หน้าฝน อีจันอยากชวนทุกคนออกมาเที่ยว หาเสพธรรมชาติ ให้ธรรมชาติได้เยียวยาเรา หลังจากใช้ชีวิตผ่านครึ่ง
ปีมาอย่างทุลักทุเล ค่ะ
โดยที่แรกที่เราเลือกไปก่อนเลย คือ นั่งรถเข้าจังหวัดปัตตานี หาของกินร้านอร่อย ๆ เพราะลงเครื่องมาก็เที่ยง
แล้ว และเราก็ได้พิกัดร้านอาหารขึ้นชื่อ ร้านโรงปี๊บค่ะ ร้านนี้บรรยากาศดีมาก ๆ เข้ามาด้านในร้านถูกตกแต่งด้วย
ข้าวของเครื่องใช้สไตล์วินเทจ มีมุมสวย ๆ ให้ได้ถ่ายรูปเยอะมาก และยังมีเครื่องจักรที่ไว้ใช้ผลิตปี๊บในอดีตให้
นักท่องเที่ยวได้ดูด้วย ทำเอาตาลุกวาวมาก
อีก 1 สิ่งที่เป็นเสน่ห์ของร้านนี้ คือ มีโซนห้องมีตติ้ง ที่เนรมิตเป็นโรงหนัง มีเครื่องฉายหนังม้วนฟิล์มตั้งเด่น และ
สามารถฉายได้จริง ๆ นะคะ ห้องนี้เขาเปิดให้บริการด้วยค่ะ พอออกมาด้านนอกก็จะมีตู้เพลงเก่าแบบหยอด
เหรียญให้ลูกค้าได้มายืนฟัง ระหว่างรออาหารด้วยค่ะ
และก็ได้เวลาสั่งอาหารแล้ว จากที่ทำข้อมูลมาว่ามาที่ร้านนี้ต้องสั่งเมนู “ราดหน้าโรงปี๊บ” ค่ะ เมนูขึ้นชื่อเลย
รวมถึงผัดไทไก่กรอบ คั่วไก่ โรตี มัสมั่นเนื้อ และชาชัก เครื่องดื่มซิกเนเจอร์ของชาวปัตตานี อร่อยลงตัวเป็นที่สุด
อร่อยจนต้องสั่งซ้ำจริง ๆ แต่ทีเด็ดของแท้อยู่ที่เมนูราดหน้า ที่พ่อครัวเอาเส้นไปผัดกับไข่จนกรอบนอกนุ่มใน กิน
เคล้ากับน้ำราดหน้าหอม ๆ ดีต่อใจสุด ๆ ค่ะ
กินอิ่มแล้ว พวกเราออกเดินทางกันต่อไปที่ มัสยิดกลางปัตตานี สถานที่ที่ต้องมาเช็คอินเก็บภาพสวย ๆ เพราะ
ขึ้นชื่อว่าเป็นทัชมาฮาลของเมืองไทย สวยสงบถูกใจเป็นที่สุด และใกล้ ๆ มัสยิดกลางก็มีตลาดนัดมือสอง ขาย
ของถกู แบบถูก เว่อร์วัง มีทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า นาฬิกา และของจิปาถะมากมายใหเ้ราได้เลือกซื้อ เลือก
ช้อป ติดไม้ติดมือกลับไปแบบราคาสบายกระเป๋าค่ะ
จบการเช็คอินที่ปัตตานี ออกเดินทางไปฟินกันต่อที่นราธิวาสค่ะ เราตั้งใจกันว่าจะไปเที่ยวชมความงามทาง
ธรรมชาติ อยากได้พื้นที่แบบไม่ปรุงแต่ง เพื่อจะได้พักกาย พักใจ สูดหายใจกันให้เต็มปอด หมุดแรกของการ
เที่ยววันที่ 2 ของเรา จึงเป็นที่ฮาลาบาลา “อเมซอนแห่งเอเชีย” ค่ะ เราได้ไปรับไอหมอกแห่งป่าฝน ณ จุดชมวิว
2 แผ่นดิน เมื่อมองผ่านหมอกไปก็จะเห็นทิวเขาของประเทศมาเลเซีย ฟังเสียงชะนีเพลิน ๆ รู้สึกเหมือนร่างกาย
