สื่อสารอย่างไรในวันที่หัวใจเราขัดแย้งกัน - หมอเอิ้น พิยะดา
สื่อสารอย่างไรในวันที่หัวใจเราขัดแย้งกัน
Transparent communication
ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ เราต่างรู้สึกว่าบรรยากาศและสภาพอากาศช่วงที่ผ่านมาช่างเงียบเหงา ซึมเซา
แต่ในบรรยากาศภายนอกที่เป็นเช่นนี้ บรรยายกาศภายในจิตใจของผู้คน กลับเต็มไปด้วยความกังวล
สับสน หลายคนมีความโกรธและความขัดแย้งระหว่างตัวเองกับคนอื่น โดยเฉพาะกับคนในครอบครัว
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาหมอใช้เวลาทั้งหมดของการทำงานทำในสองหน้าที่
หนึ่งคือการบรรยายเพื่อเตรียมเกษียณอย่างมีความสุขให้กับคนอายุ 45-55 ปี ในองค์กรใหญ่
สองคือการตรวจและทำจิตบำบัดรายบุคคลให้กับคนที่มีความไม่สบายใจ
ปรากฏว่าในช่วงนี้คนทั้งสองกลุ่มกำลังมีปัญหาความไม่สบายใจเดียวกันแม้จะเป็นคนละเรื่องกัน
นั้นคือความเห็นแตกต่างทางแนวคิดและการแสดงออกด้านการเมืองกับคนในครอบครัว
คนวัยพ่อแม่ก็รู้สึกไม่เข้าใจในแนวคิดและเป็นห่วงลูกที่ออกไปชุมนุม ลูกก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อแม่ไม่สนับสนุนในความคิดและการแสดงออกที่พวกเค้ามองว่าเป็นประโยชน์ต่อประเทศและอนาคตของตัวลูกเอง
พ่อแม่เกิดการห้ามปราม
ลูกเกิดความโต้แย้ง
พ่อแม่ตกใจที่ลูกไม่เชื่อฟังอย่างเคย
ลูกเกิดความไม่เข้าใจว่าทำไมต้องฟังเรื่องนี้
พ่อแม่เริ่มอยากให้ลูกเชื่อตัวเอง
ลูกก็อยากให้พ่อแม่เชื่อตัวเอง
พ่อแม่เริ่มยัดเยียดความเชื่อที่น่าจะปลอดภัย
ลูกปฏิเสธและเริ่มยัดเยียดความเชื่อของตัวเองที่คิดว่าถูกต้องให้พ่อแม่บ้าง
พ่อแม่สงสัยทำไมลูกเป็นแบบนี้
ลูกสงสัยกลับว่าแล้วทำไมเป็นแบบนี้ไม่ได้
พ่อแม่เกิดความกังวลกับสิ่งที่ตัวเองเคยควบคุมได้วันนี้ควบคุมไม่ได้
ลูกรู้สึกว่าตัวเองยิ่งถูกควบคุมยิ่งต้องต่อต้าน
พ่อแม่เริ่มเปลี่ยนจากความห่วง ไปเป็นความกังวล ความกลัว และความโกรธ
ลูกเริ่มต่อต้านความโกรธ แล้วโต้ตอบความโกรธด้วยความโกรธจนมองไม่เห็นความเป็นห่วง
พ่อแม่เริ่มไม่ยอมให้ลูกเป็นแบบที่ลูกเป็น
ลูกก็ไม่ยอมเป็นแบบที่พ่อแม่อยากให้เป็น
กับครอบครัวที่กำลังเจอสถานการณ์เช่นนี้ ภาพสุดท้ายที่ออกมามีหลายรูปแบบคือ
พ่อแม่นอนร้องไห้ทุกวันที่ลูกไม่เชื่อฟัง
หรือลูกนอนร้องไห้ทุกวันเพราะพ่อแม่ไม่ยอมฟัง
พ่อแม่ระแวงทุกครั้งที่ลูกออกนอกบ้าน
ลูกระแวงทุกครั้งว่าพ่อแม่จะจับได้ที่ตัวเองไม่ทำตาม
พ่อแม่จัดการอารมณ์ตัวเองไม่ได้ใช้การขู่ว่าจะไล่ออกจากบ้าน
ลูกเชื่อว่าสิ่งที่ขู่นั้นจริงและออกจากบ้านไป
หลังจากที่ลูกออกจากบ้านไปหัวใจของพ่อแม่ยิ่งห่วงและอ้างว้าง
หลังจากลูกออกจากบ้านมา หัวใจของลูกก็โดดเดี่ยวและเคว้งคว้างเช่นกัน
ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นแล้ว และจะเกิดมากขึ้นเรื่อยๆหากเรายังไม่อาจเคารพความแตกต่าง
และไม่มีวิธีสื่อสารความแตกต่างอย่างสันติสุข
แล้วเราจะเริ่มต้นการสื่อสารความแตกต่างอย่างสันติได้อย่างไร?
1. Reset mindset
ปรับเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อวัยที่แตกต่างแล้วทำให้เรารู้สึกแตกแยก โดยลองถามตัวเองว่า
“ทัศนคติต่อคนแต่ละวัยของเราเป็นอย่างไร?”
