โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

รู้จัก "พหุจักรวาล" งานชิ้นสุดท้าย ของ "สตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง"

ประชาชาติธุรกิจ

เผยแพร่ 30 มี.ค. 2561 เวลา 09.00 น.
เเฟ้มภาพ AFP PHOTO / DESIREE MARTIN

ที่มา นสพ.มติชนรายวัน

ไม่กี่เดือนก่อนหน้าที่จะเสียชีวิต ศาสตราจารย์สตีเฟน ฮอว์กิ้ง นักฟิสิกส์ทฤษฎีชาวอังกฤษ เผยแพร่รายงานผลการศึกษาวิจัยชิ้นหนึ่ง ซึ่งส่งผลให้มีข้อสรุปโดยสื่อจำนวนหนึ่งว่า รายงานชิ้นดังกล่าวเป็นผลงานซึ่งสตีเฟน ฮอว์กิ้ง และ โทมัส เฮอร์ท็อก นักฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยคาทอลิกแห่งลูเวนในประเทศเบลเยียม พิสูจน์ว่า มนุษย์เราใช้ชีวิตอยู่ใน “พหุจักรวาล” หรือ “มัลติเวิร์ส”

สื่อบางสำนักไปไกลถึงขนาดว่า นั่นคือข้อพิสูจน์ว่า “โลกคู่ขนาน” มีอยู่จริง

อย่างไรก็ตาม นักฟิสิกส์และนักจักรวาลวิทยาอีกหลายคนระบุว่า งานค้นคว้าวิจัยชิ้นสุดท้ายของฮอว์กิ้งดังกล่าวยังไม่สมบูรณ์พอที่จะทำให้สามารถสรุปดังนั้นได้ โดยสิ่งที่ฮอว์กิ้งคิดในรายงานชิ้นดังกล่าวนั้น ไม่เพียงไม่สามารถพิสูจน์โดยการสังเกตการณ์ได้เท่านั้น กรอบเหตุผลหลักเชิงคณิตศาสตร์ที่ใช้ยังนำมาจากงานการศึกษาวิจัยที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ และยังไม่สมบูรณ์อีกด้วย

(ภาพ-Geralt/Pixabay,)

ซาบีน ฮอสเซนเฟลเดอร์ นักฟิสิกส์ประจำสถาบันเพื่อการศึกษาก้าวหน้าแห่งแฟรงก์เฟิร์ตในประเทศเยอรมนี ระบุว่างานชิ้นสุดท้ายของฮอว์กิ้ง เป็นเพียงแค่ 1 ในแนวความคิดอีกนับพันแนวทางที่นักฟิสิกส์พยายามคิดค้นขึ้นมาเพื่อใช้อธิบายสภาวะในยุคแรกเริ่มของจักรวาล ซึ่งรวมถึงแนวคิดเรื่องโลกคู่ขนานดังกล่าวด้วย

งานวิจัยชิ้นนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2017 เป็นการขยายความคิดเพิ่มเติมจาก 1 ในหลายทฤษฎีที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ยืนยันของฮอว์กิ้ง นั่นคือทฤษฎี “ไร้ขอบเขต (No boundary proposal)” ที่ใช้อธิบาย

ปรากฏการณ์บิ๊กแบงซึ่งเป็นทฤษฎีที่รู้จักกันดีที่สุดของฮอว์กิ้ง ภายใต้การทำงานร่วมกับเจมส์ ฮาร์เทิล นักฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนีย ซานตาบาร์บารา

งานชิ้นนี้เป็นการคิดต่อจากทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่ระบุเอาไว้ว่าก่อนการเกิดบิ๊กแบง จำเป็นต้องมี “เอกภาวะ” (ซิงกูลาริตี้) เกิดขึ้น ภาวะดังกล่าวคือภาวะที่สสารหดตัวลงจนเป็นจุดจุดหนึ่งซึ่งมีความหนาแน่นเป็นอนันต์ มีความร้อนจัด และเป็นภาวะที่กฎทางฟิสิกส์ทั้งหลายใช้การไม่ได้อีกต่อไป

