คนไข้ของเราคนนี้เป็นผู้ชาย อายุประมาณเราเนี่ยแหละ
เขาย้ายเมืองอยู่หลายครั้ง และทุกครั้งเขาก็จะเล่าให้เราฟังถึงงานที่เขาได้รับในแต่ละเมืองเสมอ
แต่เขาก็มีอดีตความรักที่ไม่ใช่แค่ไม่สมหวัง
แต่มันฟังดูน่าเจ็บปวดและฝากแผลเป็นไว้ซะเหวอะเหลือเกิน
ครั้งนี้ …
เขาบอกเราว่าเขาทั้งเครียด ทั้งประหม่า เหมือนงานของเขาตอนนี้มันชะงักเอาไว้
เรา ผู้ซึ่งสัมผัสได้ถึงความทรมานใจกับความรักครั้งเก่าของเขาอย่างเหลือล้น
ถามเขาไปว่า
‘เพราะเหตุการณ์ในความรักครั้งนั้นใช่ไหม ที่ทำให้คุณยังยึดติดและรู้สึกไปไหนไม่ได้’
เขามองหน้าเราด้วยดวงตางุนงง
และบอกเราว่า
‘อืมม… ไม่นะ’
.
.
.
วินาทีนั้น เหมือนเราโดนดีดนิ้วใส่หน้าดังๆ
เราเข้าใจตัวเองทันทีเลยว่า
ที่เราพูดไปแบบนั้น
เพราะเราเป็นคน ‘เห็นความสัมพันธ์เป็นเรื่องสำคัญที่สุด’
คนอย่างเรา เมื่อใดก็ตามที่ความสัมพันธ์โคลงเคลง
ทะเลาะกับแฟนบ้าง คนรักไม่สนใจบ้าง
อย่างอื่นในชีวิตเรา ก็จะได้รับความกระทบกระเทือนไปตามๆ กันเหมือนโดมิโน
แต่ความจริงแล้ว ยังมีคนอีกหลายคนในโลกนี้
ที่ ‘เห็นหน้าที่การงานสำคัญที่สุด’
ความทุกข์ที่เขามีอยู่นี้
นั้นเป็นเพราะเขายังไปไม่ถึงจุดหมายที่เขาวาดไว้ซะทีก็แค่นั้น
‘รากฐานความสุขของเขา’ คือการมีคน ‘เคารพยกย่อง นับถือ’
แต่ ‘รากฐานความสุข’ ของเรา คือการ ‘ได้เป็นที่รัก’
หากเราใช้รากฐานของตัวเอง
ยึดเอาไว้มั่น และตัดสินคนอื่นจากแค่มุมมองของเราเท่านั้น
เราจะเข้าใจเขาอย่างลึกซึ้งไม่ได้เลย
เพราะเมฆหมอกแห่งอัตตาของเรามันบังความจริงนั้นออกไปหมด
.
.
.
หลายครั้ง เราด่าทอความสัมพันธ์ของเพื่อนว่าเพื่อนควรเลิกกับแฟนได้แล้ว
เพราะแฟนของเพื่อนสนิทคนนี้ ไม่ดีพอในสายตาเรา
แต่เราลืมคิดไปว่า
แล้ว ‘ดีในสายตาเพื่อน’ กับ ‘เพียบพร้อมในสายตาเรา’
มันยึดคนละหลักกันซะหน่อย
.
.
.