ช่วงวัยและการเติบโตที่แตกต่างทำให้เรามีชุดความทรงจำที่แตกต่างกัน เช่นถ้าพ่อแม่มีภาพจำว่า ลูกที่ดีคือลูกที่ต้องเชื่อฟังสิ่งที่พ่อแม่บอกเท่านั้นเหมือนที่พ่อแม่เคยเป็นมาก่อน ลูกมีภาพจำว่าพ่อแม่ที่ดีต้องเป็นเหมือนภาพที่เราอยากให้เป็นเท่านั้น เมื่ออีกฝ่ายไม่เป็นอย่างที่เราอยากให้เป็นอาจเกิดความผิดหวัง
การตัดสินซึ่งกันและกันจึงเกิดขึ้น หากเป็นเช่นนั้นลองกลับมาให้เกียรติกันและกันโดยให้อิสระที่เราจะคิดไม่เหมือนกัน รู้สึกไม่เหมือนกันโดยไม่ต้องตัดสินว่าถูกหรือผิด และยัดเยียดความคิดของตัวเองให้อีกฝ่ายต้องคิดเหมือนตัวเอง
เพราะการสื่อสารที่ดีจะเกิดขึ้นได้เราต้องมีความปรารถนาดีต่อคู่สนทนาเป็นพื้นฐาน
2. กลับมาเป็นผู้สังเกตการณ์( Observer ) โดยถามตัวเองว่า
“เราสังเกตเห็นอารมณ์และความคิดอะไรในตัวเองบ้าง?”
อารมณ์และความคิดเป็นสิ่งที่เราห้ามไม่ได้เกิดขึ้น คงอยู่และหายไปเป็นธรรมชาติ การที่เราไม่รับรู้อารมณ์และความคิดที่เกิดขึ้น แล้วปล่อยให้เป็นพฤติกรรมอัตโนมัติ มักสร้างความเดือดร้อนให้ตัวเองหรือผู้อื่นเสมอ เช่นเมื่อพ่อแม่พูดในสิ่งที่ลูกไม่อยากได้ยิน ลูกก็ผิดหวังและโต้เถียงทันที เมื่อลูกเถียงพ่อแม่โกรธก็ตะคอกลูกกลับทันที กลายเป็นสงครามในบ้านทันที
3. จัดการกับอารมณ์และความคิดที่เกิดขึ้นอย่างเหมาะสม (Emotional management) โดยถามตัวเองว่า“ เราจะจัดการกับอารมณ์และความคิดของเราอย่างไร?”
ต่อให้พ่อแม่รักและห่วงใยลูกแค่ไหน หากการสื่อสารครั้งนั้นเต็มไปด้วยความโกรธ ลูกก็จะรับรู้แค่ว่าพ่อแม่โกรธ ลูกเองก็เช่นเดียวกัน การรับรู้อารมณ์แต่ไม่รู้จักจัดการอารมณ์ก่อนการสื่อสาร การสื่อสารครั้งนั้นก็จะกลายเป็นสงครามอารมร์ที่มีจุดกำเนิดจากความรักเท่านั้น
4. มองเห็นความต้องการภายใต้อารมณ์และความคิดของตัวเอง (Need)
โดยถามตัวเองว่า “กับสถานการณ์นี้ลึกๆแล้วเรากำลังต้องการอะไร?”
เพราะการมองเห็นความต้องการที่ซ่อนอยู่จะทำให้เรารับมือกับอารม์ตัวเองง่ายขึ้น เช่น พ่อแม่โกรธที่ลูกไม่เชื่อฟังเพราะกลัวว่าลูกจะไม่ปลอดภัย ความต้องการที่แท้จริงคืออยากให้ลูกมีความปลอดภัย
5. ไม่มีทางออกที่ดีที่สุด มีแต่ทางออกที่เหมาะสมที่สุดในเวลานั้น (Apply Solutions) โดยถามตัวเองว่า “อะไรคือพฤติกรรมตรงกลางระหว่างความคิดที่แตกต่างนี้”
เราทุกคนต่างมีความสุขเมื่อความต้องการของเราถูกตอบสนอง จึงไม่มีใครยอมสูญเสียความต้องการของตัวเอง ความขัดแย้งจึงเกิดขึ้น การจัดการอารมณ์ทางด้านลบโดยใช้สติในการพูดคุยถึงทางออกตรงกลางระหว่างความต้องการที่แตกต่างจึงเป็นการสงบความขัดแย้งในบ้านอย่างยั่งยืน
6. ชื่นชมในการเสียสละความต้องการบางอย่างของตัวเองเพื่อให้อีกฝ่ายได้มีอิสระ (Kindness)
โดยถามตัวเองว่า “เราจะสื่อสารให้คนฟังรู้สึกดีได้อย่างไร?”
เช่น ขอบคุณนะที่รับฟังเราแม้ว่าเราจะคิดไม่เหมือนกัน
“หมอครับลูกผมขอไปชุมนุมทางการเมือง ผมก็เป็นห่วงในเรื่องความปลอดภัยเพราะเค้าคือแก้วตาดวงใจของผม ผมไม่ห้ามเรื่องความคิด แต่ผมกลัวห้ามเค้าไม่ได้เลยพยายามหาเหตุผลเพื่อให้เค้าไม่ไปจนกลายเป็นทะเลาะกัน ผมพูดอย่างไรดี ?”
หมอเลยตอบว่า “พูดอย่างที่คุณพ่อเล่าให้หมอฟังนี่ละคะ พ่อได้พูดกับลูกแบบนี้รึป่าว?” “ป่าวครับผมใช้เหตุผลและคำสั่ง” หนึ่งวันผ่านไปคุณพ่อท่านนี้ก็ส่งข้อความมาบอกว่า“ขอบคุณนะครับคุณหมอ ผมลองใช่การสื่อสารแบบใหม่แล้วบ้านเย็นขึ้นเยอะเลยครับ”
----
ติดตามบทความใหม่ ๆ จาก หมอเอิ้น พิยะดา ได้ทุกวันพฤหัสบดี บน LINE TODAY