึ่งเป็นลูกรักของตัวเอง ก่อนจมดิ่งสู่ห้วงความทรงจำ
เมื่อออกมาจากห้องทดลองยา กู้เยี่ยปรายตามอง ‘ขยะ’ ที่กองอยู่บนพื้นโล่งราวกับเป็นภูเขาลูกย่อมๆ นั่นคือบรรดาวัตถุดิบที่นางเก็บรวบรวมมาในช่วงแรกเมื่อครั้งกลียุคกำลังจะมาเยือนในชาติที่แล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าใช้ประโยชน์ได้หรือไม่ หากมีเวลานางจะจัดเก็บให้เรียบร้อยสักหน่อย
ทันใดนั้น จมูกนางก็ได้กลิ่นหอมของดอกบัวลอยมาจางๆ นางตามกลิ่นนั้นไปจนมาถึงริมสระเล็กๆ ใจกลางห้วงมิติ ครั้นแล้วนางก็แปลกใจที่ได้พบว่าภายในสระมีดอกบัวแดงดอกหนึ่งที่แย้มกลีบแล้วครึ่งหนึ่ง ดอกบัวสีแดงดั่งเปลวเพลิง ชูสล้างอยู่กลางสระน้ำสีเขียวมรกต ไม่มีใบ ไม่มีราก ราวกับเป็นเทพเซียนที่หลุดพ้น ปลีกตัววิเวกเพียงลำพัง บนกลีบดอกกลีบหนึ่ง มีน้ำค้างใสแวววาวราวหยาดหยก ส่องประกายวิบวับสู่สายตา
“เอ๋? ที่นี่ปลูกบัวตั้งแต่เมื่อไร แต่ก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยต่อไปก็มีเมล็ดบัวกับรากบัวให้กินได้” กู้เยี่ยพูดกับตัวเอง
ท่ามกลางสายตาที่อยากลิ้มลอง กลีบบัวสีแดงเพลิงก็ขยับไหวเบาๆ คล้ายกับกำลังหวาดกลัว แต่ก็เหมือนไม่ยี่หระสะทกสะท้านด้วยเช่นกัน กู้เยี่ยขยี้ตา นางสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของมนุษย์ที่ส่งผ่านมาจากดอกบัวนั้น
ตาฝาดไปเองกระมัง
กู้เยี่ยตั้งใจว่าจะกลับดูที่มาที่ไปของบัวดอกนี้ภายหลัง ตอนนี้ออกไปก่อนดีกว่า หากพี่ชายกลับมาแล้วพบว่านางไม่อยู่ จะเป็นห่วงเอาอีกได้
1 อวัยวะห้ากลั่นหกกรอง หรือห้าตันหกกลวง เป็นคำเรียกรวมอวัยวะภายในตามตำราแพทย์แผนจีน ห้ากลั่น ได้แก่ ตับ หัวใจ ม้าม ปอด ไต ทำหน้าที่ผลิตสร้าง กลั่นฟอก และหล่อเลี้ยง ส่วนหกกรอง ได้แก่ ถุงน้ำดี ลำไส้เล็ก กระเพาะอาหาร ลำไส้ใหญ่ กระเพาะปัสสาวะ และท่อลำเลียง (ซานเจียว) ทำหน้าที่ย่อย ดูดซึม และเก็บสะสม
2 ปิ่ง เป็นคำเรียกรวมของแป้งทอด แป้งอบ และแป้งย่าง ที่มีลักษณะเป็นแผ่นหรือเป็นก้อนแบนๆ
3 หมู่ เป็นหน่วยวัดพื้นที่ของจีนที่ใช้มาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน เทียบขนาดพื้นที่ประมาณ 666.67 ตารางเมตร
