โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

“สมาคมประกันวินาศภัยไทย” แถลงการณ์วิกฤติประกันภัยโควิด “เจอ จ่าย จบ”

การเงินธนาคาร

อัพเดต 19 พ.ย. 2564 เวลา 01.42 น. • เผยแพร่ 19 พ.ย. 2564 เวลา 01.42 น.

“สมาคมประกันวินาศภัยไทย”  แถลงสถานการณ์วิกฤตจากการรับประกันภัย COVID-19 แบบเจอจ่ายจบ พร้อมชี้แจงเหตุผลในการรับประกันภัย

นายอานนท์ วังวสุ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย ได้แถลงเกี่ยวกับสถานการณ์วิกฤตจากการรับประกันภัย COVID-19 แบบเจอจ่ายจบ พร้อมชี้แจงเหตุผลในการรับประกันภัย COVID-19 ว่า เนื่องด้วยภาพรวมและปัจจัยความเสี่ยงสำหรับการรับประกันภัย COVID-19 ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างคาดไม่ถึง หากฐานะการเงินของบริษัทประกันภัยใดไม่สามารถรองรับความเสี่ยงได้อีกในอนาคต และจำเป็นต้องบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 ขอเรียนให้ทราบว่า บริษัทประกันภัยเหล่านั้นไม่ได้มีเจตนาในการเอาเปรียบหรือทอดทิ้งผู้เอาประกันภัยแต่อย่างใด แต่เป็นความจำเป็นและเป็นการบริหารความเสี่ยงที่พึงกระทำ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสี่ยงเชิงระบบกับผู้ถือกรมธรรม์ประกันภัยประเภทอื่นๆ ที่อาจได้รับผลกระทบหากบริษัทที่รับประกันภัย COVID-19  ต้องปิดกิจการเพิ่มอีกในอนาคต

นอกจากนี้แล้ว หากบริษัทประกันภัยต้องปิดกิจการลง ก็จะส่งผลกระทบถึงสิทธิของเจ้าหนี้ประเภทอื่นๆ ของบริษัทประกันภัยซึ่งไม่มีสิทธิรับเงินจากกองทุนประกันวินาศภัย เช่น โรงพยาบาล อู่ซ่อมรถ ตัวแทน นายหน้า พนักงาน และเจ้าหนี้ประเภทอื่นๆ ของบริษัทประกันภัย บริษัทประกันภัยจึงอาจมีความจำเป็นที่จะต้องตัดสินใจดังกล่าวในอนาคตเพื่อจำกัดความเสียหายไม่ให้เกิดในวงกว้าง และรักษาเสถียรภาพของระบบประกันภัยไว้

ทั้งนี้ ภาคธุรกิจประกันวินาศภัยต้องการช่วยบริหารความเสี่ยงให้กับประชาชนคนไทย รวมทั้งช่วยแบ่งเบาและลดภาระในการดูแลผู้ป่วย COVID-19 ของรัฐบาล และที่สำคัญคือเป็นการทำตามนโยบายของสำนักงาน คปภ. ที่ส่งเสริมและกระตุ้นให้บริษัทประกันภัยพัฒนากรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 เพื่อออกขายให้ครอบคลุมและกว้างขวางที่สุด  อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก COVID-19 เป็นความเสี่ยงอุบัติใหม่ที่ยากต่อการคาดการณ์ จึงส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อบริษัทประกันภัยที่รับประกันภัย COVID-19 แบบเจอจ่ายจบ ตามที่ปรากฏเป็นข่าวในขณะนี้

หลักการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยงอุบัติใหม่

นายอานนท์ อธิบายว่า หลักการประกันภัยนั้นถือเป็นเครื่องมือหนึ่งในการบริหารความเสี่ยงของประชาชน ภาคธุรกิจ รวมถึงภาครัฐ การประกันภัยต่างจากการเสี่ยงโชคในมุมที่ว่า ผู้เอาประกันภัยจะได้รับค่าสินไหมทดแทนเมื่อเกิดเหตุการณ์ตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยก่อให้เกิดความเสียหายขึ้น การซื้อประกันภัยจึงไม่เหมือนสินค้าหรือบริการอื่นที่เมื่อซื้อแล้วต้องใช้ให้คุ้ม เพราะหากมีค่าสินไหมทดแทนเกิดขึ้นสูงแล้ว เบี้ยประกันภัยก็จะต้องถูกปรับให้สูงขึ้นในอนาคต เพื่อสะท้อนความเสี่ยงของผู้เอาประกันภัยให้เหมาะสมยิ่งขึ้น

