โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

Social (Media) Trap วงจรอุบาทว์ที่กลืนกินชีวิตคุณ เข้าใจกลไกทางจิตวิทยาที่เกิดขึ้นบนโซเชียลมีเดีย และผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม

The Structure

อัพเดต 12 ก.พ. เวลา 15.15 น. • เผยแพร่ 12 ก.พ. เวลา 09.00 น. • The Structure

หากย้อนไปสักสามสิบปีก่อน คำว่า ‘โซเชียลมีเดีย’ หลายคนคงนึกถึงพื้นที่ที่ช่วยเชื่อมโยงผู้คน แชร์เรื่องราว และสร้างแรงบันดาลใจ ไม่ว่าจะเป็น Hi5 ICQ MSN หรือแม้กระทั่งเว็บบอร์ดต่าง ๆ แต่ในยุคปัจจุบัน สื่อสังคมออนไลน์ อาทิ เฟสบุ๊ค ไอจี ติ๊กต๊อก และอื่น ๆ ไม่ได้เป็น ‘เวทีแบ่งปัน’ หรือ ‘เชื่อมโยง’เพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็น ‘เวทีแข่งขัน’ในการถ่ายทอด ‘ตัวตนสมบูรณ์แบบ’ เพื่อเรียกยอดไลก์และสร้างความยอมรับในโลกเสมือนจริง

ใช่…เราใช้คำว่า ‘เสมือน’ เพราะมัน ‘ไม่จริง’

หากยังมองไม่เห็นภาพ ลองนึกง่าย ๆ แค่ว่าก่อนที่จะมาเจอบทความนี้ คุณก็อาจจะไถฟีดเจอเรื่องราวต่าง ๆ บ้างเป็นโพสแบ่งปันชีวิตประจำวัน บ้างเป็นโพสเผยแพร่ข่าวสาร บ้างเป็นโพสแชร์ความชอบในหลาย ๆ ด้าน และบ้างก็เป็นโพสของคนที่คุณอาจจะรู้จักดีว่าชีวิตจริงไม่ได้ร่ำรวยอู่ฟู่ แต่กลับเลือกนำเสนอตัวเองในแบบที่ ‘ดูเหมือน’ จะเป็นคนในระดับสังคมที่สูงกว่าความเป็นจริง สิ่งทีกล่าวนี้อาจสะท้อนผ่านพฤติกรรมการโพสต์ภาพดื่มกาแฟจากแบรนด์ดัง การเช็คอินร้านอาหารสุดหรู หรือการเดินทางในสถานที่หรูหรา ซึ่งจุดนี้เองที่เราพยายามชี้ให้เห็นว่า ‘โซเชียลมีเดีย’ถูกแปรสภาพจากการบันทึกชีวิตประจำวันเป็น ‘เครื่องมือสร้างตัวตนลวง’ เพื่อเสริมภาพลักษณ์ และในขณะเดียวกัน ‘โซเชียลมีเดีย’ก็เป็น ‘เครื่องมือในการปรับกระบวนทัศน์’ทำให้เกิดพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่ควรเอาแบบอย่าง

พูดง่าย ๆ ก็คือ เมื่อเสพภาพชีวิตหรูหราจากสื่อออนไลน์ แล้วก็เกิดการเปรียบเทียบแข่งขันภายในใจว่าจะต้องทัดเทียมผู้อื่นอย่างไร จึงเลือกที่จะแสดงออกผ่านโซเชียลมีเดียเป็นการแสดงตัวตนตอบกลับสังคม และแน่นอนว่าโพสนี้ ก็ต้องไปกระทบจุดอยากแข่งขันของใคร ๆ ที่อาจจะเลือกใช้วิธีเดียวกัน ‘บลัฟ’ผู้อื่นวนเวียนไปเรื่อย ๆ

เป็น ‘วงจรอุบาทว์’วนไปวนมาไม่จบสิ้น

ในทางจิตวิทยา พฤติกรรมนี้สะท้อนถึง ‘การแสวงหาการยอมรับ’ซึ่งเกิดจากความต้องการที่จะแสดงออกว่า ‘ฉันก็ดีพอ’หรือ ‘ฉันก็น่าสนใจ’ โดยมีตัวชี้วัดคุณค่าว่าได้รับการยอมรับหรือไม่ นับได้จากยอดไลก์ยอดแชร์และยอดคอมเมนต์ ซึ่งในความเป็นจริง ผลที่ได้นั้นไม่ใช่ผลสำเร็จของการสร้างตัวตน แต่คือผลลัพธ์ของการเปรียบเทียบที่ไม่สิ้นสุด

