Silent Voice รักลับหลังไมค์ ตอนที่ 1 - ซือเจี่ยต้าเกอ
= เสียงที่ 1 =
เสียงในลิฟต์
“กวี! นั่นจะไปไหน จะเข้าข่าวแล้วนะ” เสียงผู้ประกาศข่าวต้นชั่วโมงของคลื่นวิทยุชื่อดัง เอ่ยเรียกดีเจหนุ่มที่ต้องร่วมงานกับเธอในอีกสิบนาทีข้างหน้า
“ไปห้องน้ำครับพี่ตั๊ก เดี๋ยวผมมา” กีรติ หรือ ‘กวี’ ดีเจหนุ่มเอ่ยพร้อมสับเท้าวิ่งออกไป
“เฮ้ย! กวี ห้องน้ำทางนี้ ทางนั้นมันโถงลิฟต์” พี่ตั๊กร้องบอกอีกหน แล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา หันไปหาผู้ช่วยที่กำลังเลือกเพลงเตรียมเปิดในช่วงต่อไปแล้วถามขึ้น “ปุ้นคิดเหมือนพี่ไหม”
“ใครก็คิดเหมือนพี่ตั๊กทั้งนั้นแหละค่ะ คงไม่แคล้วกดลิฟต์ขึ้นไปห้องน้ำข้างบนนั่นแหละ” ผู้ช่วยสาวตอบขำๆ ไม่ว่าใครในคลื่นก็รู้ว่ากวีมีงานอดิเรกคือ ‘ขึ้นลิฟต์’
“พี่ไม่เข้าใจเลยจริงๆ” ผู้ประกาศข่าวสาวบ่นอย่างปลงๆ ก่อนนั่งลงเมาท์มอยรอเวลาดีเจหนุ่มกลับมาทำงานร่วมกัน
ด้านกวีที่วิ่งมาถึงโถงลิฟต์ เขากดปุ่มขึ้นด้านบนมองตัวเลขบนจอเล็กด้วยใจรอคอย เมื่อลิฟต์มาถึงขายาวก้าวเข้าไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เขาอยู่ชั้นยี่สิบห้า เป้าหมายคือชั้นยี่สิบแปด ซึ่งเป็นชั้นสุดท้ายของส่วนงานวิทยุ เขากดเลขชั้นอย่างไม่ลังเล ‘26’ ‘27’ ‘28’ ไฟใต้ตัวเลขสว่างขึ้นตามแรงกด จากนั้นถอยไปยืนติดมุมลิฟต์ด้านในก่อนยิ้มออกมาเมื่อเสียงในลิฟต์ดังขึ้น
‘ประตูลิฟต์กำลังปิด’
‘ชั้นที่ยี่สิบหก’
‘ประตูลิฟต์กำลังปิด’
‘ชั้นที่ยี่สิบเจ็ด’
กว่าจะถึงชั้นยี่สิบแปดดีเจหนุ่มก็แสนอิ่มเอมใจ เขาเดินออกจากลิฟต์ไปเข้าห้องน้ำ ทำเพียงล้างมือให้สะอาด จัดทรงผมให้เข้าที่ แล้วเดินกลับไปโถงลิฟต์อีกครั้ง ก่อนกลับไปชั้นยี่สิบห้าด้วยวิธีการเดิม
กวีติดใจเสียงในลิฟต์ของตึกนี้ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นเขาเข้ามาเป็นเด็กฝึกงาน เสียงบอกชั้นที่บันทึกแบบทีละประโยค ทีละชั้น ไม่ใช่เสียงสังเคราะห์ที่เอามาต่อกันทีละคำ ทำให้ทั้งประโยคเป็นเสียงเรียบลื่น มีอารมณ์ของคนพูด น้ำเสียงกังวานใส ทุ้มเล็กน้อยแต่หวาน จนไม่สามารถบอกได้ว่าเสียงผู้หญิงหรือผู้ชาย นั่นเป็นน้ำเสียงที่ฝังลึกในใจเขามาตั้งแต่วันนั้น