ในคำอธิบายเพิ่มเติมของฮอว์กิ้งและฮาร์เทิล “เอกภาวะ” ดังกล่าวนี้ทั้งกาลและอวกาศถูกบีบอัดรวมกันจนเป็นหนึ่งเดียว เมื่อมองเอกภาวะดังกล่าวในเชิงกาลเวลา จึงดูเหมือนไร้ขอบเขต เหมือนโลกที่เราสามารถเดินไปแต่ไม่ถึงริมขอบสักทีนั่นเอง

เมื่อบรรดานักวิทยาศาสตร์พากันวิเคราะห์แนวความคิดดังกล่าวก็ตระหนักว่า ทฤษฎีไร้ขอบเขตของฮอว์กิ้ง “คาดการณ์ว่า” เมื่อจักรวาลในระยะแรกเกิดนี้ขยายตัวออกไปในทุกทิศทุกทางอย่างเร็วในระดับ “ซุปเปอร์ฟาสต์” นั้น มันจะทำให้เกิดจักรวาลอื่นๆ ผุดขึ้นตามมาด้วย จนในที่สุดก็จะอยู่ในสภาพ “พหุจักรวาล” หรือพูดอีกอย่างหนึ่งได้ว่า ฮอว์กิ้งเสนอเอาไว้ว่า “จักรวาลของเรา” นี้นั้น เป็นเพียง 1 ในจักรวาลคู่ขนาน

ที่มีจำนวนมหาศาลจนเป็นอนันต์ เป็นพหุจักรวาลที่มีคุณลักษณะคล้ายกับแฟรกทัลเรขาคณิต ที่เกิดขึ้นซ้ำในทุกหน่วยวัด ทุกมิติ

ดังนั้น พหุจักรวาลของฮอว์กิ้งจึงนำไปสู่ “พาราด็อกซ์” ที่สำคัญ นั่นคือ ถ้าหากมีจำนวนจักรวาลเป็นอนันต์แล้วละก็ จะไม่มีใครสามารถคาดการณ์แบบที่ทดสอบได้ว่าจักรวาลไหนกันแน่ที่เป็นจักรวาลของเรา ที่มนุษย์เราใช้ชีวิตอยู่ (เมื่อความเป็นไปได้มีค่าเป็นอนันต์ การบ่งชี้ถึงลักษณะจำเพาะของจักรวาลหนึ่งเดียวก็ไม่สามารถทำได้)

เฮอร์ท็อก ผู้ร่วมทำวิจัยชิ้นสุดท้ายบอกว่า ฮอว์กิ้งเองไม่พอใจกับสภาพขัดแย้งในตัวเองดังกล่าวและพยายามหาจุดยุติเรื่องนี้ โดยพยายามพัฒนากรรมวิธีที่จะเปลี่ยนแนวความคิดเรื่องพหุจักรวาลให้อยู่ในกรอบที่สามารถทดสอบความเป็นจริงได้ในเชิงวิทยาศาสตร์

เพื่อลดจำนวนโลกคู่ขนานจากจำนวนที่เป็นอนันต์ลงจำเป็นต้องหาทางเชื่อมโยงหลักการฟิสิกส์ควอนตัมซึ่งเป็นตัวกำหนดเอกภาวะของจักรวาลในระยะทารกเข้ากับกฎทางฟิสิกส์ดั้งเดิมของจักรวาลที่เราใช้ชีวิตอยู่ ในงานวิจัยใหม่ ฮอว์กิ้งกับเฮอร์ท็อกใช้วิธีที่รู้จักกันในชื่อ “โฮโลกราฟี” เพื่อรวมความคิดทั้งสองชุดเข้าด้วยกัน จึงสามารถลดจำนวนจักรวาลในพหุจักรวาลลงเหลือจำนวนที่นับได้ เมื่อมีจักรวาลในจำนวนที่นับได้แล้วก็จะสามารถคาดการณ์เกี่ยวกับคุณลักษณะของจักรวาลเหล่านี้ได้