4 หมาป่านัยน์ตาขาว เป็นสำนวนหมายถึง คนที่มีใจคอโหดเหี้ยม ไม่รู้จักบุญคุณคน
5 น้ำแกงแป้งก้อน หรือเกอตาทัง ลักษณะคล้ายซุปไข่ข้น แต่ใช้แป้งผสมน้ำ คนให้เกาะตัวเป็นก้อนเล็กๆ ก่อนนำไปต้มในน้ำแกงเดือดๆ แล้วจึงใส่ไข่ตาม เวลาดื่มจะได้เนื้อสัมผัสนุ่มๆ เป็นก้อนๆ สมกับชื่อเกอตา ที่แปลว่าก้อนตะปุ่มตะป่ำ
6 เหอโส่วอู หรือห่อสิ่วโอว เป็นสมุนไพรประเภทรากไม้ มีสรรพคุณช่วยให้ผมดกดำ กระตุ้นลำไส้ บำรุงเลือด ตับ ไต ไขกระดูก ช่วยล้างพิษ ลดความดันโลหิต ลดไขมันในเลือด ช่วยรักษาอาการวิงเวียน ตาลาย นอนไม่หลับ เป็นต้น
บทที่ 3 ทำกับข้าวก็ไม่ได้ยากเย็นเพียงนั้นนี่นา
กลางฤดูใบไม้ร่วง ทิวเขาเปลี่ยนสีไปทั้งแถบ คล้ายกับปาดแต้มด้วยแสงอรุณรุ่ง ใบไม้ที่เปลี่ยนสีช่างดูพร่างพราวตระการตา ยามร่วงโรยปลิวปรายหลุดจากต้น ก็ปกคลุมผืนดินในลานสวนเล็กๆ ให้กลายเป็นสีทอง
เสียงเล็กแหลมแสบแก้วหูปานประหนึ่งเสียงฆ้องแตกทำลายความเงียบสงบของบ้านลงในทันที "อย่ามัวแต่นอนเป็นศพอยู่บนเตียง แค่ปรนนิบัติเจ้าให้กินดีอยู่ดีไม่กี่วัน ก็คิดว่าตัวเองเป็นคุณหนูสกุลใหญ่จริงๆ แล้วรึ! ในบ้านยุ่งอย่างกับอะไรดี ยังจะนอนขี้เกียจอยู่แต่บนเตียงอยู่ได้ หรือว่าตายแล้ว ถ้ายังไม่ตายก็ลุกขึ้นมาทำกับข้าว!”
กู้เยี่ยลืมตาขึ้นช้าๆ แม้แต่ถอนหายใจยังคร้านจะทำ นางลุกขึ้นแล้วสวมใส่ชุดตัวนอก ตั้งแต่นางถูกคนในสกุลช่วยกลับมาจากบนเขา เวลาก็ผ่านไปห้าวันแล้ว หลายวันมานี้ นางถูกเสียงด่าของหลิวซื่อปลุกขึ้นมาทุกวัน หญิงผู้นั้นช่างทำให้คนนึกอยากวางยาให้เป็นใบ้ไปเสียจริงๆ
กู้เยี่ยนอนรักษาตัวอยู่กับเตียงมาห้าวัน ดื่มยาน้ำบำรุงฤทธิ์อุ่น และกินอาหารบำรุงสุขภาพ ร่างกายจึงค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นมา แม้ว่าจะยังผ่ายผอมจนน่าตกใจ แต่กำลังวังชากลับดีวันดีคืน และมีเรี่ยวแรงขึ้นบ้างแล้ว
หลิวซื่อเห็นกู้เยี่ยออกมาจากห้องอย่างว่าง่าย ก็ยกยิ้มมุมปากอย่างพอใจ “หญ้าเลี้ยงหมูตัดกลับมาให้แล้ว เดี๋ยวก็เอาไปให้หมูกินด้วย แล้วพอทำกับข้าวเสร็จ ก็จำไว้ว่าไปส่งให้ถึงที่นา อย่าแอบอู้ล่ะ!”