ในช่วงที่ฝึกงาน กวีมักอาสาเดินส่งเอกสารระหว่างชั้นอย่างไม่รู้เบื่อ เขาเฝ้าเพียรสอบถามใครต่อใครถึงเจ้าของเสียงที่เขาหลงใหล แต่กลับไม่เคยได้คำตอบสักครั้ง จนกระทั่งเขาฝึกงานเสร็จและเรียนจบไป กว่าสี่ปีที่กวีไม่ได้ยินเสียงนั้นอีก เพราะไปศึกษาต่อต่างประเทศ เขากลับมาพร้อมดีกรีปริญญาโทด้านการออกแบบและศิลปะเสียง ยึดอาชีพเป็น Sound Designer หรือนักออกแบบเสียงฟรีแลนซ์ ส่วนเรื่องที่ได้มาเป็นดีเจนั้นเป็นเรื่องบังเอิญ วันนั้นเขาตามพี่ชายเข้ามาที่ตึก เลยได้เจอพี่ๆ ที่ดูแลเขาในช่วงฝึกงาน ชักชวนให้ไปทดสอบเป็นดีเจ และผลคือเขาได้งานดีเจเป็นอาชีพเสริมอีกงานหนึ่ง
และนั่นเป็นเรื่องที่กวีแสนจะยินดี การมาทำงานที่คลื่นวิทยุก็หมายถึงเขาจะได้มาฟังเสียงในลิฟต์ทุกวัน ดีเจหนุ่มยืนคิดไปจนลิฟต์มาถึงชั้นยี่สิบห้า เมื่อประตูเปิดเขาก็เอ่ยขึ้นก่อนจะก้าวออกจากลิฟต์อย่างอารมณ์ดี
“อีกสองชั่วโมงพบกันนะครับ”
ดีเจคนใหม่เริ่มงานมาได้เกือบสองเดือนแล้ว เขาจัดรายการในช่วงเช้าของทุกวัน และน่าจะเป็นช่วงเวลานี้ไปอีกนาน ตอนนี้เหล่าดีเจในคลื่นตกลงเวลากันได้อย่างลงตัว ทำให้เขาสามารถใช้เวลาหลังจากนี้ในการทำงาน Sound Designer ของตัวเองได้ วันนี้หลังจัดรายการเสร็จกวียืนคุยกับพี่ตั๊กและปุ้นอยู่ที่หน้าห้องส่ง เขาเห็นในมือผู้ประกาศข่าวสาวมีกาแฟอยู่แก้วหนึ่ง กลิ่นกาแฟหอมเตะจมูกจนอดถามขึ้นไม่ได้
“พี่ตั๊ก กาแฟร้านไหนครับ หอมมาก”
“ร้านใต้ตึกนี่แหละ อะไรกัน มาเกือบสองเดือนไม่เคยไปร้านน้องจินต์ได้ยังไง” พี่ตั๊กตอบพร้อมความสงสัย ร้านกาแฟใต้ตึกของคลื่นมีชื่อเสียงไม่น้อย ถ้ามีโอกาสได้มาที่ตึกนี้ทุกคนล้วนอยากไปลองสักครั้ง ร้านสวย กาแฟดี อาหารอร่อย ที่สำคัญเจ้าของร้านหล่อมาก
“โธ่ พี่ตั๊กครับ รู้ๆ กันอยู่ว่าทุกวันนี้ผมมาทันจัดรายการก็ดีแค่ไหนแล้ว หลังเลิกงานเพิ่งมีวันนี้นี่แหละครับที่ว่าง ส่งงานเขาไปตอนเช้ามืดนี่เอง พี่จะให้ผมไปซื้อกาแฟตอนไหนกัน” กวีโอดครวญ ก่อนรับงานดีเจเขารับงานออกแบบเสียงของภาพยนตร์สั้นไว้เรื่องหนึ่ง เพิ่งทำงานเสร็จไป
“ถ้าว่างก็ลองไปดู ร้านน้องจินต์เขาเน้นบรรยากาศสบายๆ เราน่าจะชอบ” ผู้ประกาศข่าวประจำคลื่นบอก
หลังได้พิกัดร้านกาแฟ กวีจึงร่ำลาเพื่อนร่วมงาน สะพายเป้ขึ้นหลัง เดินไปกดลิฟต์อย่างเบิกบานเช่นเดิม หากในลิฟต์ไม่มีคนหรือไม่ใช่ช่วงเวลาเร่งด่วน เขาจะแอบกดชั้นให้มากหน่อย เพื่อฟังเสียงที่ชอบให้นานอีกนิด จนลงมาถึงชั้นล่างก็เดินไปทางด้านในของตึก มองหาร้านกาแฟตามคำบอกเล่าของพี่ตั๊ก
‘Silent Voice Café’