หลายคนถูกเลี้ยง และเติบโตมาในสังคมที่
‘การส่งมอบความรัก’ คือการทำให้มั่นใจว่า คนที่เรารัก จะได้และมีทุกอย่างที่ดีเลิศ เอียงๆ ไปในทางสมบูรณ์แบบให้มากที่สุด ‘โดยยึดจากหลักความสมบูรณ์แบบของตัวเราเป็นที่ตั้ง’
หลายคนได้รับการดูแลและพร่ำสอนจากพ่อแม่
ให้อยู่โรงเรียนที่ดี
มีงานอดิเรกที่ดี
มีคำพูด ทัศนคติที่ดี
มีสังคมที่ดี
มีหน้าที่การงานที่ดี
ตัดสินใจเลือกเส้นทางชีวิตที่ดี
‘จากมุมมองและความเชื่อของพ่อและแม่’
ซึ่งเราเข้าใจทุกอย่าง ว่ามันมาจากความตั้งใจที่อยากให้ลูกได้รับสิ่งที่ดีที่สุด
ถ้าเราไม่มาเรียนจิตวิทยาที่อเมริกานี้
ใครจะไปรู้ เราอาจจะเลี้ยงลูกของเราแบบนี้ก็ได้
เพราะเราคงเชื่อว่า เราเห็นอะไรมามากกว่า เราต้องรู้ดีกว่าลูกอยู่แล้ว
แต่สิ่งที่มีค่าไปกว่านั้น
คือการได้ทำความเข้าใจ พูดคุย หรือแม้กระทั่งถกเถียง
ถึงสิ่งที่ลูกรู้สึกอยู่ในใจ
บางทีความห่วงใยเหลือล้น กลับกลายเป็นกรงขังเคลือบทอง
สวยจากภายนอก แต่อึดอัดจากภายใน
และเด็กหลายคน เติบโตมาด้วยความว่างเปล่าในจิตใจ
เพราะใช้ทั้ีงชีวิต พยายาม ‘เป็น’ อย่างที่คนอื่นอยากให้เขาเป็น
ไม่รู้แน่ชัดว่าตัวตนของตัวเองเป็นอย่างไร
เวลามีความสัมพันธ์กับใคร มันเลยง่ายมาก ที่จะหลอมรวมไปเป็นคนๆ นั้น
ไม่รู้ว่าขอบเขตของตัวเองอยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่าความต้องการของตัวเองลึกๆ คืออะไร
.
.
.
ที่เล่าให้ฟัง
เพราะอยากให้ทุกคนเห็นภาพ ว่ามันมีที่มาที่ไป
กับความคาดหวังที่เรามีให้ตัวเอง
และดังนั้นเลยมอบให้คนอื่น
กลายเป็นทำให้เขาไม่สบายใจได้โดยไม่รู้ตัว
เราเลยแค่อยากลองชวน ลดเวลาที่เอาไปสับสนงุนงงหรือบางครั้งต่อต้านกับสิ่งที่คนอื่นทำเพระามันขัดกับบางอย่างลึกๆ ของเรา
แล้วหันมาเปิดใจ ให้คนที่เรารักคนนั้น ด้วยความเปิดกว้างอย่างไม่มีอคติกั้น
.
.
.
เพราะการได้เข้าใจใครสักคนอย่างลึกซึ้ง
เป็นหนึ่งในการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ และเป็นเกียรติสำหรับหัวใจของเราเลย
ติดตามคอนเทนต์จากเพจ Beautiful Madness by Mafuang บน LINE TODAY ได้ทุกวันอังคาร
ความเห็น 3
Tickety-Boo!!!🐈
การรักใครสักคน..!!!
เราต้องรักในสิ่งที่เค้าเป็น.
ไม่ใช่รัก..ในสิ่งที่ " อยาก " จะให้เค้าเป็น.
01 ต.ค. 2562 เวลา 17.52 น.
บางครั้งในการให้คำแนะนำและการให้กำลังใจกัน ก็อาจสามารถที่จะทำให้ผ่านพ้นกับในปัญหาต่างๆไปได้ด้วยดี หากแต่ก็ต้องอยู่ในขอบเขตของในความถูกต้องที่เป็นหลักสำคัญด้วย.
01 ต.ค. 2562 เวลา 08.29 น.
BW
คนบางคนโชคดีที่ค้นหาและรู้จักตัวตนของตัวเอง ก็จะสามารถดำเนินชีวิตไปได้ดี แต่สำหรับอีกหลายๆคนที่ยังไม่รู้จุดยืนของตัวเองก็ขอให้สู้ต่อไป เราก็เป็นอีกคนที่ทุกข์และก็ยังไม่แน่ใจว่าสุขอยู่ตรงไหน อาจจะอยู่ที่ใจก็ได้แต่ก็ยังไปไม่ได้สักที่
01 ต.ค. 2562 เวลา 17.28 น.
ดูทั้งหมด