หลิวซื่อพูดจบก็จ้องกู้เยี่ยด้วยสายตาดุๆ ทีหนึ่ง ก่อนจะแบกจอบออกจากบ้านไป เวลานี้เป็นฤดูกาลแห่งการเก็บเกี่ยว คนในหมู่บ้านที่ขุดดินทำไร่ได้ล้วนยุ่งง่วนอยู่ที่ท้องไร่ท้องนา เมื่อปีกลายเจ้าของร่างนี้ก็ไปร่วมลงแรงเก็บเกี่ยวด้วยเช่นกัน ปีนี้นับเป็นโชคที่ร่างกายนี้ไม่แข็งแรง จึงได้แต่แค่ทำงานบ้านอยู่ที่บ้านก็พอ
กู้เยี่ยหยิบแปรงสีฟันกับยาสีฟันจากในห้วงมิติออกมาอย่างไม่เร่งร้อน แปรงฟันล้างหน้าเสร็จแล้วก็หวีผมที่แห้งแดง ถักเป็นเปียเกลียวสองข้างห้อยพาดลงบนไหล่ จากนั้นก็ยืดแข้งยืดขา ออกกำลังกายรอบหนึ่งในลานบ้าน แล้วจึงเดินเข้าไปในครัวอย่างสบายอารมณ์
ภายในครัวเก็บกวาดจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย บนเขียงมีวัตถุดิบที่ต้องทำมื้อกลางวันนี้วางพร้อมไว้หมดแล้ว เพื่อจะได้มีแรงทำงานเก็บเกี่ยว ในบ้านจึงเพิ่มมื้ออาหารจากวันละสองมื้อเป็นวันละสามมื้อ แน่นอนว่า ‘คนไร้ประโยชน์’ ที่ไปช่วยลงแรงไม่ได้เช่นนาง จึงถูกแย่งชิงมื้อเช้าไปหมดแล้ว
ช่วงเวลานี้แต่ละบ้านล้วนจัดเตรียมมื้ออาหารดีขึ้นมาก ในวันหนึ่งอย่างน้อยต้องมีมื้อหนึ่งเป็นเนื้อสัตว์ เพื่อรับรับประกันได้ว่าจะมีแรงไปทำงานตรากตรำ บนโต๊ะในครัวมีหมูรมควันตากแห้งสีคล้ำเข้มหั่นไว้เจ็ดแปดชิ้น ถั่วฝักยาวหนึ่งกำ มะเขือยาวสองลูก แป้งธัญพืชผสมแป้งสาลีอีกชามหนึ่ง… นี่คือวัตถุดิบทำอาหารกลางวันสำหรับคนหกคน
กู้เยี่ยลูบท้องที่ร้องจ๊อกๆ นางไม่ขอกิน ‘น้ำสุขภาพ’ ที่ไม่มีความอร่อยเป็นอาหารอีก นางย้ายม้านั่งแล้วปีนขึ้นไปหยิบแป้งสาลีครึ่งถ้วยในตะกร้าที่แขวนห้อยลงมาจากขื่อ ทั้งยังเปิดไหกระเบื้องที่หลิวซื่อซ่อนไว้ หยิบไข่ไก่ฟองหนึ่งจากในนั้นออกมา แล้วหยิบผักปวยเล้งมาอีกหลายใบ ทำน้ำแกงแป้งก้อนใส่ผักปวยเล้งให้ตัวเองหนึ่งชาม น้ำแกงหอมๆ ร้อนๆ ช่วยเติมท้องให้นางได้หนึ่งอิ่ม
ดีที่เจ้าของร่างเดิมมีฝีมือทำอาหารที่นับว่าใช้ได้ ต้องรู้ก่อนว่านางในชาติที่แล้ว แม้แต่ต้มโจ๊กยังทำให้ครัวไหม้ได้
สวนด้านหลังเลี้ยงหมูอยู่สองตัว กับแม่ไก่อีกหกตัว หลังจากให้อาหารสัตว์ในบ้านเสร็จแล้ว กู้เยี่ยก็เริ่มทำอาหารกลางวัน เตาหนึ่งต้มโจ๊ก อีกเตาหนึ่งผัดถั่วฝักยาวมะเขือยาวใส่หมูรมควัน บนขอบกระทะยังแปะแป้งปิ่งอุ่นย่างให้ร้อนด้วย… เจ้าของร่างนี้ทำกับข้าวเช่นนี้เสมอมา