ได้ชาร์จพลังจากธรรมชาติแบบเต็ม ๆ
ลงจากจุดชมวิว เราก็เดินทางไปยังจุดชมนกเงือกกันต่อ เพื่อรอลุ้นว่านกเงือกจะได้ออกมาอวดโฉมให้เราได้เห็น
พี่ไกด์บอกเราว่าปกติ คนที่มาดูนกเงือกเขามานั่งรอกันเป็นวัน ๆ บางคน อยู่ 3 – 4 วัน กว่าจะได้เจอ แต่พวกเรา
โชคดีมาก ๆ ค่ะ รออยู่เพียง 45 นาที นกเงือกก็ออกมาบินอวดโฉมให้เราได้เห็นกันแล้ว มาเป็นคู่เลย ได้เห็นนก
เงือกว่าว้าวแล้ว พอได้ฟังเรื่องราวตานานนกเงือก ยิ่งรู้สึกว้าวขึ้นไปอีก เพราะนกเงือกนั้นมีความรักที่มั่นคง มัน
จะรักและมีคู่เพียงตัวเดียวจนวันตาย หากวันใดตัวใดตัวหนึ่งหายหรือตายจากไปมันก็จะรอคู่ของมันอยู่ที่รังจน
วันตาย บางตัวถึงขั้นตรอมใจเลยค่ะ
ได้เห็นนกเงือกแล้วไกด์บอกว่าถือว่ามาถึงฮาลาบาลแล้ว พวกเรานี่ยิ้มแก้มปริเลยค่ะ
ลงมาจากการดูเงือกก็ได้เจอกับแก๊งพ่อ ๆ และผู้ใหญ่บ้านที่โบกไม้โบกมือทักทายและเรียกให้เราลงไปกินทุเรียน
บ้านกับลองกอง ที่เก็บมาสด ๆ จากต้น แทนคำขอบคุณที่พวกเราได้มาเที่ยวที่ฮาลาบาลา ค่ะ คนที่นี่เป็นมิตร
และต้อนรับนักท่องเที่ยวดีมาก ๆ ทำเอาพวกเราประทับใจกันสุด ๆ ที่สำคัญคือ ทุเรียนอร่อยมากค่ะแถมไกด์ใจ
ดียังพาเราไปน้ำตกสิรินธรแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์สำคัญของฮาลาบาลา ที่สวยสดุ ๆ จนใจแทบจะหลุดออกมา
เสร็จจากฮาลาบาลา เราออกเดินทางต่อมายังอำเภอสุคิรินค่ะ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที จุดเที่ยวแรกใน
อำเภอสุคิรินก็คือ ต้นกะพงยักษ์ค่ะ การได้ไปสัมผัสต้นกะพงยักษ์ ขนาดใหญ่ 27 คนโอบ ที่มีอายุมากกว่าร้อยปี
นั้น เป็นความ Amazing สุด ๆ ใหญ่จริง ยักษ์จริง สูงเด่นท่ามกลางป่าที่เขียวชอุ่มชุ่มชื้น ดีต่อใจสุด ๆ
เสร็จจากถ่ายรูปกับต้นกะพงยักษ์ ก็ได้เวลาไปล่องแก่ง ที่บ้านภูเขาทอง ค่ะ เราใช้บริการของนาบันไดยาเด๊ะ พา
เราล่องไปตามน้ำใส ๆ ซึ่งเป็นต้นน้ำสายบุรี ระยะทางประมาณ 7 กิโล พายกันจนล้า แต่รู้สึกดีมาก เพราะ
ระหว่างทาง เราล่องผ่านท่ามกลางธรรมชาติอันเขียวชอุ่ม ทั้งสนุกและสงบเหมือนได้ใช้เวลาในการพักใจเลยล่ะ
ค่ะ
ล่องแก่งเสร็จก็ได้เวลาร่อนทอง ค่ะ การร่อนทอง คือวิถีชีวิตของคนภูเขาทอง ที่ทำกันมายาวนานหลายสิบปี คน
ที่นี่จะใช้ช่วงเวลาหลังจากเสร็จจากการไปทำไร่ ทำสวน ก็จะมาร่อนทองกันต่อ สถานที่ก็จะเป็นบริเวณต้นน้ำ
