โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

สื่อสารอย่างไรในวันที่หัวใจเราขัดแย้งกัน - หมอเอิ้น พิยะดา

TOP PICK TODAY

เผยแพร่ 22 ต.ค. 2563 เวลา 14.48 น. • หมอเอิ้น พิยะดา

สื่อสารอย่างไรในวันที่หัวใจเราขัดแย้งกัน

Transparent communication

ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ เราต่างรู้สึกว่าบรรยากาศและสภาพอากาศช่วงที่ผ่านมาช่างเงียบเหงา ซึมเซา

แต่ในบรรยากาศภายนอกที่เป็นเช่นนี้ บรรยายกาศภายในจิตใจของผู้คน กลับเต็มไปด้วยความกังวล

สับสน หลายคนมีความโกรธและความขัดแย้งระหว่างตัวเองกับคนอื่น โดยเฉพาะกับคนในครอบครัว

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาหมอใช้เวลาทั้งหมดของการทำงานทำในสองหน้าที่

หนึ่งคือการบรรยายเพื่อเตรียมเกษียณอย่างมีความสุขให้กับคนอายุ 45-55 ปี ในองค์กรใหญ่

สองคือการตรวจและทำจิตบำบัดรายบุคคลให้กับคนที่มีความไม่สบายใจ

ปรากฏว่าในช่วงนี้คนทั้งสองกลุ่มกำลังมีปัญหาความไม่สบายใจเดียวกันแม้จะเป็นคนละเรื่องกัน

นั้นคือความเห็นแตกต่างทางแนวคิดและการแสดงออกด้านการเมืองกับคนในครอบครัว

 คนวัยพ่อแม่ก็รู้สึกไม่เข้าใจในแนวคิดและเป็นห่วงลูกที่ออกไปชุมนุม ลูกก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อแม่ไม่สนับสนุนในความคิดและการแสดงออกที่พวกเค้ามองว่าเป็นประโยชน์ต่อประเทศและอนาคตของตัวลูกเอง

พ่อแม่เกิดการห้ามปราม

ลูกเกิดความโต้แย้ง

พ่อแม่ตกใจที่ลูกไม่เชื่อฟังอย่างเคย

ลูกเกิดความไม่เข้าใจว่าทำไมต้องฟังเรื่องนี้

พ่อแม่เริ่มอยากให้ลูกเชื่อตัวเอง

ลูกก็อยากให้พ่อแม่เชื่อตัวเอง

พ่อแม่เริ่มยัดเยียดความเชื่อที่น่าจะปลอดภัย

ลูกปฏิเสธและเริ่มยัดเยียดความเชื่อของตัวเองที่คิดว่าถูกต้องให้พ่อแม่บ้าง

พ่อแม่สงสัยทำไมลูกเป็นแบบนี้

ลูกสงสัยกลับว่าแล้วทำไมเป็นแบบนี้ไม่ได้

พ่อแม่เกิดความกังวลกับสิ่งที่ตัวเองเคยควบคุมได้วันนี้ควบคุมไม่ได้

ลูกรู้สึกว่าตัวเองยิ่งถูกควบคุมยิ่งต้องต่อต้าน

พ่อแม่เริ่มเปลี่ยนจากความห่วง ไปเป็นความกังวล ความกลัว และความโกรธ

ลูกเริ่มต่อต้านความโกรธ แล้วโต้ตอบความโกรธด้วยความโกรธจนมองไม่เห็นความเป็นห่วง

พ่อแม่เริ่มไม่ยอมให้ลูกเป็นแบบที่ลูกเป็น

ลูกก็ไม่ยอมเป็นแบบที่พ่อแม่อยากให้เป็น

กับครอบครัวที่กำลังเจอสถานการณ์เช่นนี้ ภาพสุดท้ายที่ออกมามีหลายรูปแบบคือ

พ่อแม่นอนร้องไห้ทุกวันที่ลูกไม่เชื่อฟัง

หรือลูกนอนร้องไห้ทุกวันเพราะพ่อแม่ไม่ยอมฟัง

พ่อแม่ระแวงทุกครั้งที่ลูกออกนอกบ้าน

ลูกระแวงทุกครั้งว่าพ่อแม่จะจับได้ที่ตัวเองไม่ทำตาม

พ่อแม่จัดการอารมณ์ตัวเองไม่ได้ใช้การขู่ว่าจะไล่ออกจากบ้าน

ลูกเชื่อว่าสิ่งที่ขู่นั้นจริงและออกจากบ้านไป

หลังจากที่ลูกออกจากบ้านไปหัวใจของพ่อแม่ยิ่งห่วงและอ้างว้าง

หลังจากลูกออกจากบ้านมา หัวใจของลูกก็โดดเดี่ยวและเคว้งคว้างเช่นกัน

ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นแล้ว และจะเกิดมากขึ้นเรื่อยๆหากเรายังไม่อาจเคารพความแตกต่าง

และไม่มีวิธีสื่อสารความแตกต่างอย่างสันติสุข

แล้วเราจะเริ่มต้นการสื่อสารความแตกต่างอย่างสันติได้อย่างไร?

1. Reset mindset

ปรับเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อวัยที่แตกต่างแล้วทำให้เรารู้สึกแตกแยก โดยลองถามตัวเองว่า

“ทัศนคติต่อคนแต่ละวัยของเราเป็นอย่างไร?”