นั่นหมายถึงว่า ตามแนวทางดังกล่าวนั้น การมีจักรวาลอีกจำนวนหนึ่งซึ่งลักษณะเหมือนกับจักรวาลที่เราอาศัยอยู่ในเวลานี้ ก็มีความเป็นไปได้ขึ้นมา

ตามทฤษฎีไร้ขอบเขตของฮอว์กิ้งกำหนดว่า หลังจากบิ๊กแบง จักรวาลจะเข้าสู่ระยะของการขยายตัวออกอย่างรวดเร็วซึ่งเรียกว่า “คอสมิกอินเฟลชั่น” ทำหน้าที่ขยาย “คลื่นแรงโน้มถ่วงปฐมภูมิ” (ไพรมอเดียล กราวิเตชั่น เวฟ) ที่ทะลักออกมาจากบิ๊กแบงออกไปทุกทิศทุกทาง คลื่นเก่าแก่เมื่อครั้งกำเนิดจักรวาลนี้ถูกบันทึกได้ในสภาพของคลื่นแผ่รังสีไมโครเวฟที่กระจายออกไปทั่วจักรวาล รู้จักกันในชื่อคอสมิก ไมโครเวฟ แบ๊กกราวด์ เรดิเอชั่น (cosmic microwave background radiation-CMB)

เฮอร์ท็อกบอกว่า ถ้าดาวเทียมที่เราผลิตขึ้นมาในอนาคตสามารถตรวจจับคลื่น “ซีเอ็มบี” นี้ได้และแสดงให้เห็นได้ว่าข้อมูลในซีเอ็มบีเทียบเคียงแล้วเข้ากันได้กับภาวะคอสมิก อินเฟลชั่นที่ฮอว์กิ้งทำนายเอาไว้ ก็จะเป็นหลักฐานยืนยันการคงอยู่ของพหุจักรวาลของฮอว์กิ้งนั่นเอง

แต่นักวิทยาศาสตร์อีกจำนวนมากไม่เห็นด้วยกับข้อสรุปดังกล่าว แคที แมค นักจักรวาลวิทยาจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐนอร์ธแคโรไลนา ชี้ว่ามีทฤษฎีอีกเป็นพันที่พูดถึงภาวะ “อินเฟลชั่น” ดังกล่าวไว้ และส่วนใหญ่ของทฤษฎีเหล่านี้ก็มีเรื่องของคลื่นแรงโน้มถ่วงปฐมภูมิรวมอยู่ด้วยเช่นกัน ดังนั้น ข้อมูลในซีเอ็มบี ก็ไม่มีทางที่จะกลายเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่าทฤษฎีของฮอว์กิ้งหรือของคนอื่นๆ อีกเป็นพันทฤษฎีถูกต้อง

แฟรงก์ วิลค์เซค นักทฤษฎีฟิสิกส์ เจ้าของรางวัลโนเบลจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งแมสซาชูเซตส์ (เอ็มไอที) ชี้ว่า ในทางตรงกันข้าม ถ้าข้อมูลในซีเอ็มบีไม่สอดคล้องกับคำทำนายของฮอว์กิ้งและเฮอร์ท็อก ก็จะทำให้ทฤษฎีนี้ผิดไปหมด เนื่องจากนั่นคือสมมุติฐานและประมาณการสำคัญที่สุดในรายงานวิจัยชิ้นนี้

แคที แมค ยังชี้ด้วยว่า ในการเชื่อมโยงทฤษฎีควอนตัมเข้ากับทฤษฎีแรงโน้มถ่วง ฮอว์กิ้งกับเฮอร์ท็อกรู้ดีว่า กรอบเชิงคณิตศาสตร์จำนวนมากที่นำมาใช้ยังไม่ได้รับการพิสูจน์และยังไม่สมบูรณ์ถึงกับเรียกว่าเป็น “ทอยโมเดล” และยังยอมรับไว้ด้วยว่า ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาวิจัยอีกมากมายในเรื่องนี้

แต่ว่าถึงตอนนี้ ไม่มีสตีเฟน ฮอว์กิ้งอีกต่อไปแล้ว

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...