สายบุรีค่ะ พ่อ ๆ แม่ ๆ บอกว่าส่วนใหญ่ก็จะมาร่อนกันทุกวัน เก็บเล็กผสมน้อยได้วันละเป็น แล้วก็นำไปขาย
นักท่องเที่ยวถ้าอยากมาดู มาเรียนรู้ มาฝึก ก็สามารถติดต่อมาที่ท่องเที่ยวชุมชนได้ … นอกจากจะได้ร่อนทอง
แล้ว เขาก็จะให้ทองใส่ขวดกลับไปด้วยค่ะ แต่ทีมอีจันลองร่อนกันแล้ว ก็ไม่ได้ง่ายนะคะ ร่อนไปร่อนมาเศษทอง
หายหมดเจอแต่กรวด … แต่ยอมรับว่าสนุกและรู้สึกดีมาก ๆ เลยค่ะ
ร่อนทองเสร็จ พวกเราก็เดินทางไปไหว้พระธาตุปลายด้ามขวาน วัดพระธาตุภูเขาทอง ตรงนี้เป็นจุดสิ้นสุดปลาย
ด้ามขวาน ที่มีพรมแดนติดกับประเทศมาเลเซียค่ะ อากาศดีมาก ๆ เงียบสงบ และยังเป็นจุดที่สามารถมาชม
หมอกทั้งตอนเช้าและตอนเย็นได้อีกด้วย ยิ่งถ้าวันไหนฝนตกหนัก ๆ ตรงนี้หมอกจะคลุมสวยเลยค่ะ แต่วันที่เรา
มานั้นฝนตกนิดเดียว แต่บรรยากาศก็ยังดีมาก ๆ อยู่
หากพูดถึงทะเลหมอก ที่สุคิรินก็ยังมีจุดชมทะเลหมอกสวย ๆ ให้เราได้ฟินกันอยู่ การเที่ยววันที่ 3 ของเราจึง
เริ่มต้นด้วยการไปดูทะเลหมอกสุดเขตชายแดนใต้ จุดชมวิวทะเลหมอกเขาน้ำใสค่ะ สวยมาก ๆ หน้าฝนแบบนี้
อุณภูมิอยู่ที่ประมาณ 24 องศาเซลเซียส อากาศเย็นกำลังดีค่ะ
อีก 1 สถานที่ที่อีจันอยากแนะน าให้ทุกคนต้องมาสักครั้ง เมื่อได้มาที่นราธิวาส เป็นสถานที่เที่ยวแบบชิล ๆ แถม
ได้ความรู้ด้วย ที่พิพิธภัณฑ์สถานมรดกวัฒนธรรมอิสลามและศูนย์การเรียนรู้อัลกุรอานค่ะ ที่นี่มีของดีให้ได้
เรียนรู้เยอะมาก เปิดประสบการณ์การท่องเที่ยวไปอีกแบบเลยค่ะ แค่ก้าวเข้ามาก็ร้องว้าวแล้ว เพราะที่นี่เก็บ
รวบรวมอัลกุรอานโบราณ ที่เขียนด้วยตัวอักษรยาวีและอาหรับโบราณ และยังมีหนังสือตำราโบราณ ทั้ง
โหราศาสตร์ ดาราศาสตร์ เวชศาสตร์ ตำราการสร้างเรือเดินเรือ รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ที่แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิต
ของพี่น้องมุสลิมในอดีตอีกด้วย …
แต่ไฮไลท์ ก็คือ อัลกุรอานโบราณ ที่มีอายุกว่า 1,000 ปี ซึ่งเล่มใหญ่มาก เขียนด้วยมือทั้งหมดตัวอักษรวิจิตร
บรรจงมาก โดยอัลกุรอานเล่มนี้ใช้หนังแพะกว่า 300 ตัวในการท า ค่ะ และอีก 1 เล่ม ที่อีจันประทับใจมาก คือ
อัลกุรอาน ฉบับที่งดงามที่สุด ที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นคัมภีร์ที่มีความงดงามที่สุดในโลกมุสลิม จากสถาบัน