ที่กล่าวมานี้ไม่ได้เป็นผลจากการสังเกตการณ์สังคม แต่มีผลการศึกษาของ Royal Society for Public Health (2022) รองรับว่า 70% ของผู้ใช้โซเชียลมีเดียรู้สึก ‘ด้อยกว่า’หลังจากเห็นโพสต์ของคนอื่น และกว่า 65% ยอมรับว่าพวกเขารู้สึก ‘กดดัน’ที่จะต้องปรับปรุงภาพลักษณ์ของตัวเองในโลกออนไลน์ให้ทัดเทียมผู้อื่น

ข้อมูลทางสถิตินี้ไม่เพียงย้ำชัดถึงสิ่งที่เราตั้งข้อสังเกต แต่เป็นการสะท้อนให้เห็นถึง ‘วงจรอุบาทว์’ เพราะ ‘ความสุข’จากยอดไลก์และคอมเมนต์เหล่านี้มักมีอายุเพียงไม่กี่วินาที หลังจากนั้น ความกดดัน (ในการที่จะได้ยอดไลก์) และความคาดหวังใหม่ (ที่จะได้รับการยอมรับในรูปต่อ ๆ ไป) จะกลับมาแทนที่

การโพสต์เพื่อ ‘ให้คนอื่นยอมรับ’กลายเป็นวัฏจักรที่ไม่มีวันจบสิ้น และยิ่งไปกว่านั้น มันอาจบั่นทอนความมั่นใจจากภายใน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของความสุขที่แท้จริง

ตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นชัดอีกรูปแบบหนึ่ง คือ เรื่องราวของการเดินทางท่องเที่ยว

ในอดีต การเดินทางเพื่อเรียนรู้โลกและเปิดมุมมองใหม่ ๆ นั้น นักเดินทางจะได้ประสบการณ์ผ่าน ‘ของจริง’ไม่ว่าได้ ‘เห็นจริง’ด้วยตาตัวเอง ได้สัมผัส ‘เรื่องจริง’ที่ประสบพบเจอระหว่างซึมซับวัฒนธรรมของจุดหมายการเดินทาง ซึ่งเราเชื่อว่ากระบวนการเหล่านั้นทำให้นักเดินทางได้ วิเคราะห์ สังเคราะห์ประสบการณ์ผ่านอารมณ์และความรู้สึกจริง จนมองเห็นข้อดีและข้อเสียของสิ่งต่าง ๆ ด้วยสายตาตนเอง

ทว่าในปัจจุบันนี้ เราสามารถเรียนรู้โลกผ่านการเสิร์จเพียง ‘1 Click’ หรือ เห็นสิ่งต่าง ๆ ผ่าน ‘1 Clip’ โดยที่ไม่ได้ผ่านการกลั่นกรองใด ๆ เพียงสิบห้านาทีที่ชมช่องท่องเที่ยวนั้น คุณอาจมีคำตอบเกี่ยวกับ ‘จุดหมาย’ ที่กำลังรับชมไปแล้ว โดยที่ยังไม่ได้เจอของจริงซึ่งอาจจะไม่เป็นอย่างที่คุณเพิ่งตัดสินไป ซึ่งนั่นก็เพราะ ประการแรก คุณกำลังมองโลกผ่านแว่นของคนอื่น และ ประการที่สอง คือ คุณกำลังชิมรสของโลกผ่านคำบอกเล่า สิ่งที่จะได้ยินบ่อย ๆ เช่น ‘เค้าว่าร้านนี้อร่อย’ หรือไม่ก็ ‘เค้าบอกว่าต้องไปเที่ยวที่นี่’ หรืออีกสารพัดประโยคที่ขึ้นต้นด้วย ‘เค้าว่า…’

ลิ้นเขาจะชอบเหมือนลิ้นเราได้ยังไง….จริงไหม ?

และเมื่อได้ไปจริง ก็มักจะต้องถ่ายรูปเพื่อโพสให้คนเห็นว่าสถานที่ที่ถูกกล่าวขานให้เป็น ‘โลเกชั่นยอดฮิต’หรือจุดถ่ายภาพจำพวก ‘มุมมหาชน’ เราก็ไปมาแล้วไม่ตกกระแสใด ๆ บางครั้งแค่ไปเพื่อเก็บรูปไม่ทันได้ซึมซับความเป็นมาหรือศิลปวัฒนธรรมต่าง ๆ เลยด้วยซ้ำ