ป้ายร้านที่เห็นเด่นชัดทำให้กวีมั่นใจว่ามาไม่ผิด เขาโบกมือเบาๆ หน้าเซ็นเซอร์ประตูที่ติดไว้ ประตูกระจกบานใหญ่จึงเลื่อนเปิด ก้าวแรกที่เหยียบร้านดีเจหนุ่มก็ถูกเสียงเสียงหนึ่งสะกดจนหยุดนิ่ง เสียงต้อนรับแบบอัตโนมัติที่ได้ยินนั่น ไม่น่าสนใจอะไรถ้ามันไม่ใช่เสียงเดียวกับเสียงในลิฟต์ แม้น้ำเสียงจะต่างกันไปสักหน่อย ทุ้มต่ำกว่า แต่ยังเจือแววหวาน ฟังเผินๆ เหมือนไม่ใช่เสียงเดียวกัน ไม่แปลกใจถ้าจะไม่มีใครบอกเขาว่า เสียงในร้านนี้เหมือนกับเสียงในลิฟต์ที่เขาตามหา หูคนอื่นอาจจะแยกไม่ได้ว่าเป็นเสียงเดียวกันหรือไม่ แต่หู Sound Designer อย่างเขาระบุได้ในทันที
กวีเงยหน้าขึ้นเมื่อมั่นใจว่านั่นไม่ใช่เสียงจากพนักงานที่เคาน์เตอร์ หรือพนักงานคนที่กำลังเก็บโต๊ะอยู่ด้านข้าง นั่นเป็นเสียงแบบบันทึกไว้จริงๆ เขาเดินเข้าไปต่อคิวสอดส่ายสายตาหาเมนูทางด้านหลัง จึงเห็นว่าพนักงานกำลังใช้ภาษามือกับนักศึกษาคนข้างหน้าเขา
ดีเจหนุ่มได้แต่เหลือบมองอย่างสนใจ แต่ไม่กล้าเสียมารยาทมองตรงๆ ใกล้กันกับตึกมีมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง เขาไม่แปลกใจนักที่ร้านค้าภายในตึกเต็มไปด้วยนักศึกษา แต่การใช้ภาษามืออย่างคล่องแคล่วของพนักงานร้านต่างหากที่สร้างความประหลาดใจให้เขา ยืนต่อคิวกระทั่งถึงคิวเขา เสียงที่อยากได้ยินก็ดังขึ้นอีกครั้ง
‘สวัสดีครับ รับอะไรดีครับ’
มันไม่ใช่เสียงพูดจากชายหนุ่มตรงหน้า แต่เป็นเสียงที่ถูกบันทึกไว้ กวีสั่งกาแฟแก้วหนึ่งพร้อมอาหารอีกจาน ครู่หนึ่งจอภาพขนาดเล็กบนเคาน์เตอร์ก็ปรากฏรายการอาหารและเครื่องดื่มตามคำสั่งเขา พร้อมเสียงพิมพ์แป้นคีย์บอร์ดเบาๆ ตัวหนังสือขนาดใหญ่ก็ปรากฏในครึ่งล่างของจอ เป็นข้อความว่า
‘สองรายการถูกต้องนะครับ’
เมื่อเขายืนยันกลับไปก็มีเสียงเคาะแป้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นข้อความที่ถูกตั้งโปรแกรมไว้
‘2 รายการ 190 บาทครับ’
กวีหยิบธนบัตรสีแดงสองใบส่งให้ ครู่หนึ่งก็มีข้อความแสดงเงินทอนขึ้นมา พร้อมพนักงานยื่นถาดใส่เงินทอนให้เขา ในถาดนอกจากเงินทอนแล้วยังมีเครื่องรับสัญญาณที่จะเตือนเมื่อเตรียมอาหารและเครื่องดื่มเรียบร้อย กวีจึงถามไปอีกประโยค
“ผมขอรับกาแฟไปก่อนได้ไหมครับ”
‘ได้ครับ รอที่ปลายบาร์สักครู่นะครับ’ เป็นประโยคตอบกลับผ่านทางหน้าจอเช่นเดิม ก่อนสบสายตากับเขาแล้วยิ้มให้อีกครั้ง
กวีถือแก้วกาแฟไปเดินหาที่นั่งพลางสำรวจร้านไปด้วย ร้านกาแฟนี้ตั้งอยู่ติดกับด้านหลังของตึก ซึ่งมีสวนหย่อมขนาดไม่เล็กนัก เพราะตึกนี้เป็นของบริษัทเอนเตอร์เทนเมนต์ยักษ์ใหญ่ ที่ครอบคลุมสื่อทุกประเภท ทั้งวิทยุ โทรทัศน์ สิ่งพิมพ์ เป็นสายงานที่ต้องการความสร้างสรรค์สูง ดังนั้นสถานที่หย่อนใจของพนักงานจึงเป็นสถานที่ที่ขาดไม่ได้