กู้เยี่ยหาเครื่องปรุงมาจากในห้วงมิติ ครั้นแล้วกับข้าวที่ไม่ได้ปรุงอะไรในยามปกติ ก็เพิ่มรสชาติด้วยผงห้าหอม1และผงไก่สกัดลงไปเล็กน้อย แม้ไม่รู้ว่าสัดส่วนที่ต้องใส่นั้นถูกต้องหรือไม่ แต่ก็ดีกว่าผัดกับน้ำเปล่าๆ มาก กู้เยี่ยตักผักดองจากไหออกมาถ้วยหนึ่งสับหยาบๆ เป็นชิ้นเล็กๆ จากนั้นก็ใส่กระทะผัดเป็นผัดผักกาดดอง เพียงเท่านี้ก็เสร็จภารกิจทำอาหารกลางวันแล้ว
นางมองดูอาหารที่สีสันน่ากินเหล่านี้ ในใจรู้สึกถึงความสำเร็จอย่างหนึ่ง… นี่นับเป็นครั้งแรกที่นางทำอาหารเพียงลำพังสำเร็จเชียวนะ มิหนำซ้ำครัวก็ยังอยู่ดีด้วย! ควรให้เจ้าก้อนน้ำแข็งนั่นมาเห็นฝีมือของนางเสียบ้าง ยังจะกล้าบอกว่านางทำอาหารไม่ได้เรื่องอีกหรือไม่
รอยยิ้มกระหยิ่มกริ่มใจค่อยๆ จางลงไป กู้เยี่ยนึกถึงชั่วขณะที่ตนเองในชาติที่แล้วถูกฝูงอสูรกลืนกิน ได้ยินเสียงร้องเรียกที่แสนคุ้นเคย และเห็นภาพใบหน้าที่หล่อเหลาทว่าโศกเศร้าและสิ้นหวังในช่วงเวลาสุดท้าย ที่แท้ใบหน้าที่เย็นชาดุจน้ำแข็งนั้นก็เผยความรู้สึกอย่างอื่นได้เหมือนกัน
“น้อง” เสียงกู้หมิงขัดห้วงความคิดของนาง “ร่างกายเจ้ายังไม่แข็งแรงดี รีบกลับไปนอนต่อเถอะ งานบ้านพวกนี้ให้ข้าทำ… เจ้าทำกับข้าวเสร็จแล้วรึ เหนื่อยหรือไม่ รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”
กู้เยี่ยหันไปยิ้มให้เขา “พี่ชาย ข้าไม่ได้อ่อนแอเช่นนั้นเสียหน่อย ท่านหมออู๋บอกว่าให้ข้าลุกขึ้นมาหยิบจับทำอะไรบ้าง ถึงจะดีต่อสุขภาพ มา ท่านช่วยชิมอาหารที่ข้าทำหน่อยว่าเป็นอย่างไรบ้าง” นางทำหน้าร้องขอคำชม
กู้หมิงอ้าปากรับมะเขือที่ถูกป้อนส่งมาถึงปากชิ้นหนึ่ง เคี้ยวๆ อย่างตั้งใจ ดวงตาพลันวาวประกาย ก่อนเอ่ยปากชมอย่างไม่ตระหนี่ถี่เหนียวเลยสักนิด “น้องสาวข้าทำอาหารอร่อยที่สุดแล้ว อาหารที่หญิงใจร้ายผู้นั้นทำเหมือนอาหารหมูอย่างไรอย่างนั้น” หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น กู้หมิงก็ไม่เรียกหลิวซื่อว่า ‘ท่านแม่’ อีกเลย
กู้เยี่ยหัวเราะคิกคัก ทั้งยังกะพริบตาให้เขาอย่างซุกซน “พี่ชาย ท่านพูดเช่นนี้ก็เหมือนว่าพวกเราสองคนเป็นหมูไปด้วยน่ะสิ”
