โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

เมื่อการบีบบังคับ "เกณฑ์ทหาร" ยิ่งทำให้กระแส "หนีทหาร" ในเกาหลีใต้ขยายตัว

ศิลปวัฒนธรรม

อัพเดต 23 พ.ค. 2566 เวลา 02.15 น. • เผยแพร่ 22 พ.ค. 2566 เวลา 10.25 น.
นาวิกโยธินเกาหลีใต้เตรียมการซ้อมรบ เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2016 (AFP PHOTO / JUNG YEON-JE)

หากมองย้อนกลับไปเมื่อครั้งสงครามเกาหลีสงบลงใหม่ๆ พบว่า ชายชาวเกาหลีใต้ในยุคนั้นพากันหนีการ เกณฑ์ทหาร อย่างเป็นล่ำเป็นสัน โดยระหว่างเดือนกันยายน ค.ศ. 1955-กันยายน ค.ศ. 1956 มีผู้หนีทหารมากถึง 33,361 คน

“ความรักชาติ” จึงเป็นอุดมการณ์สำคัญที่จะต้องปลูกฝังอย่างต่อเนื่องในเกาหลีใต้ที่ทุกวันนี้ยังบังคับให้พลเมืองชายทุกคนต้องเป็นทหารโดยมีข้อยกเว้นเพียงไม่กี่เงื่อนไข เพื่อให้ประชาชนตระหนักว่า การรับใช้ชาติเป็นภาระทางด้านศีลธรรมที่ประชาชนในรัฐจำเป็นต้องปฏิบัติตาม และสื่อ (รวมไปถึงสื่อบันเทิงอย่างละครและภาพยนตร์) ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยปลูกฝังอุดมการณ์ดังกล่าว

แต่ลำพังการปลูกฝังอุดมการณ์ ยังไม่เพียงพอที่จะลดจำนวนผู้หนีทหาร

ปาร์ก จุง-ฮี ผู้นำเผด็จการทหาร (บิดาของอดีตประธานาธิบดีปาร์ก กึน-เฮ) ที่ครองอำนาจระหว่างปี 1962-1979 จึงเพิ่มมาตรการบังคับต่างๆ ที่ทำให้การหนีทหารแทบจะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ตั้งแต่การไล่เจ้าหน้าที่รัฐที่ไม่มารายงานตัวต่อกองทัพออกจากงาน ยกเลิกหนังสือเดินทางสำหรับผู้ที่เดินทางออกนอกประเทศ หากมิได้เดินทางกลับในระยะเวลาที่ได้ให้อนุญาตไว้ รวมถึงการลงโทษจำคุก ที่แม้กฎหมายจะจำกัดไว้สูงสุดที่ 3 ปี แต่ในช่วงที่ประเทศปกครองด้วยกฎอัยการศึก เพดานโทษสูงสุดมิได้มีผลบังคับ [ตามมาตรา 30 (2) กฎหมายว่าด้วยโทษอาญาทางทหาร]

รายงานของสื่อต่างประเทศอ้างว่า ช่วงดังกล่าวผู้หนีทหารอาจต้องโทษจำคุกสูงถึง 7 ปี และเมื่อพ้นโทษแล้วก็ยังถูกบังคับให้เข้าประจำการอีก นอกจากนี้ยังมีบทลงโทษกับบุคคลภายนอก เช่น นายจ้างที่รับผู้หนีทหารเข้าทำงานก็อาจต้องโทษจำคุกเช่นกัน ทำให้ยอดผู้หนีทหารที่เคยสูงถึง 16% ก่อนการครองอำนาจของปาร์ก จุง-ฮี ลดลงเหลือเพียง 0.1% ในปี 1974

นับแต่นั้นมา การเป็นทหารของชายชาวเกาหลีใต้จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง แต่ชีวิตทหารโดยเฉพาะ “ทหารเกณฑ์” มิได้สวยหรูเหมือนในซีรีส์เกาหลีที่คนดูคุ้นเคย ซึ่งตัวเอกมักไม่ใช่ทหารเกณฑ์ แม้ทหารเกณฑ์จะมีสัดส่วนสูงถึง 75% ของทหารประจำการทั้งหมดราว 6 แสนนายก็ตาม

ทหารเกณฑ์หลายคนต้องเสียชีวิตระหว่างประจำการ โดยสาเหตุมิได้เกิดจากการสู้รบกับศัตรู แต่เป็นเพราะ “ฆ่าตัวตาย” (ตัวเลขระหว่างปี 1995-2005 มีผู้เสียชีวิตระหว่างประจำการเฉลี่ย 202 คนต่อปี โดยราว 41% ถูกระบุว่าเป็นการฆ่าตัวตาย) เนื่องจากกองทัพเกาหลีใต้มี “วัฒนธรรม” กลั่นแกล้งทหารที่ไม่มีทางสู้ บางส่วนจึงหนีปัญหาด้วยการปลิดชีพตัวเอง