เขาเลือกนั่งโต๊ะริมหน้าต่างสำหรับสองคน ด้านนี้มองเห็นสวนหย่อมชัดเจน สีเขียวและความชุ่มชื้นของต้นไม้ใบหญ้าช่วยให้เขาผ่อนคลายลง สองมือประคองแก้วกาแฟขึ้นจิบ ก่อนยิ้มออกมาอย่างถูกใจ
ลาเต้ร้อนแก้วนี้ชงมาได้พอดี กาแฟเข้มหอมกับนมอุ่นมีความมันกำลังดี ดูท่าเจ้าของร้านคงคัดสรรมาให้เข้ากับกาแฟที่สุด อุณหภูมิก็พอเหมาะ เน้นให้รสชาติของกาแฟโดดเด่น
กวีวางแก้วลงแล้วเริ่มมองสำรวจไปรอบๆ ร้านมีสองชั้น ด้านบนคงจะเต็มไปด้วยนักศึกษา เพราะคนที่มาก่อนหน้าเขาก็หายไปแล้ว คงขึ้นไปด้านบน กวาดตามองไปโต๊ะอื่นๆ กลับต้องสะดุดเมื่อเห็นผู้คนที่ใช้ภาษามือกันหลายโต๊ะ เขาจึงเพิ่งนึกออกว่าตั้งแต่เข้ามาเขายังไม่ได้ยินเสียงพูดคุยในร้านเลย ดนตรีที่เปิดก็เป็นดนตรีบรรเลง แถมยังเบามาก ระดับเสียงอยู่ในระดับที่ทำให้คนฟังผ่อนคลาย นั่นทำให้กวียิ้มได้อีกครั้งของวัน สำหรับคนใช้หูทำงานอย่างเขา ระดับเสียงในร้านนี้ช่วยคลายความเหนื่อยล้าของแก้วหูได้อย่างดี
ระหว่างรออาหารชายหนุ่มจิบกาแฟไปพลางสำรวจร้านไปด้วย เสียงต้อนรับที่เขาชอบยังคงดังอย่างต่อเนื่อง เหล่าพนักงานในตึก นักศึกษา ผู้มาติดต่อ วนเวียนเข้าออกไม่ขาด ทั้งที่ควรจะเกิดเป็นความวุ่นวายไม่น้อย แต่ทุกคนกลับช่วยกันรักษาความสงบให้ร้านได้ พูดคุยกันด้วยเสียงพอเหมาะ เสียงแก้วกระทบจานรอง เสียงช้อนส้อมกระทบจานข้าว ก็ดูจะเบากว่าทุกที่ เป็นร้านที่มีชีวิตชีวาในความเงียบสงบ
แสงไฟสีแดงกะพริบวาบจากเครื่องรับสัญญาณพร้อมการสั่นเบาๆ ดูเอาเถอะ ขนาดเครื่องรับสัญญาณยังไม่ส่งเสียงสักนิด กวีเดินไปรับอาหารของตัวเอง ชำเลืองมองคนที่ยิ้มต้อนรับลูกค้าด้านในเคาน์เตอร์ ตอนนี้ไม่มีลูกค้าคนยิ้มเก่งเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูว่ามีออเดอร์มาจากช่องทางอื่นหรือไม่ จังหวะตอนกดเปิดหน้าจอสายตาเจ้ากรรมของกวีก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย ‘คีตะ คีรติ’ พระเอกเบอร์หนึ่งของช่อง
ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ เขาไม่ใช่คนติดตามศิลปิน แต่ก็พอรู้มาบ้างว่า เหล่าแฟนคลับผู้ชายที่เรียกว่าแฟนบอยนั้นมีอยู่ไม่มากนัก ภายนอกดูไม่ออกเลยว่าชายหนุ่มผู้ร่ำรวยรอยยิ้มคนนี้จะเป็นแฟนบอยของพระเอกคนดัง เขายกจานอาหารกลับไปถึงโต๊ะลงมือทานอย่างช้าๆ ไปพร้อมกับฟังเสียงต้อนรับที่ถูกใจ
