โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

เจิ้งเหอ แม่ทัพขันที ‘ซำปอกง’ ลงเรือมหาสมบัติ กับฉบับพิมพ์ครั้งที่ 4 เข้มข้นเหมือนเดิม เพิ่มเติมปมปริศนา

MATICHON ONLINE

อัพเดต 09 มิ.ย. 2566 เวลา 09.24 น. • เผยแพร่ 08 มิ.ย. 2566 เวลา 05.30 น.

เจิ้งเหอ แม่ทัพขันที ‘ซำปอกง’ ลงเรือมหาสมบัติ กับฉบับพิมพ์ครั้งที่ 4 เข้มข้นเหมือนเดิม เพิ่มเติมปมปริศนา

หันหัวเรือกลับมาอีกครั้ง สำหรับ เจิ้งเหอ แม่ทัพขันที “ซำปอกง” ผลงาน ปริวัฒน์ จันทร ซึ่งได้รับการพิมพ์ซ้ำเป็นครั้งที่ 4 ด้วยความเข้มข้นดังเดิม เพิ่มเติมคือความสมบูรณ์ที่มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาและภาพประกอบ 4 สี ใน 3 หัวข้อ ได้แก่ ตามรอยเจิ้งเหอในนครนานกิง เมืองสำคัญอันเกี่ยวเนื่องกับชีวประวัติของเจิ้งเหอและกองเรือมหาสมบัติซึ่งขึ้นแท่นมรดกโลก หลวงพ่อโตซำปอกงและรูปเคารพเจิ้งเหอในประเทศไทยหลายจังหวัด และปมปริศนาการหายตัวไปของ ‘เจี้ยนเหวิน’ จักรพรรดิองค์ที่ 2 แห่งราชวงศ์หมิง

การันตีคุณภาพด้วย 2 รางวัล ได้แก่ รางวัลชมเชย ประเภทสารคดี ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ ประจำปี พ.ศ.2547 และได้รับคัดเลือกให้เป็นหนังสือประเภทสารคดีแนะนำให้อ่าน ในการประกวดหนังสือเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ครั้งที่ 2 ประจำปี พ.ศ.2547

นอกจากนี้ ยังมีคำนำเสนอโดย พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านโบราณคดีและพิพิธภัณฑ์ กรมศิลปากร ซึ่งกล่าวถึงประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างเจิ้งเหอกับประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยาไว้อย่างน่าสนใจ

สำนักพิมพ์มติชน ชวนย้อนอดีตกลับไปสำรวจประวัติศาสตร์เมื่อจีนขยายอำนาจ อ่านเรื่องราวของ ‘เจิ้งเหอ’ ตั้งแต่ถิ่นกำเนิดในคุนหมิง ระหกระเหินจากบ้านไปเป็นขันทีของว่าที่จักรพรรดิ ก่อนจะแสดงฝีมือและปัญญาเข้าตา จนได้เป็นแม่ทัพกองเรือมหาสมบัติบุกเบิกการสำรวจทางทะเลของจีนในช่วงราชวงศ์หมิง โดยการอุปถัมภ์ส่งเสริมจากจักรพรรดิหย่งเล่อ ผู้มองเห็นประโยชน์ทางการค้าทางทะเลทั้งความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและความรุ่มรวยทางวัฒนธรรม สู่การขยายพระราชอำนาจให้กว้างไกลตั้งแต่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จนถึงชายฝั่งแอฟริกา จวบจนสิ้นสุดแผนการสำรวจทางทะเล คงเหลือไว้เพียงบันทึกบอกเล่าเรื่องราวและมรดกทางวัฒนธรรมของความสัมพันธ์กับบ้านเมืองในอดีตจากเจิ้งเหอ แม่ทัพขันที ‘ซำปอกง’ นักเดินเรือผู้เกรียงไกรที่สุดผู้หนึ่งในประวัติศาสตร์จีน

เจิ้งเหอ ซานเป่า ซำปอกง

‘เจิ้งเหอ’ คือขันทีผู้ทำงานรับใช้เชื้อพระวงศ์ชั้นสูงของราชสำนักหมิง ได้รับการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพบัญชาการกองเรือมหาสมบัติของจักรพรรดิหย่งเล่อแห่งราชวงศ์หมิง (พ.ศ.1943-1967) ล่องทะเลแผ่อิทธิพลทางการค้าและการเมืองทั่วมหาสมุทร ตั้งแต่ทะเลจีนใต้จนถึงชายฝั่งแอฟริกา