สำหรับ COVID-19 ถือเป็นความเสี่ยงที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หรือที่เรียกว่าความเสี่ยงอุบัติใหม่ (Emerging Risk) ซึ่งโดยหลักแล้ว การกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยจะไม่มีสถิติมารองรับอย่างเพียงพอ ดังนั้น ในระยะเริ่มต้นจึงต้องอาศัยการคาดการณ์จากข้อมูลเท่าที่มีอยู่ จากนั้น เมื่อมีการติดตามผลการรับประกันภัยอย่างต่อเนื่อง ก็สามารถนำข้อมูลที่มีมากขึ้นมาใช้ปรับอัตราเบี้ยประกันภัยและเงื่อนไขความคุ้มครองให้มีความเหมาะสมกับความเสี่ยงมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ หาก Emerging Risk ใด ก่อให้เกิดความเสียหายสูงกว่าความคาดหมายมากเกินระดับที่กำหนดไว้ ก็อาจต้องมีการพิจารณายุติความเสี่ยงเพื่อควบคุมความเสียหายไม่ให้ส่งผลกระทบออกไปในวงกว้าง ซึ่งในพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ก็ได้มีการกำหนดหลักการสำหรับการรับประกันภัยว่าไม่ควรรับประกันภัยรายเดียวหรือหลายรายรวมกันเพื่อวินาศภัยเดียวกัน เกินกว่าร้อยละ 10 ของเงินกองทุน เพื่อป้องกันไม่ให้วินาศภัยใดก่อให้เกิดความเสียหายจนอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางการเงินได้ในที่สุด

สถานการณ์จากการรับประกันภัย COVID-19  

จากสถิติ ณ วันที่ 15 พฤศจิกายน 2564 แสดงให้เห็นว่า ค่าสินไหมทดแทนรวมจากการรับประกันภัย COVID-19 มีจำนวนกว่า 37,000 ล้านบาท ในขณะที่เงินกองทุนของบริษัทประกันวินาศภัยที่รับประกันภัยโดยรวมนั้นอยู่ที่ประมาณ 132,000 ล้านบาท และด้วยสถานการณ์การระบาดที่ยังคงยืดเยื้อจนถึงปัจจุบันรวมถึงความเป็นไปได้ในการเกิดการระบาดระลอกใหม่ ทำให้คาดการณ์ว่าค่าสินไหมทดแทนสะสม ณ สิ้นปี 2564 จะเพิ่มสูงถึง 40,000 ล้านบาท คิดเป็น 30% ของเงินกองทุนทั้งหมด (ซึ่งอัตรานี้เป็นค่าเฉลี่ยของทุกบริษัท ฉะนั้น อาจมีบางบริษัทที่มีความเสียหายสูงกว่าเงินกองทุนไปแล้วเป็นจำนวนมาก) และอาจเพิ่มสูงถึง 60%-70% ของเงินกองทุนหากเกิดการระบาดระลอกใหม่ดังเช่นที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลกในเวลานี้ ซึ่งจะทำให้บริษัทประกันวินาศภัยหลายบริษัทอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้

ประกันภัย COVID-19  อาจเป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จของแผนการเปิดประเทศ

สำหรับแผนการเปิดประเทศในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวและฟื้นฟูเศรษฐกิจ นอกจากนี้แล้ว ยังมีเป้าหมายให้ประชาชนเชื่อมั่นในการใช้ชีวิตวิถีใหม่และดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับโรค COVID-19 เนื่องจากมีผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มแรกแล้วเกินกว่า 63% ของประชากร ในขณะที่ผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 มีมากกว่า 52% ของประชากร ซึ่งการได้รับวัคซีนแล้วจะส่งผลทำให้ประชาชนกลับไปใช้ชีวิตตามปรกติเพิ่มมากขึ้น เพราะโอกาสในการเจ็บป่วยจนถึงขั้นเสียชีวิตนั้นจะอยู่ในระดับต่ำ แต่ก็จะส่งผลทำให้โอกาสในการติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย

ทั้งนี้ จากสถิติผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในประเทศไทยมีอัตราผู้ติดเชื้อ 2.8% ของประชากร แต่อัตราผู้ติดเชื้อของผู้ที่มีประกันภัย COVID-19 สูงถึง 3.8% ของผู้ถือกรมธรรม์ ซึ่งสูงกว่าอัตราการติดเชื้อของประชากรไทยทั่วไปถึง 35.7% นอกจากนี้แล้ว ข้อมูลจากบริษัทซึ่งอยู่ใน TOP 5 ของบริษัทที่รับประกันภัย COVID-19 แบบเจอจ่ายจบ แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่มีกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 แบบเจอจ่ายจบมีอัตราการติดเชื้อสูงถึง 4.2% ซึ่งสูงกว่าอัตราการติดเชื้อของประชากรไทยทั้งหมดถึง 46%

ดังนั้น หากการติดเชื้อดังกล่าวของผู้ที่มีประกันภัยโควิด- 19 แพร่ไปยังประชาชนโดยทั่วไป โดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน อาจก่อให้เกิดการระบาดและคลัสเตอร์ใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความสำเร็จของแผนการเปิดประเทศได้

สิทธิการบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยของผู้เอาประกันภัยและบริษัทประกันภัย

ตามหลักการประกันภัยสากลรวมถึงประเทศไทย ผู้เอาประกันภัยและบริษัทประกันภัยต่างก็มีสิทธิในการบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัย อย่างไรก็ตาม การบอกเลิกโดยผู้เอาประกันภัยนั้น ไม่ต้องมีการบอกกล่าวล่วงหน้า ในขณะที่การบอกเลิกโดยบริษัทประกันภัยนั้น จะต้องมีการบอกกล่าวล่วงหน้าให้ผู้เอาประกันภัยทราบอย่างน้อย 15-30 วัน ตามที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงาน คปภ.

สำหรับสาเหตุในการบอกเลิกโดยผู้เอาประกันภัยนั้น โดยทั่วไปมาจากการที่ผู้เอาประกันภัยไม่พึงพอใจในบริการ หรือได้รับข้อเสนอที่ดีกว่าจากบริษัทประกันภัยอื่น หรือเมื่อผู้เอาประกันภัยได้ขายทรัพย์สินที่เอาประกันภัยไป ในขณะที่การบอกเลิกโดยบริษัทประกันภัยแบบเฉพาะรายนั้น ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากการกระทำฉ้อฉลของผู้เอาประกันภัย หรือกรณีที่ผู้เอาประกันภัยมีอัตราการเคลมสูงกว่าอัตราปรกติเป็นอย่างมาก หรือกรณีที่ผู้เอาประกันภัยให้ข้อมูลหรือเอกสารที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง สำหรับการบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยของผู้เอาประกันภัยจำนวนมากในคราวเดียวกันจะมีสาเหตุมาจากภาพรวมและปัจจัยความเสี่ยง (Risk Profile) ที่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งมักจะเกิดกับเหตุการณ์ที่เป็นมหันตภัยหรือความเสี่ยงอุบัติใหม่ (Emerging Risk)

“จะเห็นได้ว่า มีการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยความเสี่ยงผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจาก COVID-19 อย่างมีนัยสำคัญ โดยจำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในปี 2563 มีจำนวน 6,884 คน ในขณะที่ในปี 2564 นับจนถึงวันนี้มีผู้ติดเชื้อถึง 2,037,241 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ถึง 296 เท่าหรือ 29,600% สำหรับจำนวนผู้เสียชีวิตในปี 2563 นั้นมีจำนวน 61 คน ในขณะที่ผู้เสียชีวิตในปีนี้มีถึง 20,193 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ถึง 331 เท่าหรือ 33,100%”

“โดยเงื่อนไขการบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยนั้น เป็นเงื่อนไขมาตรฐานที่กำหนดอยู่ในกรมธรรม์ทุกประเภททั่วโลกและในประเทศไทยรวมถึงกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 ด้วย ซึ่งเงื่อนไขการบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากสำนักงาน คปภ. ทุกฉบับ”

คำสั่งนายทะเบียนที่ 38/2564 ให้ยกเลิกเงื่อนไขการใช้สิทธิบอกเลิกโดยบริษัทประกันภัย

ในพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ได้ให้อำนาจนายทะเบียนในการสั่งแก้ไขเปลี่ยนแปลงแบบหรือข้อความที่ได้เคยอนุมัติไปแล้วได้ และในวันที่ 16 กรกฎาคม 2564 นายทะเบียนได้ใช้อำนาจในการสั่งยกเลิกเงื่อนไขการใช้สิทธิบอกเลิกโดยบริษัทประกันภัย ทั้งนี้ ในคำสั่งนายทะเบียนที่ 38/2564 ได้ระบุ “ให้ยกเลิกเงื่อนไขการใช้สิทธิบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยโดยบริษัท สำหรับกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 ที่บริษัทได้รับความเห็นชอบจากนายทะเบียนและกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 ที่บริษัทได้ออกให้แก่ผู้เอาประกันภัยก่อนวันที่มีคำสั่งนี้และยังคงมีผลใช้บังคับ”

ขณะที่ ในความเห็นของสำนักงาน คปภ. นั้น คำสั่งนี้มีผลบังคับตามกฎหมาย โดยให้มีผลบังคับย้อนหลังไปถึงกรมธรรม์ที่ได้ออกไปแล้วก่อนหน้าวันที่มีคำสั่งประกาศใช้ ในขณะที่ความเห็นจากกลุ่มบริษัทที่รับประกันภัย COVID-19 นั้น มีความเห็นแตกต่าง ดังนี้

1) คำสั่งนี้มีผลบังคับใช้เฉพาะกรมธรรม์ประกันภัยที่ออกใหม่หลังวันที่ออกคำสั่ง เช่นที่เคยปฏิบัติมา

2) ตามหลักกฎหมายทั่วไป (รัฐธรรมนูญ หลักกฎหมายปกครอง และหลักกฎหมายอาญา) กฎหมายย่อมไม่มีผลบังคับใช้ย้อนหลัง ยกเว้นกฎหมายที่เป็นคุณกับผู้ถูกบังคับ

3) เงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยมีความสัมพันธ์กับนโยบายการรับประกันภัยและอัตราเบี้ยประกันภัย เมื่อมีคำสั่งแก้ไขเฉพาะเงื่อนไข ย่อมไม่เป็นธรรมแก่ผู้รับประกันภัย เพราะเมื่อมีการปรับเงื่อนไข จะทำให้ความเสี่ยงเปลี่ยนไป ผู้รับประกันภัยย่อมมีสิทธิเลือกว่าจะรับประกันภัยต่อไปหรือไม่ และด้วยอัตราเบี้ยประกันภัยเท่าใด

4) มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้รับประกันภัยต่อ เพราะเงื่อนไขที่นายทะเบียนสั่งแก้ไขอาจไม่ตรงกับสัญญาประกันภัยต่อ และจะทำให้เกิดปัญหาเมื่อมีการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากผู้รับประกันภัยต่อ

“เงื่อนไขการใช้สิทธิบอกเลิกเปรียบเสมือนเป็นระบบเซฟทีคัทในบ้านทุกหลัง หรือระบบเบรกในรถยนต์ทุกคัน เพื่อจะใช้ตัดไฟหรือหยุดรถในยามฉุกเฉินหรือเมื่อเกิดเหตุวิกฤต ผมขอเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจน ลองนึกถึงรถที่บรรทุกผู้โดยสารอยู่เต็มคันรถวิ่งจากกรุงเทพไปเชียงราย แต่ระหว่างทางเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดทำให้รถยนต์ได้รับความเสียหายและไม่มีความพร้อมที่จะเดินทางต่อไปได้ จึงมีความจำเป็นต้องหยุดรถเพื่อซ่อมแซมให้เกิดความปลอดภัย แต่มีคนมาสั่งการให้เอาระบบเบรกออกและสั่งให้รถวิ่งต่อไป ซึ่งทางข้างหน้าเป็นทางที่อันตราย และรถก็ไม่มีระบบเบรกแล้ว เช่นนี้ก็จะก่อให้เกิดความเสี่ยงและอันตรายถึงชีวิตทั้งกับคนขับ ผู้โดยสาร และผู้ใช้รถใช้ถนนรายอื่นได้”

หลักการสำคัญที่ผู้กำกับดูแลธุรกิจประกันภัยทั่วโลกใช้สำหรับการกำกับดูแลเสถียรภาพระบบประกันภัยและความเสี่ยงเชิงระบบ

นายอานนท์ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักการสำคัญที่ผู้กำกับดูแลธุรกิจประกันภัยทั่วโลกใช้ในการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยที่เรียกว่า Insurance Core Principles (ICPs) ซึ่งมีหลักการข้อที่ 24 หรือ ICP 24 ว่าด้วยหลักการ Macroprudential Supervision ซึ่งเป็นหลักการข้อที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการกำกับดูแลเสถียรภาพระบบประกันภัยและความเสี่ยงเชิงระบบซึ่งกำลังเกิดขึ้นอยู่ในเวลานี้             