กู้หมิงอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะตามเช่นกัน หลังจากน้องสาวล้มป่วยคราวนี้ นิสัยก็เปลี่ยนเป็นร่าเริงสดใสขึ้นมาก ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนนี้ที่แค่เพียงลมพัดก็ตกใจจนตัวสั่นงันงก หน้าซีดเผือด คิดแต่จะหลบซ่อนอยู่ข้างหลัง ที่ผ่านมากู้หมิงต้องยืนหยัดเข้มแข็ง ฝืนยิ้มเพื่อปกป้องน้องสาวของตน ยอมโอนอ่อนตามหลิวซื่อทั้งที่ไม่เต็มใจ
กู้หมิงช่วยน้องสาวนำอาหารใส่ตะกร้า หิ้วไปที่แปลงนา กู้เยี่ยเดินตามหลังเขาไปช้าๆ เดิมทีกู้เยี่ยอยากช่วยถือด้วย แต่ถูกพี่ชายปฏิเสธหนักแน่น นางมองดูกู้หมิงที่เดินอยู่ข้างหน้า หิ้วตะกร้าอาหารอย่างใช้แรงอยู่บ้าง หัวใจของกู้เยี่ยก็รู้สึกอบอุ่นตื้นตัน… มีพี่ชายที่คอยดูแลกันเช่นนี้ ช่างดีเหลือเกิน
“เยี่ยเอ๋อร์ เอาข้าวมาส่งพ่อเจ้าเหรอ”
“เยี่ยเอ๋อร์ เจ้าหายป่วยมาช่วยขุดดินได้แล้วหรือ”
“เยี่ยเอ๋อร์น้อย เจ้าตัวผอมเกินไปแล้วนะ กินเยอะๆ หน่อย ถ้าแม่เจ้าไม่ยอมให้กินอีก ก็มาเอาที่บ้านน้าได้นะ คิดเสียว่าน้าให้พวกเจ้ายืม อย่าทรมานตัวเองอีกล่ะ เดี๋ยวจะป่วยไปเสียก่อน”
ในทุ่งนาสองข้างทาง เหล่าชาวบ้านซึ่งกำลังเก็บเกี่ยวพืชผลกันอยู่เห็นสองพี่น้องเดินตามกันมา ก็พากันเข้ามาทักทายอย่างเป็นกันเอง กู้เยี่ยผู้นี้คุ้นเคยแต่กับความสัมพันธ์ที่เย็นชาและเพื่อหาประโยชน์เท่านั้น เมื่อถูกชาวบ้านรุมล้อมอย่างอบอุ่นโดยไม่ทันได้ตั้งตัว จึงไม่รู้ว่าควรรับมือเช่นไร ได้แต่พยักหน้ายิ้มให้คนเหล่านั้น เจ้าของร่างคนเดิมมีนิสัยขี้กลัวเป็นทุนอยู่แล้ว บรรดาชาวบ้านจึงไม่ได้รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงไปของนางเลย
“เจ้ากู้หมิงตัวดี จะขี้ทีก็ไปไกลเหลือเกิน ไปถึงที่บ้านเลยหรือไง! เจ้าเด็กขี้เกียจ ให้ทำงานเข้าหน่อยก็แอบอู้เล่นลูกไม้! บอกไว้ก่อนเลยนะ ถ้าเก็บข้าวเกาเหลียง2สองหมู่นี้ไม่เสร็จ เย็นนี้ก็อย่าคิดว่าจะได้กินข้าวเลย!” หลิวซื่อเห็นกู้หมิงช่วยกู้เยี่ยหิ้วอาหารมาแต่ไกลก็พานโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ กระทืบเท้าเร่าๆ ปากก็บ่นว่าจนน้ำลายกระเด็นไปทั่ว