ประเด็นนี้คงสะท้อนให้เห็นแล้วว่า‘โซเชียลมีเดีย’ ไม่ได้แค่ทำให้เราเปรียบเทียบตัวเองกับชีวิตคนอื่นโดยไม่รู้ตัว แต่มันยังสร้างกับดักของการใช้ชีวิตเพื่อ ‘โชว์’มากกว่าที่จะ ‘สัมผัส’ประสบการณ์ที่เคยถูกเก็บเกี่ยวด้วยหัวใจ ให้กลายเป็นแค่การตามกระแส เพื่อจะได้เป็น ‘Tourist’ ที่มีถ่ายภาพไว้เรียกยอดไลก์ มากกว่าที่จะเป็น ‘Traveler’ ที่เดินทางเพื่อเปิดโลกทัศน์อย่างแท้จริง

มาถึง จุดนี้ คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เราถูกดึงเข้าสู่ ‘Social (Media) Trap’ ทั้งในความหมายของการติดกับดักทางเศรษฐกิจและสังคม ทั้งในความหมายที่ถูกโซเชียลมีเดียวเป็นตัวชักจูงความคิดพฤติกรรม ที่ส่งผลให้เราเลียนแบบการสร้างประสบการณ์ผ่านหน้าจอตามสื่อที่เราเสพ ไม่ว่าจะเป็น ภาพลักษณ์ที่สวยงาม มื้ออาหารที่สมบูรณ์แบบ เส้นทางการเดินทางที่หรูหรา และทุกวินาทีในชีวิตที่น่าอิจฉา

ทั้งที่ในความเป็นจริง โลกที่เราเห็นในฟีดนั้น อาจเป็นเพียงการจัดฉากแสดงด้านหนึ่งของ ‘ชีวิตเสมือนจริง’ การโพสต์ภาพอาหารติดแท๊กโลเกชั่นร้านที่ได้รับการการันตีจากสถาบันชั้นนำ รูปเตียงนอนในโรงแรมระดับเจ็ดดาว หรือช๊อตการถ่ายท้องฟ้าจากมุมที่นั่งชั้นธุรกิจหรือเฟิร์สคลาส แม้กระทั่งบางครั้งก็เป็นเรื่องราวบนเครื่องบินส่วนตัวนั้น แท้ที่จริงแล้วอาจไม่ได้สะท้อนความสำเร็จที่แท้จริง แต่กลับเป็นการสร้างภาพเพื่อต้องการที่ทำให้คนอื่นรู้สึกว่า ‘เราเหนือกว่า’

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ บางคนอาจเกิดคำถามว่า แล้วการสะท้อนปรากฏการณ์ทางสังคม หรือ ‘Social Scene’ นี้ก่อให้เกิดประโยชน์เช่นไร เพราะนี่อาจจะเป็นเพียงพลวัตหนึ่งที่ผ่านมาและก็จะผ่านไป แน่นอนว่าเราไม่เพียงแต่วิพากษ์สิ่งที่เกิด หากแต่ต้องการให้ต่อยอดไปถึงปลายทางที่อาจนำไปสู่

ซึ่งสิ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับเรื่องนี้ก็คือ ‘ราคา’ ที่หลายคนยอมจ่ายเพื่อภาพลักษณ์ที่ไม่ยั่งยืน

สิ่งนี้ไม่ใช่เพียงความคิดเลื่อนลอยหรือคำวิจารณ์ปากเปล่า หากถูกยืนยันด้วยข้อมูลจาก Statista (2023) ที่ชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคในประเทศไทยใช้จ่ายประมาณร้อยละ 15 ของรายได้ทั้งหมดไปกับสินค้าหรือประสบการณ์ที่สามารถ ‘โชว์’บนโซเชียลมีเดีย เช่น กาแฟแบรนด์ดัง ร้านอาหารหรู และการเดินทาง มากกว่าสิ่งที่จำเป็นในการใช้ชีวิตประจำวัน

ที่น่าหนักใจกว่าปัญหาด้านเศรษฐศาสตร์ระดับจุลภาคก็คือ การที่คนกู้เงินหรือเป็นหนี้บัตรเครดิตเพื่อซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยหรือเดินทางตามกระแส โดยสถิติจากธนาคารแห่งประเทศไทย (2022) รายงานว่า 40% ของหนี้ครัวเรือนไทยมาจากการใช้บัตรเครดิต ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการใช้จ่ายในหมวด ‘การแสดงออกในสังคม’ นั่นหมายความว่า ภาพลักษณ์ที่คุณเห็นในโลกออนไลน์ อาจแลกมาด้วยหนี้สินและความเครียดทางการเงินที่อยู่เบื้องหลัง