หอสมุดสุไลมานียะห์ นครอิสตันบูล ประเทศตุรกีค่ะ การมาเที่ยวพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เหมือนเป็นอันซีนก็ว่าได้
หลายสิ่งทำให้เราอึ้ง หลายอย่างทำให้เราทึ่ง หลายเรื่องราวทำให้เราได้ว้าวออกมาพร้อม ๆ กัน ค่ะ
จากนั้นเราเดินทางกลับเข้าเมืองนราธิวาส เพื่อรอเวลาที่จะขึ้นเครื่องกลับค่ะ แต่ก่อนกลับ ก็อดไม่ได้ที่จะต้องมา
เช็คอิน พักผ่อนชิล ๆ ดูวิว สวย ๆ ริมเขื่อนท่าพระยาสาย เพราะเรามีเวลาเหลือประมาณ 2 ชั่วโมง ซึ่งเขื่อนท่า
พระยาสาย ตั้งอยู่ใน ต.กะลุวอ อ.เมืองนราธิวาส จ.นราธิวาส จุดนี้เป็นบริเวณของสันเขื่อนที่มีความยาว 600
เมตร อยู่ริมแม่น้ำบางนรา และบริเวณนี้ก็จะมีลานนกเงือก ที่มีรูปปั้นนกเงือกกว่า 100 ตัว ตั้งไว้ตามจุดต่างๆ
เป็นแลนด์มาร์คให้เราได้ถ่ายรูปอีกด้วยค่ะ
และใกล้ ๆ กัน ก็จะมีศาลเจ้าโกว้เล้งจี่ ศาลเจ้าแห่งแรกของ จ.นราธิวาส ที่ตัวอาคารสร้างแบบสถาปัตยกรรม
จีนโบราณ ศาลเจ้าแห่งนี้มีลักษณะแตกต่างจากศาลเจ้าแห่งอื่น คือ มีเจ้าที่หรือเจ้าศาลเป็นหัวมังกรคาบแก้ว
และภายในศาลยังมีรูปปั้นเทพเจ้าให้สักการะมากมาย เช่น พระยูไล พระอรหันต์จี้กง เทพเจ้ากวนอู เจ้าพ่อเสือ
องค์เฮ่งเจีย เจ้าแม่กวนอิม อีกด้วยค่ะ
เดินถัดจากศาลเจ้าโกว้เล้งจี่มาไม่ไกล ก็จะเจอกับองค์พระพิฆเนศขนาดใหญ่ ตั้งตระหง่าน สวยโดดเด่นอยู่ ที่ถูก
สร้างจากความเลื่อมใสศรัทธาของชาวนราธิวาส องค์พระพิฆเนศนี้มีลักษณะเป็นเทวรูปประทับนั่ง สวมมงกุฎ
ประดับโมเสกแก้วหลากสี และได้ชื่อว่าเป็น พระพิฆเนศกลางแจ้งองค์ใหญ่ ที่งดงามที่สุดในเมืองไทยอีกด้วยค่ะ
การที่อีจันมีโอกาสได้มาสักการะบูชาถือเป็นสิริมงคลมาก ๆ เลย ค่ะ โดยเทวสถานจะเปิดให้เข้าชมและสักการะ
ตั้งแต่เวลา 7:00-18:00 น. ค่ะ
เป็นการเที่ยวหน้าฝน นราธิวาส-ปัตตานี ดีต่อใจ 3 วัน 2 คืน แบบเที่ยวจบอารมณ์ไม่จบ
เที่ยวจบ ครบทุกฟีลจริง ๆ ค่ะ
อยากให้ทุกคนได้ลองมาเปิดประสบการณ์การเที่ยวภาคใต้ ในช่วงหน้าฝน ที่จังหวัดนราธิวาส และปัตตานีดูนะ
คะ ทุกคนจะได้ดื่มด่ำ กับธรรมชาติสูด อากาศบริสุทธิ์ได้ อย่างเต็มปอด ยิ่งช่วงฝนฉ่า ๆ แบบนี้ยิ่งทา ใหผ้ืนป่า
ใบไม้ ใบหญ้า เขียวชอุ่ม ดีต่อใจจริง ๆ นะคะ และทุกคนจะได้รู้ว่า ธรรมชาติจะเยียวยาทุกสิ่งจริง ๆ ค่ะ
ความเห็น 0