“เมียเจ้าเจ็ด ข้าเห็นเจ้าก็ไม่ได้เหนื่อยอะไร แถมยังมีแรงเต้นเร่าๆ เป็นสาวนี่ดีจังนะ ข้านี่หอบสังขารกรำงานมาครึ่งวัน แม้แต่แรงจะพูดยังไม่ค่อยมีเลย” ผู้ที่พูดประโยคนี้คือย่าสามของสกุลกู้ เรื่องที่หลิวซื่อทำไม่ดีกับลูกๆ ของอดีตภรรยากู้เฉียว นางเห็นจนสุดจะทนแล้ว
สามีของย่าสามเป็นน้องชายแท้ๆ ของประมุขสกุล ตอนยังสาวๆ เรื่องตีฝีปากนั้นไม่เคยยอมลงให้ใคร เรื่องทะเลาะเบาะแว้ง หาคนในหมู่บ้านเป็นคู่ปรับได้ยากมาก ครั้นแก่ตัวนิสัยจึงได้อ่อนโยนลงบ้าง
หลิวซื่อไม่อยากล่วงเกินญาติสายของประมุขสกุล พอได้ยินดังนั้นจึงเงียบปาก แต่ในใจยังบ่นอุบ… พูดออกมาได้ว่าไม่มีแรงจะพูด ที่พูดออกมานี่ก็ใช่น้อยเสียเมื่อไร
หลิวซื่อพุ่งไปแย่งตะกร้าอาหารมา สายตาเหมือนสุนัขป่าหิวโซจ้องเหยื่อตรงหน้า นางมองดูหมูรมควันในอาหารและนับวนอยู่หลายรอบ แล้วหยิบเอาแป้งปิ่งออกมากะประมาณบนมือดูทีละแผ่นๆ จากนั้นก็หันกลับมาจ้องกู้เยี่ยด้วยสายตาดุๆ พร้อมแผดเสียงวางอำนาจใส่ “นางหนู เจ้าแอบขโมยกินของในบ้านไปหรือไม่”
“ข้าขโมยกินหรือไม่ ถึงคนอื่นไม่รู้ แต่ท่านจะไม่รู้ได้หรือ” หากเป็นเจ้าของร่างคนเดิม ถูกสายตาดุร้ายของหลิวซื่อจ้องเขม็งมาเช่นนี้คงตกใจกลัวลนลานไปแล้ว แต่กู้เยี่ยกลับทำเหมือนมองไม่เห็น ทั้งยังย้อนถามด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ไม่ร้อนรนไม่อึกอัก
หลิวซื่อถูกย้อนจนสะอึก อารมณ์พลุ่งขึ้นไปถึงหัว กำลังคิดจะอ้าปากด่า กลับถูกลูกชายของตัวเองขัดขึ้นเสียก่อน “หิวจะตายแล้ว! ทำไมมาส่งข้าวช้าเช่นนี้ เจ้าแอบอู้งานอยู่ที่บ้านหรือ”
ต้าจ้วงพูดพลางหยิบแป้งปิ่งในตะกร้ามาแผ่นหนึ่ง ขณะกำลังจะใช้มือหยิบหมูรมควันขึ้นมา ก็ถูกหลิวซื่อตีหลังมือ “ไม่มีระเบียบเลย ท่านพ่อพวกเจ้ายังไม่มา เนื้อพวกนี้ใครก็ห้ามแตะต้อง! พ่อจ๊ะ! กินข้าวเถอะ พักสักหน่อยแล้วค่อยไปทำต่อ…”
กู้เยี่ยยกชามโจ๊กให้ทุกคนคนละชาม หลิวซื่อเริ่มแบ่งแป้งปิ่ง โดยแบ่งให้กู้หมิงและน้องสาวเพียงแค่หนึ่งในสามของแผ่นเท่านั้น หลังจากนางแบ่งหมูรมควันให้ต้าจ้วงเสี่ยวจ้วงคนละชิ้นแล้ว ที่เหลือล้วนให้กู้เฉียวทั้งหมด ไม่เก็บไว้เพื่อตัวเองเลย ดังนั้นกู้หมิงกับกู้เยี่ยยิ่งไม่ต้องคิดว่าจะได้
ผัดผักที่เติมเครื่องเทศและเครื่องปรุงลงไป รสชาติย่อมดีกว่าเดิมมาก ต้าจ้วงกับเสี่ยวจ้วงยื่นตะเกียบมาคีบไม่หยุดราวกับผีอดอยากหิวโหย กู้หมิงเองก็ขยับตะเกียบคีบอาหารว่องไวกว่าปกติเช่นกัน เพียงแต่ไม่ได้คีบให้ตัวเองเท่านั้น แต่ยังคีบให้น้องสาวอยู่ตลอดด้วย