แต่หลายรายเลือกที่จะตอบโต้ด้วยความรุนแรง เช่น เหตุการณ์ในปี 2005 ทหารรายหนึ่งได้ใช้ระเบิดมือสังหารเพื่อนทหาร 8 ราย หลังถูกกลั่นแกล้ง เหตุการณ์ลักษณะเดียวกันได้เกิดขึ้นซ้ำในปี 2011 ทหารเกณฑ์ที่ถูกกลั่นแกล้งอย่างหนักได้ก่อเหตุกราดยิงเพื่อนทหาร จนเสียชีวิตไป 4 ราย หรือในปี 2014 ส.อ.ลิม ทหารเกณฑ์ที่กำลังจะพ้นการประจำการในอีกเพียง 3 เดือน ตัดสินใจขว้างระเบิดมือใส่เพื่อนทหาร 7 นาย ก่อนใช้อาวุธปืนกราดยิงทหารอีกหลายรายที่ขวางทางเขา ทำให้มีผู้เสียชีวิตรวม 5 ราย บาดเจ็บอีกจำนวนมาก

“ความผิดที่พวกเขาทำ มีแต่ความตายเท่านั้นที่สาสม… ใครก็ตามหากอยู่ในสถานการณ์เดียวกับผมก็ต้องมีชีวิตอันเจ็บปวดไม่ต่างจากความตาย ผมทำผิด แต่พวกมันก็ไม่ต่างกัน” ส.อ.ลิม กล่าวในจดหมายที่เขาเขียนขึ้นก่อนพยายามฆ่าตัวตายแต่ไม่สำเร็จ ถูกจับตัวมาดำเนินคดีในศาล ก่อนถูกตัดสินให้รับโทษประหารชีวิต

ความเลวร้ายในค่ายทหาร ไม่ใช่สาเหตุเดียวที่ทำให้ชายชาวเกาหลีใต้ปฏิเสธที่จะรับใช้กองทัพ ในปี 2002 ยู โฮกุน (Yu Hogun) นักชาตินิยมฝ่ายซ้ายได้ประกาศตัวไม่ยอม “เกณฑ์ทหาร” อ้างว่าเขาจะไม่ยอมฆ่าคนเกาหลีด้วยกัน ไม่ว่าคนผู้นั้นจะตกอยู่ในบังคับของรัฐใด ปีเดียวกัน นา ตงยก (Na Tonghyok) นักกิจกรรมประชาธิปไตย ก็ไม่ยอมเกณฑ์ทหาร โดยโจมตีว่า ลัทธิชาตินิยมแบบเกาหลีใต้ถูกใช้เพื่อครอบงำและแช่แข็งสังคมโดยอ้างความมั่นคงของชาติ

อีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่กระตุ้นให้ขบวนการของกลุ่มผู้ต่อต้านด้วยมโนธรรม (Conscientious Objectors) ขยายตัวอย่างมากคือ เหตุการณ์ที่ โอ แทยัง (O Taeyang) ชาวพุทธจากกวางจู ที่ต้องเจ็บปวดจากเหตุการณ์สังหารหมู่ผู้เรียกร้องประชาธิปไตยในบ้านเกิดเมื่อปี 1980 ทำให้เขากลายเป็นผู้อุทิศตนเพื่อศาสนา และต่อมาได้เป็นนักกิจกรรมทางสังคมในองค์กรช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของชาวพุทธ

โอ แทยัง ปฏิเสธที่จะเป็นทหารในเดือนธันวาคม ปี 2001 โดยอ้างว่าการคร่าชีวิตผู้อื่นขัดต่อความเชื่อทางศาสนาพุทธ และโดยส่วนตัวเขาก็ไม่คิดว่าความรุนแรงจะนำไปสู่สันติสุข เบื้องตนเขามิได้รับการสนับสนุนจากองค์กรศาสนาพุทธใดๆ ต่อการตัดสินใจของเขา และ ผอ. แผนกศาสนาพุทธประจำหน่วยงานด้านศาสนาของกองทัพยังออกมาบอกว่า การเป็นทหารคือการสละชีวิตเพื่อผู้อื่น ซึ่งเป็นไปตามแนวทางของพระโพธิสัตว์

จนกระทั่งเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2002 โอ แทยัง ได้รับกำลังใจจากหลายองค์กรพุทธ รวมถึงพระสงฆ์นักกิจกรรม ก่อนได้รับอนุญาตให้ประกันตัวในเดือนเดียวกัน ซึ่งสุดท้ายเขาต้องรับโทษจำคุกระหว่างเดือนสิงหาคม 2004 ถึง พฤศจิกายน 2005 แต่การที่เขาได้รับการประกันตัวระหว่างปี 2002-2004 อย่างที่ไม่มีใครคาดหมายมาก่อน สร้างกระแสหนุนนำให้กับกลุ่มต่อต้านการเกณฑ์ทหารอย่างมาก เนื่องมาจากการทำกิจกรรมของเขาในช่วงเวลาดังกล่าวเปิดโปงระบบการเกณฑ์ทหาร และสร้างฐานสนับสนุนให้กับกลุ่มต่อต้านลัทธิทหารนิยม