จินต์เพิ่งว่างจากการรับลูกค้าหน้าเคาน์เตอร์ หลังส่งออเดอร์ทั้งหมดเข้าไปในครัว เขาก็นั่งลงอย่างเหนื่อยอ่อน หันไปหยิบแท็บเล็ตเครื่องใหญ่ขึ้นมาอ่านเอกสารที่เปิดค้างไว้ มืออีกข้างยังขยับตามไปด้วย ปากขยับขมุบขมิบ การกระทำทั้งหมดนั้นตกอยู่ภายใต้สายตาของกวีที่จับจ้องตรงหน้าเคาน์เตอร์อยู่ตลอด เมื่อเห็นว่าปลอดคนเขาจึงเดินเข้าไปหาจินต์
“เอ่อ ขอโทษนะครับ ผมรบกวนสอบถามหน่อยได้ไหมครับ คือผมอยากทราบว่า เสียงยินดีต้อนรับที่คุณใช้เป็นเสียงใครเหรอครับ” กวีถามด้วยอาการเกรงอกเกรงใจ
‘เสียงรบกวนคุณเหรอครับ ทางร้านต้องขออภัยด้วยนะครับ’ นั่นเป็นข้อความที่จินต์ตอบกลับมา
“ไม่ ไม่ ไม่รบกวนครับ คือผมไม่แน่ใจ ดูเหมือนว่าจะเป็นเสียงเดียวกับที่บันทึกไว้ใช้ในลิฟต์ใช่ไหมครับ” กวีรีบปฏิเสธและบอกความสงสัยเพื่อให้อีกฝ่ายคลายใจ เขาแสร้งทำเป็นแค่อยากรู้อยากเห็นไม่มีอาการคลั่งไคล้อื่นใดให้เห็น
‘ต้องขอโทษด้วยครับ ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน’ จินต์ตอบปฏิเสธไป เขาเม้มปากเล็กน้อยเมื่อมีคนพูดถึงเสียงในลิฟต์
“อ่า…ขอบคุณมากครับ ต้องขอโทษที่เสียมารยาทนะครับ” กวียอมล่าถอยไปในที่สุด เขาเพิ่งจะมาร้านนี้เป็นครั้งแรกกลับถามซอกแซกมากมาย ดูแล้วออกจะเสียมารยาทไปหน่อย
จินต์ไม่ตอบ เขาแค่ส่งยิ้มพร้อมสายตาที่บ่งบอกว่าเขาเข้าใจและไม่ถือสาอะไร กวีจึงสบายใจขึ้นก่อนชวนคุยแก้เขินต่อ “กาแฟอร่อยมากเลยครับ ร้านก็นั่งสบายมากด้วย เห็นทีผมคงต้องฝากตัวเป็นขาประจำอีกคน ผมกวีครับ ดีเจกวีจัดอยู่ที่ GFM”
‘ดีใจที่คุณชอบครับ GFM อยู่ชั้นยี่สิบห้า ทางร้านมีบริการส่งภายในตึกนะครับ ถ้าคุณกวีไม่สะดวกลงมาเอง ส่งข้อความมาสั่งได้ QR Code ของร้านมีอยู่ที่โต๊ะครับ หรือตรงนี้ก็ได้’ จินต์ตอบด้วยข้อความยาวเหยียดอย่างรวดเร็ว เคราะห์ดีที่กวียังอ่านทัน เขาหันไปตามมือของจินต์ที่ชี้ไปที่แผ่นป้ายเล็กๆ บนเคาน์เตอร์
ในขณะที่กวีกำลังสแกน QR Code ของร้าน เสียงยินดีต้อนรับก็ดังขึ้นอีกครั้ง แต่เสียงสวัสดีที่หน้าเคาน์เตอร์ทำเขาชะงักมือแล้วหันกลับไปมองผู้มาใหม่ เพราะเสียงสวัสดีครับที่นั่งฟังจนชินหูกลับกลายเป็น
‘สวัสดีครับคุณคีตะ’
กวีหันหลังกลับไปมองหน้าเคาน์เตอร์ ตอนนี้มีชายหนุ่มสองคนยืนยิ้มอย่างเป็นมิตร ใบหน้าหล่อเหลาของทั้งคู่เรียกทุกสายตาโดยรอบทั้งในและนอกร้านให้มาหยุดอยู่ที่พวกเขา ด้านหน้าร้านมีเหล่านักศึกษากำลังเขยิบเข้าใกล้กระจกร้านอีกนิด เพื่อได้เห็นนักแสดงที่ชื่นชอบชัดขึ้นอีกหน่อย