กู้เยี่ยเพิ่งกินน้ำแกงแป้งก้อนมาชามหนึ่ง แป้งปิ่งในมือกินไปเพียงสองคำก็ยัดใส่มือพี่ชาย “พี่ชาย กระเพาะข้ายังไม่ควรกินอะไรหนักๆ ไม่อย่างนั้นจะปวดท้องอีก ท่านช่วยข้ากินแป้งปิ่งนี่ทีเถอะนะ”
กู้หมิงไม่ได้ผลักออก อาศัยจังหวะที่หลิวซื่อไม่ทันสังเกต กระซิบข้างหูน้องสาวเบาๆ ว่า “เย็นนี้ข้าจะไปขอยืมผักกาดขาวจากอาสะใภ้เก้ามาต้มโจ๊กให้เจ้าดื่ม”
“ไม่ต้องหรอก เสบียงอาหารของอาสะใภ้เก้าก็ไม่ได้มีมากมายเหลือเฟือ รบกวนคนเขาบ่อยๆ ไม่ดีเลย” กู้เยี่ยลังเลเล็กน้อย อย่างไรเสียก็เป็นเพียงสะใภ้ในสกุล นางกลัวว่าสายสัมพันธ์ที่มีอยู่เพียงน้อยนิดนี้ อาจค่อยๆ หมดลงเพราะการไปหยิบยืมเสบียงมาครั้งแล้วครั้งเล่า
“น้องไม่ต้องกังวลไป ขอเพียงเจ้าหายดี สายสัมพันธ์ยิ่งใหญ่กว่านี้ย่อมต้องมีวันเพิ่มพูนขึ้นแน่นอน” กู้หมิงตัดสินใจแล้วว่าเย็นนี้จะไปดูกับดักที่ตนเองขุดไว้สองสามจุด หวังว่าจะดักเหยื่อได้ทั้งหมด
ตอนนี้เอง กู้เฉียวก็เอ่ยขึ้น “เยี่ยเอ๋อร์ ร่างกายเจ้าอ่อนแอ ทำงานหนักไม่ได้ ต่อไปเจ้าก็รับหน้าที่ทำอาหารก็แล้วกัน ส่วนงานอื่นๆ… แม่ หลายวันนี้ลำบากเจ้าหน่อยนะ”
หลิวซื่อหน้าตึงขึ้นทันที “เรื่องในบ้านนอกบ้านล้วนยกให้ข้าทั้งนั้น เหนื่อยจะเป็นจะตายยังไม่มีคนสำนึกบุณคุณ แถมยังถูกชี้หน้าหาว่าทรมาทรกรรมเด็กอีก ท่านว่านี่ข้าทำไปเพื่ออะไรกัน”
หลังจากกินข้าวเสร็จ กู้เยี่ยไม่ได้รีบกลับบ้านทันที นางตัดสินใจอยู่ช่วยพี่ชายเกี่ยวข้าวเกาเหลียงสองหมู่นั้น เพราะหลิวซื่อบอกว่าถ้าเกี่ยวไม่เสร็จ พี่ชายก็จะไม่มีข้าวกินเย็นนี้ ต้องรู้ก่อนว่า ผู้ใหญ่หนึ่งคนก็เกี่ยวข้าวได้วันละประมาณสองหมู่เท่านั้นเหมือนกัน
กู้หมิงก้มลงเกี่ยวข้าวเกาหลียง กู้เยี่ยก็ช่วยเก็บรวงมามัดเป็นกำๆ สองคนร่วมแรงแข็งขัน งานจึงเดินเร็วขึ้นไม่น้อย กู้หมิงไม่วายห่วง กลัวว่าน้องสาวจะเหนื่อยเกินไป จึงคอยบอกให้น้องไปพักอยู่เป็นระยะ
1 ผงห้าหอม ประกอบด้วยเครื่องเทศ 5 ชนิด ได้แก่ โป๊ยกั้ก พริกหอม เมล็ดผักชีล้อม กานพลู และอบเชย
2 เกาเหลียง เป็นข้าวฟ่างชนิดหนึ่ง เมล็ดสีแดง
ความเห็น 0