เหตุการณ์สำคัญที่เกือบจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนให้กับการบังคับ “เกณฑ์ทหาร” ในเกาหลีใต้ เกิดขึ้นเมื่อปี 2004 เมื่อศาลแขวงกรุงโซลใต้ได้ตัดสินยกคำฟ้องผู้หนีทหาร 3 ราย ด้วยเหตุผลด้านศาสนาเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ แต่สุดท้ายก็ถูกพิพากษากลับโดยศาลสูง และศาลรัฐธรรมนูญ ที่ยังคงยืนยันว่ากฎหมายว่าด้วยภาระในการรับใช้กองทัพมีความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ทำให้การต่อสู้ของฝ่ายต่อต้านการเกณฑ์ทหารในทางศาลแทบจะถูกปิดตายไปแล้ว

เมื่อการต่อต้านในระบบไม่ใช่ทางเลือก หลายคนจึงหลบหนีการเกณฑ์ทหารด้วยการไปใช้ชีวิตในต่างแดน ซึ่งผู้ที่จะใช้วิธีการนี้ได้ก็มีแต่กลุ่มที่มาจากครอบครัวที่มีฐานะดี มีสัญชาติที่สอง รวมไปถึงศิลปินดังหลายราย ซึ่งการเลือกที่จะหนีทหารหมายถึงการทิ้งอนาคตการงานที่จะมีในเกาหลีใต้ไปโดยสิ้นเชิง แต่สถิติของผู้สละสัญชาติเกาหลีใต้ เพื่อเลี่ยงการเกณฑ์ทหารก็ได้พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก โดยในปี 2013 มีผู้สละสัญชาติราว 3 พันคน ก่อนเพิ่มเป็น 4.4 พันคนในปี 2014

แม้สังคมโดยรวม โดยเฉพาะสื่อเกาหลีใต้จะไม่ยอมรับการหนีทหาร หลายครั้งมักออกมาโจมตีผู้ที่หลบหนีการเป็นทหารว่าเป็นผู้ทรยศต่อชาติ แต่การสำรวจในปี 2015 โดยหนังสือพิมพ์โชซุนอิลโบ (Chosun Ilbo) พบว่ากว่า 42.5 % ของพ่อ และ 37.9 % ของแม่ ที่ลูกชายกำลังจะถูกเกณฑ์ทหาร หวังว่าลูกของตนจะได้รับการยกเว้น

ขณะที่การสำรวจลักษณะใกล้เคียงกันในกลุ่มนักเรียนมัธยมปลายในปูซาน พบว่า 38% จากกลุ่มตัวอย่างต้องการที่จะเลี่ยงการเป็นทหารหากมีหนทาง โดยมีเพียง 27.4% เท่านั้นที่เห็นว่า การรับใช้ชาติในกองทัพ “เป็นเกียรติ” และเป็นสิ่งที่พึงปฏิบัติ แม้ว่าสื่อเกาหลีใต้จะพยายามขายภาพลักษณ์ความจำเป็นของกองทัพมาอย่างต่อเนื่องและยาวนานก็ตาม

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่

อ้างอิง :

Tikhonov, Vladimir. “Militarism and Anti-militarism in South Korea: ‘Militarized Masculinity’ and the Conscientious Objector Movement.” The Asia-Pacific Journal Mar. 2009. Web. 23 Mar. 2016. <http://apjjf.org/-Vladimir-Tikhonov/3087/article.html>

“Park says ‘Descendants of the Sun’ will help attract foreign tourists”. Yonhap News 21 Mar. 2016. Web. 23 Mar. 2016. <http://english.yonhapnews.co.kr/national/2016/03/21/29/0301000000AEN20160321013300315F.html>

Lim Yun Suk. “More South Koreans dodge military service as threats from North loom large.” Channel News Asia 17 Sep. 2015. Web. 23 Mar. 2016. <http://www.channelnewsasia.com/news/asiapacific/more-south-koreans-dodge/2132412.html>

“South Korean soldier sentenced to death for murder of five comrades.”The Guardian 3 Feb. 2015. Web. 23 Mar. 2016. <https://www.theguardian.com/world/2015/feb/03/south-korea-soldier-death-murder-comrades>

“Blood, sweat and tears.” The Economist 27 Sep. 2014. Web. 23 Mar. 2016. <http://www.economist.com/news/asia/21620255-string-egregious-abuses-fuels-fresh-calls-reform-army-blood-sweat-and-tears>

“South Korea jails hundreds for refusing military stints”. Inquirer 17 Jan. 2014. Web. 23 Mar. 2016. <http://newsinfo.inquirer.net/565267/south-korea-jails-hundreds-for-refusing-military-stints>

“Flight or fight: conscription misery in South Korea.” Post Magazine 15 Jan. 2015. Web. 23 Mar. 2016. <http://www.scmp.com/magazines/post-magazine/article/1679867/flight-or-fight-conscription-misery-south-korea>

เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 24 มีนาคม 2559

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...