โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

ข้อมูลดิจิทัลของคนตาย : ตัวตนของเราควรถูกจัดเก็บไว้อย่างไรในวาระสุดท้าย?

The MATTER

เผยแพร่ 09 ก.ย 2564 เวลา 03.41 น. • Have a Geek Time

ข่าวการฆ่าตัวตายของ แอนโทนี บูร์เดน (Anthony Bourdain) หนึ่งในเชฟ/เซเลบริตี้/นักเขียน/นักสารคดีเดินทางชาวอเมริกันชื่อดังในปี ค.ศ.2018 ทำให้เกิดคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับชายวัย 61 ปีคนหนึ่งที่ภายนอก การงาน อาชีพ และทุกอย่างดูเพรียบพร้อมไปซะหมด นั้นคือสิ่งที่ มอร์แกน เนวิล (Morgan Neville) ผู้กำกับชาวอเมริกันที่นิวยอร์กพยามยามจะหาคำตอบและนำเสนอในภาพยนตร์สารคดี Roadrunner: A Film About Anthony Bourdain ที่ติดตามชีวิตและอาชีพของเชฟชื่อดังคนนี้

ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกฉายในอเมริกาครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ.2021 และเสียงตอบรับกลับมาค่อนข้างดี  เว็บไซต์รีวิวอย่าง Rottentomatoes มีคะแนนเฉลี่ยประมาณ 8/10 จากทั้งหมด 134 รีวิว ซึ่งถือว่าไม่แย่เลย เหล่าแฟนคลับและผู้ที่ชื่อชอบผลงานของบูร์เดนต่างชื่นชอบสารคดีชิ้นนี้ ทว่าหลังจากบทสัมภาษณ์ของเนวิลเกี่ยวกับสารคดีเรื่องนี้ มีประเด็นน่าสนใจที่ผุดออกมาคือเนวิลบอกว่ามีบางส่วนของเสียงในสารดีที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ด้วย AI (artificial intelligence) เป็นประโยคที่บูร์เดนไม่เคยพูดเลยเพราะมันเป็นข้อความในอีเมลส่วนตัวที่บูร์เดนเขียนส่งให้เพื่อนสนิท บูร์เดนไม่เคยพูดประโยคนั้นออกมาในการสัมภาษณ์หรือคุยให้ใครฟัง มันเลยจุดประเด็นถกเถียงเชิงจริยธรรมว่าเรื่องแบบนี้สมควรเกิดขึ้นไหม? คนที่ตายไปแล้วเขาก็ไม่มีปากมีเสียง ซึ่งในกรณีแบบนี้มันคือการหาผลประโยชน์จากข้อมูลของคนที่ไม่มีอยู่แล้วบนโลกใบนี้รึเปล่า?

ถ้าไปตามอ่านคอมเมนต์เกี่ยวกับประเด็นนี้จะเห็นได้เลยว่าถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งอย่างชัดเจน ส่วนที่เห็นด้วยบอกว่ามันเป็นการเพิ่มอรรถรสในการรับชม ส่วนอีกฝั่งหนึ่งก็แน่นอนบอกว่ามันเป็นการล่วงละเมิดข้อมูลของผู้ตายและนำมาใช้เพื่อสร้างประโยชน์

ประโยคดังกล่าวที่บูร์เดนเขียนให้ เดวิด โช (David Choe) เพื่อนสนิทของเขาในอีเมลบอกว่า

“เพื่อน มีอะไรบ้าบออย่างจะถาม แต่อดสงสัยไม่ได้เลย … ชีวิต [ของผม] ตอนนี้มันเชี้ยมาก คุณประสบความสำเร็จในชีวิต ผมก็ประสบความสำเร็จ และผมก็มานั่งคิดว่า : ผมมีความสุขรึเปล่านะ?”

ซึ่งเจ้าประโยคนี้แหละที่เป็นปัญหา เนวิลนำพวกวีดีโอที่มีเสียงของบูร์เดนไปให้บริษัทหนึ่งฝึก AI ให้พูดคำพูดเหล่านั้นให้ออกมามีสไตล์และน้ำเสียงที่เหมือนกับบูร์เดนจนแทบจะแยกไม่ออกเลยว่ามันเป็นแมชชีน (ซึ่งนอกจากปัญหาเรื่องจริยธรรมแล้วก็อย่าลืมว่าเวลาเราพิมพ์บางทีโทนเสียงหรือการตีความจากภาษานั้นอาจจะไม่ตรงกันก็ได้ ในอีเมลที่เขียนอาจจะเป็นการคุยเล่นหรือเพียงส่วนหนึ่งของบริบทที่ใหญ่กว่านั้น พอหยิบยกมาแค่นี้และทำให้เสียงดูทึมๆ ก็เหมือนว่านี่คือสิ่งที่เขาอยากจะสื่อ แต่ความจริงแล้วความตั้งใจอาจจะซับซ้อนกว่านั้น)