“สวัสดีครับคุณจินต์ ของผมเหมือนเดิมครับ โซ นายเอาอะไร” คีรติทักทายเจ้าของร้านอย่างคุ้นเคย ก่อนหันไปหาเพื่อนนักแสดงที่เดินเข้ามาด้วยกัน
“ผมขอลาเต้เย็นแก้วกลางไม่หวานครับ” โซ กันต์ปวีร์ นักแสดงอีกคนสั่งกาแฟของตัวเอง
จินต์ยิ้มรับและทวนออเดอร์อีกครั้งด้วยวิธีการเดียวกับที่กวีได้รับ ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มกว้างกว่าเดิมอีกสองส่วน คีตะจ่ายเงินก่อนรับเงินทอนและเครื่องรับสัญญาณ เมื่อนักแสดงคนดังหมุนตัวออกจากเคาน์เตอร์ ก็เห็นแผ่นหลังคุ้นตาของกวีที่สับเท้าเดินหนีไปตั้งแต่เห็นพวกเขาเข้าร้านมาแล้ว ไวเท่าความคิด คีตะส่งเสียงเรียกออกไป
“กวี”
ปลายเท้าของดีเจหนุ่มชะงัก เขาสู้อุตส่าห์หลบออกมาด้วยไม่อยากเป็นที่สังเกตแล้วจะมาเรียกเขาทำไมกัน แต่กวีก็ยังเดินกลับไปหาทั้งสองคนอยู่ดี เขาเอ่ยทักทายออกไปตามมารยาท
“สวัสดีครับพี่คีตะ พี่โซ”
“เฮ้ย! กวีเหรอ กลับมาเมื่อไหร่ คีตะ มึงไม่บอกกูบ้างว่ากวีกลับมาแล้ว แล้วมาทำอะไรที่นี่ คงไม่ได้มาขึ้นลิฟต์เล่นหรอกใช่ไหม” พระรองคนดังถามอย่างติดตลก โซเคยอยู่ในสังกัดของช่องนี้ ช่วงเวลาที่กวีมาฝึกงานเขาก็ได้ยินความชื่นชอบประหลาดของรุ่นน้องคนนี้มาบ้าง
“โธ่ พี่โซ มาทำงานครับ ส่วนเรื่องลิฟต์น่ะเป็นผลพลอยได้” กวียิ้มแล้วตอบไปตามตรง เขาไม่เคยปิดบังความชอบของตัวเองสักครั้ง
“มันมาเป็นดีเจของ GFM เพิ่งเริ่มงานได้สองเดือน ตื่นเช้ามาก็เปิดมาฟังมันบ้างสิ จะได้วิจารณ์ให้ด้วย” คราวนี้คีตะตอบข้อสงสัยของเพื่อน
“ได้ๆ วาชอบฟัง GFM เดี๋ยวกูบอกน้องให้” โซตอบรับ พูดเลยไปถึงเด็กหนุ่มที่เขาตามจีบอยู่ พวกเขายืนคุยกันที่ปลายบาร์จนได้รับเครื่องดื่ม โซจึงเอ่ยชวนเพื่อนไปทำงานด้วยกัน “ไปเหอะ เดี๋ยวสาย พี่เก่งยิ่งไม่ชอบคนไม่รักษาเวลา”
“กวี พี่ไปนะ ตั้งใจทำงานล่ะ แล้วแม่บอกว่าอาทิตย์นี้กลับบ้านด้วย นายไม่เข้าบ้านมาเป็นเดือนแล้ว” คีตะตบไหล่น้องชาย
“ครับ สวัสดีครับพี่โซ ไว้เจอกันครับ” กวีรับคำและเอ่ยลาเพื่อนพี่ชาย
บทสนทนาบ่งบอกความสัมพันธ์ของทั้งสามคนตกอยู่ภายใต้การรับรู้ของจินต์ พวกเขายืนทักทายกันตรงด้านข้างเคาน์เตอร์ แถมไม่ได้ใช้เสียงเบานัก เมื่อสองนักแสดงเดินออกจากร้านไป จินต์อดมองไปที่กวีไม่ได้ เรื่องที่เขาติดใจไม่ใช่เพราะกวีเป็นน้องชายของคีตะ นักแสดงคนโปรดของเขา แต่เพราะอาการชอบขึ้นลิฟต์ที่ได้ยินนั่นต่างหาก เมื่อประกอบกับคำถามก่อนหน้านี้จินต์พอจะเดาอะไรๆ ได้บ้าง แต่เขายังคงไม่เข้าใจ เสียงในลิฟต์และเสียงในร้านมันมีอะไรผิดแปลกไป จนต้องมีคนมาถามหาเลยหรือ