เกิดที่ตำบลคุนหยาง ในนครคุนหมิง แห่งมณฑลยูนนาน มีสกุลเดิมว่า “หม่า” สันนิษฐานว่ามาจากคำว่า “มะหะหมัด” ในภาษาอาหรับ เกิดใน ค.ศ.1371 พื้นเพเดิมของครอบครัวเป็นชาวมุสลิมที่อพยพมาจากดินแดนทางภาคตะวันตก แถบเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ในปัจจุบัน เจิ้งเหอมีชื่อรองคือ “ซานเป่า” แปลว่าบุตรคนที่ 3 อีกทั้งยังแปลว่าดวงแก้วทั้ง 3 ประการ ซึ่งก็คือพระรัตนตรัย ต่อมาจึงได้มีการเรียกเจิ้งเหออีกชื่อหนึ่งว่า “ซานเป่ากง” หรือ “ซำปอกง” ในสำเนียงจีนแต้จิ๋ว โดยคำว่า “กง” หมายถึง ปู่หรือผู้อาวุโส ใช้เรียกต่อท้ายชื่อเพื่อให้เกียรติ

ซําปอกง เป็นตํานานที่คนเชื้อสายจีนในบางประเทศของภูมิภาคอุษาคเนย์เชื่อถือและให้ความเคารพ ทั้งในฐานะที่มีความเกี่ยวข้องกับความเป็นมาของบรรพบุรุษของตน และทั้งในฐานะที่เกี่ยวข้องกับศาสนา เช่น ที่วัดอันชอลในกรุงจาการ์ตา อินโดนีเซีย ที่วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร ฝั่งธนบุรี วัดโสธรวรารามวรวิหาร ที่ฉะเชิงเทรา และวัดพนัญเชิง ที่พระนครศรีอยุธยา

จากขันทีสู่แม่ทัพบัญชาการ ‘กองเรือมหาสมบัติ’

กลับมาที่ชีวิตของเจิ้งเหอ เมื่อราชวงศ์หมิงรุกไล่ทหารมองโกลซึ่งตั้งฐานที่มั่นในนครคุนหมิง เขตมณฑลยูนนานได้สำเร็จ เจิ้งเหอในฐานะเชลยก็ถูกจับโดยกองทหารราชวงศ์หมิงกลับไปยังนครนานกิง และถูกตอนเป็นขันทีเพื่อส่งตัวเข้ามารับใช้ในวังของเจ้าชายจูตี้ ซึ่งก็คืออนาคตจักรพรรดิหย่งเล่อโดยเจิ้งเหอได้รับการศึกษางานเขียนของขงจื๊อและเมิ่งจื๊อเช่นเดียวกับนักศึกษาชาวจีนทั้งหลาย ศึกษาตำราพิชัยสงคราม การบัญชาการรบ และมีโอกาสออกงานการศึกกับเจ้าชายจูตี้หลายครั้ง โดยมีบทบาทอย่างโดดเด่นในการร่วมรบกับพวกมองโกลใน ค.ศ.1390 พิทักษ์เมืองเป่ยผิงใน ค.ศ.1399 ตลอดจนการยกทัพลงใต้ใน ค.ศ.1402 เพื่อยึดนครนานกิง เจิ้งเหอจึงได้รับความไว้วางใจจากเจ้าชายจูตี้อย่างมาก

เมื่อจักรพรรดิหย่งเล่อขึ้นเสวยราชย์นั้น พระองค์ทรงให้อำนาจแก่เหล่าขันทีผู้มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้ช่วงชิงบัลลังก์ให้แด่พระองค์ โดยพระราชทานรางวัลและแต่งตั้งให้เจิ้งเหอมีหน้าที่รับผิดชอบในการก่อสร้างพระราชวัง สุสาน จัดหาของใช้ให้แก่ราชสำนัก พร้อมกับพระราชทานชื่อสกุลให้ใหม่ว่า “เจิ้ง” แทนสกุลเดิมว่า “หม่า”