“ใน ICP 24 ได้ระบุชัดเจนว่าสำนักงาน คปภ. มีหน้าที่ในการระบุ ติดตาม และวิเคราะห์ปัจจัยแวดล้อมซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบริษัทประกันภัยและภาคธุรกิจประกันภัย และใช้ข้อมูลที่ได้รับในการระบุจุดเปราะบาง รวมถึงกำหนดมาตรการในจัดการความเสี่ยงเชิงระบบที่กำลังเกิดขึ้นและผลกระทบที่จะแพร่กระจายออกไป ทั้งในระดับบริษัทและในระดับธุรกิจหากมีความจำเป็น โดยผลกระทบเชิงระบบอาจเกิดขึ้นมาจากการที่บริษัทบางบริษัทหรือทั้งภาคธุรกิจต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง รวมถึงความเสี่ยงในรูปแบบอื่น ๆ ซึ่งความเสี่ยงเหล่านี้จะส่งผลกระทบไปยังส่วนอื่นของระบบการเงินหากบริษัทประกันภัยมีการเลิกกิจการ”

นายอานนท์ ได้อธิบายต่อว่า ใน ICP 24 นี้ ยังได้มีการเขียนไว้ชัดเจนเกี่ยวกับเจตนาในการออกกฎหมายเพื่อลดผลกระทบที่จะแพร่กระจายออกไป อันเนื่องมาจากปัญหาเงินกองทุนและสภาพคล่องของบริษัทประกันภัย หรือจาก Exposures ที่มีร่วมกันของกลุ่มของบริษัทประกันภัย ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. อาจออกกฎหมายซึ่งปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ในแต่ละช่วงเวลา ขึ้นอยู่กับสภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป และในการออกกฎหมายให้เหมาะสมกับสถานการณ์นั้น อาจจะอยู่ในรูปของ Rule-based ซึ่งจะมีผลบังคับใช้โดยอัตโนมัติหากเกิดเหตุการณ์ที่เข้าเงื่อนไขที่ได้มีการกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว หรือในรูปของการใช้ดุลยพินิจหากมีเหตุผลประกอบการตัดสินใจที่ชัดแจ้ง การออกกฎหมายในรูปของ Rule-based จะมีความโปร่งใสมากกว่า แต่ก็จำเป็นต้องอาศัยการประเมินอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับความมั่นคงของเงินกองทุนภายใต้สภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจประกันภัย

เกณฑ์ในการบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 แบบเจอจ่ายจบ และมาตรการในการเยียวยาผู้เอาประกันภัยที่ถูกบอกเลิก

เนื่องจากเงินที่บริษัทประกันภัยใช้ในการประกอบธุรกิจส่วนใหญ่นั้น มาจากเบี้ยประกันภัยจากการรับประกันภัยทุกประเภทซึ่งให้ความคุ้มครองผู้เอาประกันภัยทุกประเภทกว่า 70 ล้านกรมธรรม์ หากการจ่ายค่าสินไหมทดแทนจากประกันภัย COVID-19 ส่งผลทำให้บริษัทประกันภัยต้องมีการปิดกิจการเพิ่มอีก ก็จะส่งผลกระทบต่อผู้เอาประกันภัยในวงกว้าง และกองทุนประกันวินาศภัยคงไม่สามารถรับภาระในการชดเชยค่าสินไหมทดแทนทั้งหมดได้

“เนื่องจากธุรกิจประกันวินาศภัยกำลังเผชิญกับความเสี่ยงเชิงระบบซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบประกันภัยในอนาคตอันใกล้ สมาคมฯ จึงได้มีการหารือกับสำนักงาน คปภ. เพื่อหาทางออกร่วมกันตลอดระยะเวลาเกือบ 1 เดือนที่ผ่านมา เพื่อกำหนดมาตรการป้องกันไม่ให้เกิด Outward Risks ซึ่งเป็นความเสี่ยงจากภาคธุรกิจประกันภัยซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบการเงินหรือระบบเศรษฐกิจโดยรวมในที่สุด ตามหลักการของ Insurance Core Principle 24 – Macroprudential Supervision โดยพยายามหาข้อสรุปร่วมกันเพื่อรักษาผลประโยชน์ของผู้เอาประกันภัยส่วนใหญ่และเสถียรภาพของระบบประกันภัยเป็นที่ตั้ง ซึ่งหลังจากพิจารณาแนวทางทั้งหมดที่เป็นไปได้แล้ว ได้มีการกำหนดเกณฑ์ร่วมกันหากจำเป็นต้องมีการบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 แบบเจอจ่ายจบ ดังนี้