จินต์ จิรกมล เจ้าของร้าน Silent Voice Café ยืนฟังเสียงในลิฟต์ที่กำลังไต่ระดับขึ้นไปชั้นแล้วชั้นเล่า จนถึงชั้นสิบเจ็ดลิฟต์จึงหยุดลง เขาก้าวออกจากลิฟต์เดินไปยังห้องอันเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ต่างคนต่างกำลังเตรียมงานของตัวเอง ข่าวภาคค่ำจะเริ่มในอีกสองชั่วโมงข้างหน้า และได้เวลาที่เขาต้องไปเตรียมตัวแล้ว
“จินต์มาแล้วเหรอ นี่สคริปต์ของวันนี้เปลี่ยนจากที่พี่ส่งไปเมื่อเช้านิดหน่อย ไฮไลต์ไว้ให้แล้ว” พี่บอยโปรดิวเซอร์รายการข่าวของช่องทักชายหนุ่ม ก่อนยื่นกระดาษปึกหนึ่งให้จินต์ “ไปแต่งตัวก่อนได้เลยนะ”
จินต์พยักหน้าพร้อมยิ้มรับ ส่งสัญลักษณ์โอเคง่ายๆ เข้าใจได้ทุกคนไปให้ แล้วเดินแยกไปทางห้องแต่งตัว ภายในห้องมีเก้าอี้อยู่สี่ห้าตัว ผู้ประกาศข่าวชายสองคนนั่งให้ช่างแต่งหน้าอยู่ ในมือถือสคริปต์ข่าวพลิกไปเรื่อยๆ เมื่อเหลือบตาขึ้นเห็นจินต์จากในกระจก หนึ่งในนั้นจึงทักขึ้นพร้อมกับจินต์ที่ยกมือไหว้สวัสดี
“มาแล้วเหรอจินต์ แต่งตัวก่อน น่าจะเหลือเวลาสักครึ่งชั่วโมง เดี๋ยวเรามาบรีฟกันอีกที” ปวีณผู้ประกาศข่าวชายประจำข่าวภาคค่ำของช่องเอ่ยขึ้น และได้รับเป็นรอยยิ้มพร้อมการพยักหน้าน้อยๆ กลับมา
ช่างแต่งหน้ามารับจินต์ไปเข้าประจำที่ แต่งไปก็ทอดถอนใจเสียงดังไป
“เฮ้อ…พี่ล่ะอิจฉาผิวน้องจินต์จริงๆ เลย นี่ใช้ครีมอะไรคะ บอกพี่บ้างสิ ดูไม่ออกเลยนะว่าอายุยี่สิบเจ็ด บอกพี่ว่าเพิ่งเรียนจบพี่ก็เชื่อ”
“อย่าไปถามเลยเจ๊” ปวีณดักคอขึ้น
“ทำไมล่ะ ถึงน้องจินต์จะไม่พูดแต่ก็เขียนบอกเจ๊ได้นะ” เจ๊แอนนี่ช่างแต่งหน้าโวยขึ้น
“ผมหมายถึงว่า ถึงจินต์จะบอกเจ๊ว่าใช้ครีมอะไร มันก็กู้หน้าเจ๊ไม่ทันแล้วต่างหาก” ปวีณแซวขึ้น เรียกเอาเสียงหัวเราะไปทั้งห้องแต่งตัว รวมถึงรอยยิ้มกว้างจากจินต์ ทำเอาคนที่มองอยู่ได้แต่นึกเสียดาย รูปร่างหน้าตาขนาดนี้อยากเป็นนักแสดงยังได้เลย
แอนนี่ชี้หน้าปวีณอย่างไม่เกรงใจ โวยเสียงลั่น “คอยดูนะ คราวหน้าถึงคิวเจ๊แต่งหน้าให้เธอเมื่อไหร่ จะรองพื้นให้หน้าลอยเลย”
เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้ง บรรยากาศในห้องแต่งตัวเป็นไปอย่างผ่อนคลาย พวกเขาทุกคนสนิทสนมกันดี เพราะต้องทำงานด้วยกันทุกวัน การพูดคุยหยอกล้อแบบนี้เกิดขึ้นอยู่ตลอด จินต์นั่งอมยิ้ม เขาทำงานกับทีมนี้มาสี่ปีแล้ว มีการเปลี่ยนแปลงของผู้คนน้อยมาก ทั้งผู้ประกาศ ช่างแต่งหน้า สไตลิสต์ ทุกคนให้ความเป็นกันเองกับเขา แม้ว่าการสื่อสารกับเขาจะยากกว่าการพูดคุยแบบปกติก็ตามที