ใน ค.ศ.1403 ภายหลังการเสด็จขึ้นครองราชย์ได้เพียงปีเดียว จักรพรรดิหย่งเล่อมีพระบรมราชโองการให้ก่อสร้างกองเรือสินค้า เรือรบ และเรือสนับสนุน เพื่อไปเยือนยังเมืองท่าในทะเลจีนใต้และมหาสมุทรอินเดีย ทำการค้าทางทะเลและแสวงหาผลกำไรเข้าสู่ราชสำนัก นับเป็นกองเรือที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ชาติจีน โดยแต่งตั้งให้เจิ้งเหอเป็นแม่ทัพบัญชาการกองเรือมหาสมบัติ การสำรวจทางทะเลของเจิ้งเหอไม่ใช่เพียงการเข้าไปค้าขายนำสินค้าจากดินแดนไกลโพ้นกลับมาจีนเท่านั้น แต่ยังเป็นการขยายพระราชอำนาจของราชวงศ์หมิงให้กว้างไกลกว่าเดิมอีกด้วย

กองเรือของนายพลเจิ้งเหอนั้น มีเรือถึง 62 ลํา มีทหารประจําการไปกับเรือรวมทั้งหมด 27,870 คน เรือลําที่ใหญ่ที่สุดยาว 140 เมตร และกว้างถึง 60 เมตร มีใบลําละ 12 ใบ ลูกเรือประจําลําละ 300 คน บรรทุกผู้โดยสารได้ลําละ 1,000 คน จัดได้ว่าเป็นกองเรือขนาดใหญ่มากที่สุดในโลกสมัยโบราณ เจิ้งเหอนั้นมีเชื้อชาติมองโกล พื้นเดิมอยู่ในแถบเอเชียกลาง และนับถือศาสนาอิสลาม ตัวท่านเองเป็นบุตรของหะยี (หัญจี) เชื้อสายของท่านถูกจีนกวาดต้อนเทครัวมาตั้งหลักแหล่งในยูนนานตั้งแต่ชั้นปู่ และมาถึงตัวท่านก็ได้เป็นขันทีเข้ารับราชการในพระจักรพรรดิจีน

ช่วงเวลาการเดินทาง มีการสํารวจเส้นทางเรือถึง 7 ครั้ง ในระยะเวลา 28 ปี ระหว่าง พ.ศ.1948 จนถึง พ.ศ.1976 แวะเยี่ยมประเทศต่างๆ ถึง 30 ประเทศ ครอบคลุมตั้งแต่อินโดนีเซีย ถึงเมืองเอเดน (ทางใต้ของอาระเบีย) จนจรดมาดากัสการ์ทางด้านตะวันออกของแอฟริกา ในหนังสือบางเล่มระบุว่าเจิ้งเหอได้แวะเข้ามาเมืองไทยในเดือนที่ 9 เมื่อ พ.ศ.1953

คลื่นทะเล กระเพื่อมประวัติศาสตร์ เมื่อจีนหนุน ‘เจ้านครอินทร์’ เสวยราชย์

อีกประเด็นสำคัญในการเดินทางของเจิ้งเหอที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ไทยถึงขนาดสร้างความเปลี่ยนแปลง คือการที่จีนอุดหนุนเจ้านครอินทร์แห่งรัฐสุพรรณภูมิ ยกกําลังยึดครองอยุธยา ขับไล่กษัตริย์เชื้อสายละโว้ (ลพบุรี) โดยให้เจิ้งเหอ แม่ทัพขันที “ซําปอกง” ยกขบวนสําเภาผ่านเข้ามาจากอ่าวไทย เจ้านครอินทร์ก็ได้เสวยราชย์ที่อยุธยา ระหว่าง พ.ศ.1952-1967