1) มีอัตราความเสียหายจากการรับประกันภัย COVID-19  ตั้งแต่ 400% ขึ้นไป หรือ

2) มีค่าสินไหมทดแทนจากการรับประกันภัย COVID-19  ตั้งแต่ 4,000 ล้านบาทขึ้นไป หรือ

3) มีค่าสินไหมทดแทนจากการรับประกันภัย COVID-19  เกินกว่าร้อยละ 10 ของเงินกองทุน

สำหรับมาตรการเยียวยาผู้เอาประกันภัยที่ได้มีการพิจารณาร่วมกัน มีดังต่อไปนี้

1) ได้รับเบี้ยประกันภัยคืน 100% จากบริษัทที่ใช้สิทธิบอกเลิก แทนที่จะได้รับเบี้ยคืนตามส่วนระยะเวลาความคุ้มครองที่เหลืออยู่ หรือ

2) เปลี่ยนเป็นกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19  ฉบับใหม่ ซึ่งจะให้ความคุ้มครองเฉพาะกรณีเจ็บป่วยขั้นสุดท้าย (ภาวะโคม่า) ด้วยทุนประกันภัย 5 เท่าของวงเงินความคุ้มครองแบบเจอจ่ายจบในกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19  ที่ถูกบอกเลิก หรือ

3) เปลี่ยนเป็นกรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลฉบับใหม่ ซึ่งจะให้ความคุ้มครองด้วยทุนประกันภัย 10 เท่าของวงเงินความคุ้มครองแบบเจอจ่ายจบในกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19  ที่ถูกบอกเลิก หรือ

4) นำเบี้ยประกันภัยที่ได้รับคืนตามข้อ 1) มาซื้อกรมธรรม์ประกันภัยอื่นๆ ของบริษัทที่ใช้สิทธิบอกเลิก โดยจะได้รับส่วนลดเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 2 เท่าของเบี้ยประกันภัยที่ได้รับคืน

การบริหารจัดการความเสี่ยงเชิงระบบและเสถียรภาพของระบบประกันวินาศภัย

นายอานนท์ วังวสุ กล่าวว่า ธุรกิจประกันวินาศภัยไทยมีเจตนาดีที่จะนำระบบประกันภัยเข้ามาช่วยในการบริหารความเสี่ยงของประชาชนและภาครัฐอย่างเต็มความสามารถ โดยได้ร่วมกับสำนักงาน คปภ. พัฒนากรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 เพื่อเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงด้านสุขภาพและการเงินให้กับประชาชน และช่วยแบ่งเบาภาระของภาครัฐในเรื่องของการจ่ายค่ารักษาพยาบาลและการชดเชยรายได้

อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อจำกัดของเงินกองทุนที่มีอยู่ กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ซึ่งเป็นความเสี่ยงอุบัติใหม่ที่ยังคงลากยาวต่อเนื่อง และค่าสินไหมทดแทนที่เกิดขึ้นในระดับที่จะส่งผลต่อเสถียรภาพของระบบประกันภัยและผู้ถือกรมธรรม์ประกันภัยอื่นอีกกว่า 70 ล้านกรมธรรม์ จึงทำให้สมาคมฯ ต้องแจ้งให้บริษัทสมาชิกที่รับประกันภัย COVID-19 แบบเจอ จ่าย จบ ให้วิเคราะห์ผลการรับประกันภัยและทบทวนการบริหารความเสี่ยงและเงินกองทุนของบริษัทเนื่องมาจากภาพรวมและปัจจัยความเสี่ยงที่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยขอให้บริษัทสมาชิกประเมินค่าสินไหมทดแทนที่ได้เกิดขึ้นแล้วและที่คาดว่าจะเกิดในอนาคต โดยเฉพาะกรณีหากมีการระบาดระลอกใหม่ขึ้น ว่าจะส่งผลกระทบต่อเงินกองทุนและฐานะการเงินของบริษัทจนทำให้ไม่สามารถประกอบธุรกิจต่อไปได้หรือไม่

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...