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราเห็นการเอาข้อมูลของคนที่ไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้วมาชุบชีวิตให้เหมือนกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง The Matter เคยกล่าวประเด็นนี้ไว้เมื่อช่วงต้นปีที่เว็บไซต์ MyHeritage เปิดตัวเทคโนโลยี ‘Deep Nostalgia’ สร้างภาพเคลื่อนไหวของคนที่เสียชีวิตไปแล้วจากรูปถ่ายเพียงใบเดียว โดยตอนนั้นกลายเป็นกระแสอย่างมาก มีการเอาบุคคลที่มีชื่อเสียงอย่าง แวน โก๊ะ, มาร์ติน ลูเธอร์คิง หรืออดีตประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น สร้างเป็นภาพเคลื่อนไหวโดยใช้เทคโนโลยี deep fake (AI เทคโนโลยีที่ดัดแปลงเปลี่ยนคำพูด หน้าตา ของคนในคลิปได้ด้วยซอฟต์แวร์ ใครสนใจฟังเรื่องนี้ลองตามพอดแคสนี้ไปครับ Deepfake AI กับการสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ด้วยคำลว)

อีกตัวอย่างหนึ่งที่เป็นข่าวดังเหมือนกันช่วงเดือนตุลาคม ค.ศ.2020 ที่ คานเย เวสต์ (Kanye West) นักร้องชื่อดัง มอบของวัญวันเกิดให้ คิม คาร์แดเชียน (Kim Kardashian) ภรรยาและผู้มีชื่อเสียงบนโลกออนไลน์ โดยการสร้างโฮโลแกรมของพ่อเธอที่จากไปแล้ว ซึ่งก็เหมือนกับคลิปเสียงของบูร์เดนที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ทั้งหมดด้วยคอมพิวเตอร์จากข้อมูลเก่า ๆ ที่เป็นคลิปเสียงของพ่อของเธอ (ข้อมูลที่ได้มาบอกว่าค่าใช้จ่ายในการสร้างอะไรแบบนี้อยู่ที่ประมาณ 1-3 ล้านบาท)

สิ่งที่ทำให้คิดต่อก็คือว่าข้อมูลเหล่านี้ อย่างคลิปเสียง ภาพถ่าย งานเขียน อีเมล หรือแม้แต่สเตตัสเฟสบุ๊กเมื่อเราตายไปแล้วมันควรไปอยู่ไหนและควรมีใครเข้าถึงมันได้บ้าง เพราะตั้งแต่อินเทอร์เน็ตได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต (ถ้าบอกว่าไม่ใช่คงไม่ได้แล้ว) มนุษย์ได้มีการสร้างและแชร์ข้อมูลออนไลน์กันมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ละนาทีมีคนเสิร์ชบนกูเกิลกว่า 3.8 ล้านครั้ง ส่งอีเมล 188 ล้านอีเมล และดูยูทูบวีดีโอ 4.5 ล้านครั้ง โดยพฤติกรรมหรือข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ถูกติดตามและเก็บเอาไว้บนออนไลน์ทั้งหมด นักปรัชญาบางคนถึงกับยกประเด็นขึ้นมาว่าตอนนี้ตัวตนของเราไม่ได้มีแค่ร่างกายกับความคิดเท่านั้น มันต้องรวมตัวตนออนไลน์ไปด้วย

คาร์ล โอมาน (Carl Ohman) นักจริยธรรมดิจิทัลอธิบายเอาไว้ว่าข้อมูลจำนวนมหาศาลเหล่านี้จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมครั้งใหญ่เลยทีเดียว เหตุผลก็เพราะว่าในสมัยก่อนที่ยังไม่มีอินเทอร์เน็ตนั้น ข้อมูลที่ถูกบันทึกเอาไว้จะมาจากกลุ่มชนชั้นคนมั่งคั่งร่ำรวยเท่านั้น คนทั่วไปนั้นน้อยมากจนแทบจะไม่มีเลยด้วยซ้ำ หรือถ้ามีก็อาจจะเป็นมุมมองที่มาจากภายนอก ไม่ใช่คนที่อยู่ในชนชั้นนั้นจริงๆ โอมานยังคาดการณ์เอาไว้ว่าเมื่อสิ้นสุดศตวรรษนี้แล้วบัญชีของเฟซบุ๊ค (ถ้าโซเชียลมีเดียนี้ยังคงอยู่ต่อไปเรื่อยๆ) ที่ผู้ใช้ได้ตายไปแล้วจะมีอยู่มากถึง 4,900 ล้านคน