นักวิชาการทางประวัติศาสตร์ของไทยจึงให้ความสนใจต่อการเดินทางของเจิ้งเหอ โดยเฉพาะการเดินทางครั้งที่ 2 ที่มายังอาณาจักรเสียนหลอ หรือกรุงศรีอยุธยา ว่าน่าจะมีส่วนกระทบถึงการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญทางการเมืองของราชอาณาจักรสยามด้วย เพราะปีที่เจิ้งเหอเดินทางมาถึงกรุงศรีอยุธยานั้น เป็นปีที่สมเด็จพระนครินทราธิราช หรือเจ้านครอินทร์ ได้ขึ้นเสวยราชสมบัติกรุงศรีอยุธยา โดยขุนนางทั้งหลายเป็นใจ ถอดสมเด็จพระรามราชาธิราชไปไว้ที่เมืองปทาคูจาม และเชิญเสด็จเจ้านครอินทร์จากสุพรรณภูมิเข้ามาเป็นกษัตริย์ราชวงศ์สุพรรณภูมิ ที่เสวยอํานาจสืบเนื่องกันต่อมาอย่างยั่งยืนโดยตลอดจนกรุงแตกเสียแก่พม่าเมื่อ พ.ศ.2112

เจ้านครอินทร์ คือเจ้านายไทยที่มีความคุ้นเคยกับราชสํานักจีนที่ให้การรับรองคณะทูตของพระองค์ แม้ในขณะที่ราชบัลลังก์กรุงศรีอยุธยาจะตกอยู่ในอํานาจของราชวงศ์อื่น

เจ้านครอินทร์ คือเจ้านายไทย ผู้เคยเสด็จไปเป็นทูตยังราชสํานักจีนด้วยพระองค์เอง

เจ้านครอินทร์ เป็นผู้สืบเชื้อสายทางพระราชมารดาจากราชวงศ์สุโขทัย จนเกิดเป็นเรื่องบอกเล่าในลักษณะตํานานว่าเป็นพระร่วงที่ไปนําช่างทําถ้วยชามจากเมืองจีนมาทําที่สุโขทัย

ด้วยเหตุนี้เจ้านครอินทร์จึงมีความชอบธรรมที่จะขึ้นเสวยราชสมบัติกรุงศรีอยุธยาเป็นสมเด็จพระนครินทราธิราช นับเป็นความชอบธรรมแบบใหม่ที่พระเจ้าจักรพรรดิจีนผู้เป็นโอรสแห่งสวรรค์ได้พระราชทานมากับกองเรือรบของเจิ้งเหอเข้ามาแทนที่ความชอบธรรมแบบเก่า ที่เทวาสมมุติให้แก่กษัตริย์ราชวงศ์ละโว้-อโยธยา ผู้สถาปนาและครองราชสมบัติกรุงศรีอยุธยาแต่เดิม

ลงเรือมหาสมบัติไปกับเจิ้งเหอ แม่ทัพขันที “ซำปอกง” พร้อมสำรวจประวัติศาสตร์ความเกรียงไกรในด้านการสำรวจทางทะเลของจีน ที่แผ่อิทธิพลการค้าและการเมืองทั่วท้องมหาสมุทรอย่างยิ่งใหญ่ได้แล้ววันนี้

เจิ้งเหอ แม่ทัพขันที ‘ซำปอกง’

จำนวน 424 หน้า ราคา 420 บาท
ประกอบด้วย เนื้อหาเข้มข้น 15 บท ดังนี้
-คุนหยาง ถิ่นกำเนิดเจิ้งเหอ
-เจ้าชายหนุ่มกับขันทีน้อย
-อุดมการณ์แห่งความขัดแย้ง 2,000 ปี
-กองเรือมหาสมบัติอันเกรียงไกร
-ปลายทางแรกมุ่งสู่… เมืองคาลิคัท
-บทบาทของเจิ้งเหอกับอาณาจักรอยุธยา มะละกา และลังกา
-ราชทูตแห่งองค์จักรพรรดิมังกร
-การปรากฏกายของสัตว์เทพเจ้าในตำนาน
-ปักกิ่ง มหานครแห่งความโอฬาร
-เพลิงพิโรธที่พระราชวังต้องห้าม
-สมุทรยาตราครั้งสุดท้าย
-ความล่มสลายแห่งกองเรือมหาสมบัติ
-มรดกวัฒนธรรมซำปอกง
-ไขปริศนา “ขุนชวงเลียงฦๅเกียรติ” คือทายาทรุ่นใดของเจิ้งเหอ?
-ตามรอยเจิ้งเหอในนครนานกิง
ติดตามทุกช่องทางของสำนักพิมพ์มติชนที่
Line : @matichonbook
Youtube : Matichon Book
Tiktok : @matichonbook
Twitter : matichonbooks
Instagram : matichonbook
โทร 0-2589-0020 ต่อ 3350-3360

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...