นอกเหนือจากปัญหาทางการเงิน การสร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงยังทำให้เกิดข้อสงสัยในสายตาของผู้ชมว่า ‘นั่นคือเรื่องจริงหรือไม่’ หรือ ‘เอาเงินมาจากไหน’ ซึ่งนำไปสู่ปัญหาความน่าเชื่อถือที่อาจพังทลายทั้งชีวิตลงในระยะยาว

แย่ไปกว่านั้น คือ พฤติกรรมนี้อาจดึงดูดความสนใจจากกลุ่มผู้ไม่สุจริต เช่น การแสดงภาพลักษณ์หรูหราเพื่อชักชวนคนอื่นร่วมลงทุนในธุรกิจสีเทาหรือแชร์ลูกโซ่ ดังเช่นที่ Forbes (2023)เคยระบุว่า 30% ของการหลอกลวงทางการเงินในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เริ่มต้นจากการใช้โซเชียลมีเดียเพื่อแสดงภาพลักษณ์ความสำเร็จที่เกินจริง

ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการใช้เงินเกินตัวเพื่อรักษาหรือสร้างภาพลักษณ์ในโลกออนไลน์ ไม่เพียงส่งผลต่อบุคคล แต่ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐศาสตร์หาภาค ซึ่งถูกยืนยันด้วยข้อมูลจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย (2022) ที่ระบุว่าหนี้ครัวเรือนไทยอยู่ที่ระดับร้อยละ 89 ของผลผลิตมวลรวม โดยถือว่าเป็นหนึ่งในตัวเลขที่สูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียน

แน่นอนว่าเมื่อครัวเรือนเผชิญกับหนี้สินที่เพิ่มขึ้นจากการใช้จ่ายเกินตัว โอกาสในการลงทุนหรือออมทรัพย์เพื่ออนาคต เช่น การศึกษาสำหรับ หรือการเก็บออมเพื่อเป็นกองทุนหลังเกษียณอายุ ก็ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งนั้นก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมต่าง ๆ อีกมากมาย ที่รัฐบาลจะต้องนำงบประมาณคงคลังมาใช้ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยอาจจะนำไปสู่การปรับเกณฑ์การเสียภาษีเพื่อหารายได้มาพยุงรายจ่ายของประเทศ

เมื่อเราเห็นปัญหา เราก็ต้องมองหาทางออก และทางออกสำหรับเรื่องนี้ คือ ความเชื่อว่า ‘ความจริงมีพลังมากกว่าสิ่งลวงตา’

ดังนั้น ในขณะที่โซเชียลมีเดียเป็นดั่งเวทีละครที่ทุกคนต่างสวมบทบาทในแบบที่ต้องการให้โลกเห็น บางคนสร้างตัวตนเพื่อให้ดูเหนือกว่า บางคนไล่ล่าการยอมรับเพื่อเติมเต็มช่องว่างภายใน และบางคนถูกดูดกลืนเข้าไปในวังวนของการเปรียบเทียบโดยไม่รู้ตัว

สิ่งต่าง ๆ เรานี้กำลังถามเราว่า เรารู้ไหมว่ากำลังตกอยู่ใน Social (Media) Trap หรือไม่ และหากรู้เราจะตอบตัวเองได้ไหมว่าเราใช้ชีวิตเพื่อให้คนอื่นอิจฉา หรือเพื่อให้ตัวเองมีความสุขจริง ๆ กันแน่ ?

เพราะหากเรายอมก้าวเข้าไปในกับดักโลกเสมือนจริง ให้โซเชี่ยลมีเดียเป็นตัวกำหนดคุณค่าในตัวเรา นั่นหมายความว่า ‘เราให้พลังกับสิ่งที่ไม่มีตัวตนจริง’ และเมื่อนั้น ‘เราก็จะสูญเสียตัวตนที่แท้จริงไป’

แต่หากเราตระหนักได้ว่า ชีวิตที่ดีไม่ใช่ชีวิตที่ถูก Likeเยอะที่สุด แต่คือชีวิตที่เราเลือกเองโดยไม่ต้องให้ใครมากดอนุมัติ เมื่อนั้น เราจะหลุดออกจากกับดักนี้

‘โลกเสมือนจริง’อาจเป็นเครื่องมือที่ดี หากเราเป็นผู้ควบคุมมันให้อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง แต่เมื่อไหร่ที่มันควบคุมเรา เมื่อนั้นเรากำลังตกเป็นทาสของภาพลวงตา

และนั่นคือสิ่งที่แพงที่สุด…เพราะเราอาจจ่ายด้วยค่าของ ‘ความเป็นตัวเอง’ โดยไม่รู้ตัวโดยดร.ณพรรษธ์สรฌ์ เสมสันต์

นักวิชาการอิสระ

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...