มันจะไม่ใช่แค่คำถามที่ว่าลูกของผมควรทำยังไงกับบัญชีเฟสบุ๊กของผมเมื่อผมตายไปแล้ว? แต่มันเป็นคำถามที่กว้างกว่านั้นว่าคนรุ่นต่อไปจะทำยังไงกับข้อมูลของทั้งเจเนอเรชั่นก่อนหน้าที่ตายไปหมดแล้วดี? มันเป็นข้อมูลสะสมจำนวนมหาศาลที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์มนุษย์ เป็นบันทึกเรื่องราวทุกเหตุการณ์จากทั่วทุกมุมโลกแบบลงรายละเอียดทุกอย่าง ทั้งด้านมืด ด้านสว่าง และด้านสีเทา

โอมานเลยเสนอไอเดียว่าเราควรมีการเก็บข้อมูลเหล่านี้เอาไว้ในฐานะของข้อมูลจากโบราณสถาน คล้ายกับข้อมูลมรดกโลกแบบดิจิทัล โดยจะถูกดูแลและจัดเก็บโดยเหล่าผู้เชี่ยวชาญ เพื่อป้องกันการถูกนำไปใช้ประโยชน์อย่างไม่ถูกต้อง และถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนอยากค้นหาข้อมูลการเคลื่อนไหวทางสังคมครั้งใหญ่ อย่าง ‘ม็อบในประเทศไทยปี พ.ศ.2564’ ‘ปรากฎการณ์ #MeToo’ หรือ ‘เหตุการณ์ 9/11’  ก็สามารถดึงข้อมูลจากคนที่อยู่ในช่วงเวลานั้นกลับขึ้นมาเพื่อนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง โดยจะต้องได้รับอนุญาตจากผู้ดูแลก่อน

แต่ข้อมูลเหล่านี้ควรมีข้อจำกัดที่ว่าเป็นข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะเท่านั้น เหตุการณ์อย่างอีเมลส่วนตัวของบูร์เดนก็ยังไม่ควรมีการเปิดเผยจนกว่าจะได้รับอนุญาตจากคนใกล้ชิดของเขาอยู่ดี ซึ่งในกรณีนี้ ออตตาเวีย บูเซีย (Ottavia Busia) อดีตภรรยาของบูร์เดนยังออกมาทวีตไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “ไม่ใช่ฉันแน่นอนที่บอกว่าโทนี่จะโอเคกับเรื่องนี้” ซึ่งผู้ให้บริการออนไลน์เจ้าใหญ่มักมีกฎตรงนี้ไว้เสมอว่าจะไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งาน แม้จะเสียชีวิตไปแล้ว ตราบใดที่ผู้เสียชีวิตไม่ได้ระบุเอาไว้ก่อนว่าจะให้ใครดูแลหรือถ้ามีผู้ใกล้ชิดมาขอเข้าก็ต้องมีหลักฐานที่ชัดเจนและผ่านกระบวนการตรวจสอบที่เข้มงวดด้วย

ในกรณีของบุคคลสาธารณะ ดารา เซเลบริตี้ (อย่างเช่นบูร์เดน) แรงจูงใจทางการเงินในการสร้างภาพเหมือนหรือเสียงดิจิทัลด้วย AI นั้นค่อนข้างชัดเจน เป็นสาเหตุที่ภาพถ่ายของพวกเขาได้รับการคุ้มครองโดยสิทธิ์ในการประชาสัมพันธ์หลังมรณกรรมนานถึง 70 ปีหลังความตายในแคลิฟอร์เนีย และในนิวยอร์กเดือนธันวาคม ค.ศ.2020 เป็นเวลา 40 ปีหลังการชันสูตรศพ ถ้ามีความต้องการใช้ภาพของผู้เสียชีวิตก่อนหน้านั้นต้องได้รับความยินยอมจากคนใกล้ชิดก่อน (นักแสดงบางคนอย่าง Robin Williams เจาะจงระบุรายละเอียดเพิ่มเข้าไปด้วยว่าหลังจากที่เขาเสียชีวิตจะต้องรอเพิ่มไปอีก 25 ปี ถ้าจะใช้รูปของเขา เพิ่มเติมจากกฎหมายที่บังคับใช้ในแคลิฟอร์เนีย)

แน่นอนว่าสำหรับหลายๆ คนที่ยังอยู่ข้างหลัง การได้เห็น ได้ยิน ได้รับรู้ (แม้จะรู้ว่ามันไม่จริง) ถึงคนที่เรารักจะสามารถเยียวยาและลดทอนความโศกเศร้าจากการสูญเสียพวกเขาไป แต่ถ้าใช้อย่างไม่ระมัดระวังมันก็อาจจะกลายเป็นเป็นดาบสองคมที่ทำให้เราหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วและยึดติดกับเหตุการณ์ที่ไม่สามารถแก้ไขได้อีกต่อไปแล้ว