ช่วงวัยและการเติบโตที่แตกต่างทำให้เรามีชุดความทรงจำที่แตกต่างกัน เช่นถ้าพ่อแม่มีภาพจำว่า ลูกที่ดีคือลูกที่ต้องเชื่อฟังสิ่งที่พ่อแม่บอกเท่านั้นเหมือนที่พ่อแม่เคยเป็นมาก่อน ลูกมีภาพจำว่าพ่อแม่ที่ดีต้องเป็นเหมือนภาพที่เราอยากให้เป็นเท่านั้น เมื่ออีกฝ่ายไม่เป็นอย่างที่เราอยากให้เป็นอาจเกิดความผิดหวัง

การตัดสินซึ่งกันและกันจึงเกิดขึ้น หากเป็นเช่นนั้นลองกลับมาให้เกียรติกันและกันโดยให้อิสระที่เราจะคิดไม่เหมือนกัน รู้สึกไม่เหมือนกันโดยไม่ต้องตัดสินว่าถูกหรือผิด และยัดเยียดความคิดของตัวเองให้อีกฝ่ายต้องคิดเหมือนตัวเอง

เพราะการสื่อสารที่ดีจะเกิดขึ้นได้เราต้องมีความปรารถนาดีต่อคู่สนทนาเป็นพื้นฐาน

2. กลับมาเป็นผู้สังเกตการณ์( Observer ) โดยถามตัวเองว่า

“เราสังเกตเห็นอารมณ์และความคิดอะไรในตัวเองบ้าง?”

อารมณ์และความคิดเป็นสิ่งที่เราห้ามไม่ได้เกิดขึ้น คงอยู่และหายไปเป็นธรรมชาติ การที่เราไม่รับรู้อารมณ์และความคิดที่เกิดขึ้น แล้วปล่อยให้เป็นพฤติกรรมอัตโนมัติ มักสร้างความเดือดร้อนให้ตัวเองหรือผู้อื่นเสมอ เช่นเมื่อพ่อแม่พูดในสิ่งที่ลูกไม่อยากได้ยิน ลูกก็ผิดหวังและโต้เถียงทันที เมื่อลูกเถียงพ่อแม่โกรธก็ตะคอกลูกกลับทันที กลายเป็นสงครามในบ้านทันที

3. จัดการกับอารมณ์และความคิดที่เกิดขึ้นอย่างเหมาะสม (Emotional management) โดยถามตัวเองว่า“ เราจะจัดการกับอารมณ์และความคิดของเราอย่างไร?”

ต่อให้พ่อแม่รักและห่วงใยลูกแค่ไหน หากการสื่อสารครั้งนั้นเต็มไปด้วยความโกรธ ลูกก็จะรับรู้แค่ว่าพ่อแม่โกรธ ลูกเองก็เช่นเดียวกัน การรับรู้อารมณ์แต่ไม่รู้จักจัดการอารมณ์ก่อนการสื่อสาร การสื่อสารครั้งนั้นก็จะกลายเป็นสงครามอารมร์ที่มีจุดกำเนิดจากความรักเท่านั้น

4. มองเห็นความต้องการภายใต้อารมณ์และความคิดของตัวเอง (Need)

โดยถามตัวเองว่า “กับสถานการณ์นี้ลึกๆแล้วเรากำลังต้องการอะไร?”

เพราะการมองเห็นความต้องการที่ซ่อนอยู่จะทำให้เรารับมือกับอารม์ตัวเองง่ายขึ้น เช่น พ่อแม่โกรธที่ลูกไม่เชื่อฟังเพราะกลัวว่าลูกจะไม่ปลอดภัย ความต้องการที่แท้จริงคืออยากให้ลูกมีความปลอดภัย

5. ไม่มีทางออกที่ดีที่สุด มีแต่ทางออกที่เหมาะสมที่สุดในเวลานั้น (Apply Solutions) โดยถามตัวเองว่า “อะไรคือพฤติกรรมตรงกลางระหว่างความคิดที่แตกต่างนี้” 

เราทุกคนต่างมีความสุขเมื่อความต้องการของเราถูกตอบสนอง จึงไม่มีใครยอมสูญเสียความต้องการของตัวเอง ความขัดแย้งจึงเกิดขึ้น การจัดการอารมณ์ทางด้านลบโดยใช้สติในการพูดคุยถึงทางออกตรงกลางระหว่างความต้องการที่แตกต่างจึงเป็นการสงบความขัดแย้งในบ้านอย่างยั่งยืน

6. ชื่นชมในการเสียสละความต้องการบางอย่างของตัวเองเพื่อให้อีกฝ่ายได้มีอิสระ (Kindness)

โดยถามตัวเองว่า “เราจะสื่อสารให้คนฟังรู้สึกดีได้อย่างไร?”

เช่น ขอบคุณนะที่รับฟังเราแม้ว่าเราจะคิดไม่เหมือนกัน

 “หมอครับลูกผมขอไปชุมนุมทางการเมือง ผมก็เป็นห่วงในเรื่องความปลอดภัยเพราะเค้าคือแก้วตาดวงใจของผม ผมไม่ห้ามเรื่องความคิด แต่ผมกลัวห้ามเค้าไม่ได้เลยพยายามหาเหตุผลเพื่อให้เค้าไม่ไปจนกลายเป็นทะเลาะกัน ผมพูดอย่างไรดี ?”

 หมอเลยตอบว่า “พูดอย่างที่คุณพ่อเล่าให้หมอฟังนี่ละคะ พ่อได้พูดกับลูกแบบนี้รึป่าว?” “ป่าวครับผมใช้เหตุผลและคำสั่ง” หนึ่งวันผ่านไปคุณพ่อท่านนี้ก็ส่งข้อความมาบอกว่า“ขอบคุณนะครับคุณหมอ ผมลองใช่การสื่อสารแบบใหม่แล้วบ้านเย็นขึ้นเยอะเลยครับ”

----

 ติดตามบทความใหม่ ๆ จาก หมอเอิ้น พิยะดา ได้ทุกวันพฤหัสบดี บน LINE TODAY

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...