มีบริษัทอย่าง HereAfter ที่กลุ่มเป้าหมายคือครอบครัว พวกเขาจะสัมภาษณ์ลูกค้าถึงเรื่องเหตุการณ์สำคัญๆ ที่เกิดขึ้น อย่างเช่นตอนที่ลูกเกิด ตอนที่สร้างธุรกิจ ตอนที่แต่งงาน ต่างๆนานา แล้วเอาข้อมูลเหล่านี้ไปสร้างเป็นบอตคล้ายกับ Siri พอรุ่นลูก รุ่นหลาน ที่อยากรู้เกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ว่าพ่อกับแม่เจอกันได้ยังไง หรือทำไมต้องหย่าร้างกัน ฯลฯ ก็สามารถแชตถามกับตัวบอตเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์เหล่านั้น … ในรูปแบบเสียงที่เป็นเสียงของคนที่ให้สัมภาษณ์ด้วย

แพทริก สโตกส์ (Patrick Stokes) อาจารย์อาวุโสด้านปรัชญาที่ Deakin University ผู้เขียนหนังสือ Digital Souls เขียนเอาไว้ว่า

“ถ้าเราเริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งเหล่านี้ ความสัมพันธ์ของเรากับคนที่เรารักคืออะไรล่ะ? เรากำลังทำสิ่งเหล่านี้จากความรักด้วยการโต้ตอบพวกเขาที่ถูกทำให้คืนชีพมาแบบดิจิทัลเหรอ? เรากำลังปกป้องคนตายอยู่หรือเปล่า? หรือกำลังเอาเปรียบพวกเขากันแน่?”

ถ้าข้อมูลที่เราเปิดเป็นสาธารณะจะถูกเก็บรวบรวมเอาไว้เป็นส่วนหนึ่งของบันทึกเหตุการณ์ของยุคสมัย สามารถสร้างคุณค่าในเชิงความรู้และข้อมูลเพื่อทำให้สังคมในอนาคตดีขึ้นเหมือนอย่างที่โอมานเสนอก็คงเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย แต่ว่าถ้ามันถูกนำไปสร้างประโยชน์เชิงพาณิชย์ ยกตัวอย่างเช่นถ้านักเขียนชื่อดังอย่าง สตีเฟน คิง เสียชีวิต แล้วมีใครสักคนหัวใสไปสร้างโฮโลแกรมของเขาขึ้นมา แล้วเอาเสียงที่เป็นบทสัมภาษณ์ต่างๆ ไปฝึก AI เพื่ออ่านหนังสือที่เขาเขียนให้ฟังแล้วหาเงิน ก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรเกิดขึ้น

ตราบเมื่อยังมีชีวิตอยู่ตรงนี้ เรามักคิดถึงวันสุดท้ายของชีวิตว่ามันห่างออกไปเสมอ น้อยครั้งมากที่เราจะมานั่งคำนึงถึงว่าเมื่อเราจากไปแล้วทุกอย่างจะเป็นยังไงบ้าง การเตรียมเรื่องพวกนี้ไว้ไม่ใช่เป็นการวางแผนเพื่อจะตายในวันนี้พรุ่งนี้ แต่เป็นการจัดการเพื่อไม่ให้ทุกอย่างยุ่งยากในภายหลังมากกว่า (ผู้เขียนเคยสรุปเกี่ยวกับวิธีการส่งมอบข้อมูลให้คนใกล้ชิดเอาไว้ในบทความนี้ครับ เมื่อวันหนึ่งเราจากไป บัญชีโซเชียลมีเดียของเราจะเป็นยังไงในโลกออนไลน์?)

เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่การระลึกถึงใครสักคนไม่ใช่แค่การปัดฝุ่นเอารูปถ่ายเก่าๆ ออกมาจากกล่องและเล่าถึงความทรงจำที่เคยมีด้วยกัน แต่เป็นการสร้างเวอร์ชันดิจิทัลของบุคคลที่ไม่มีอยู่แล้วให้กลับมาเหมือนมีชีวิตอีกครั้งหนึ่งแล้ว … และนั้นก็เป็นสิ่งที่ทั้งน่าทึ่งและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน

อ้างอิงข้อมูลจาก

www.nytimes.com

Roadrunner: A Film About Anthony Bourdain - Rotten Tomatoes

seotribunal.com

What Should Happen to Our Data When We Die? | by The New York Times | The New York Times | Jul, 2021 | Medium

onezero.medium.com

journals.sagepub.com

Every Minute Online Is a Battle for Consumer Attention | PCMag

The Ethics of a Deepfake Anthony Bourdain Voice in “Roadrunner” | The New Yorker

Illustration by

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...