ใช้เวลาแต่งหน้าทำผมอยู่ร่วมชั่วโมง จินต์จึงเข้าไปเปลี่ยนชุด สูทสีน้ำเงินเข้มพอดีตัวถูกตัดมาเฉพาะสำหรับเขา ช่วยให้จินต์กลายเป็นชายหนุ่มเต็มตัวที่แสนสุขุม รอยยิ้มประดับอยู่เป็นนิจบนใบหน้า พาให้บรรดาช่างแต่งหน้าทั้งสาวหนึ่งสาวสองเคลิ้มได้ทุกวัน
“เจ๊ปาดน้ำลายหน่อย มองน้องทุกวันเคลิ้มได้ทุกวัน” ปวีณยังคงแซวเจ๊แอนนี่ไม่เลิก แต่คราวนี้ไม่มีอาการโมโหหรือคาดโทษกลับมา แอนนี่เอ่ยเสียงอ่อน
“ทนไหวเหรอปวีณ ดูสิ ดูน้องจินต์ของเจ๊ ทั้งสูง ทั้งหล่อ แล้วยังยิ้มเก่งแบบนี้ นี่ถ้าน้องพูดนะ เธอตกงานแน่ปวีณ เจ๊พูดเลย” แอนนี่ยอมรับอย่างหน้าชื่นว่าตนเองนั้นชอบมองจินต์เอามากๆ
จินต์ที่เอาแต่ยิ้มก้มหน้ากดโทรศัพท์แล้วส่งไปให้ปวีณเป็นข้อความสั้นๆ ‘เรียบร้อยแล้วครับ เริ่มบรีฟได้เลย’
ปวีณลุกขึ้นจากเก้าอี้ของตัวเองเดินไปยังโต๊ะกลาง บรรดาช่างแต่งหน้ากำลังทยอยเก็บข้าวของออกไป ผู้ประกาศชายอีกคนเดินออกไปยังห้องข้างๆ เคาะเรียกผู้ประกาศหญิงมาร่วมบรีฟด้วยกัน เมื่อทั้งสี่คนพร้อมหน้ากันในห้องแต่งตัวของฝ่ายชาย พวกเขาก็เริ่มแบ่งเนื้อหาข่าวกัน
ใช่แล้ว ทั้งสี่คนเป็นผู้ประกาศข่าว ปวีณ ศิวัช และเขมนิจ คือผู้ประกาศข่าวหลัก จินต์คือล่ามภาษามือที่คอยแปลเนื้อหาข่าวของพวกเขา ให้กับผู้พิการทางการได้ยินสามารถได้รับข่าวสารทันต่อเหตุการณ์บ้านเมือง ในการบรีฟผู้ประกาศทั้งสามคนจะบอกเขาว่า มีการหยุดเพื่อพูดคุยในช่วงไหน ช่วงไหนเป็นการแสดงความคิดเห็นของตัวเองต่อเนื้อหาข่าว ความเห็นเป็นไปอย่างไร ซึ่งเรื่องเหล่านี้ไม่อยู่ในสคริปต์ จินต์ต้องฟังแล้วแปลสด
อันที่จริงในส่วนนี้เขาไม่มีความจำเป็นต้องแปลก็ได้ เพราะไม่เกี่ยวกับเนื้อหาที่จะนำเสนอ แต่จินต์มองว่าเมื่อรายการข่าวตั้งใจทำให้ผู้ชมได้รับความบันเทิงร่วมไปกับเนื้อหาสาระ แม้ผู้ชมจะไม่ได้ยิน แต่ควรได้รับความบันเทิงเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เขาจึงเข้าร่วมการบรีฟเช่นนี้มาตั้งแต่ปีแรกที่ได้ทำงาน
การถ่ายทอดสดข่าวภาคค่ำเป็นไปอย่างราบรื่นเช่นทุกวัน ระยะเวลารายงานข่าวสองชั่วโมง ระหว่างนั้นมีพักโฆษณาสามถึงสี่ช่วง แต่ก็ยังสูบพลังไปไม่น้อย เพราะจินต์ต้องแปลทั้งในช่วงที่ผู้ประกาศข่าวในห้องส่งพูด และในช่วงที่ผู้สื่อข่าวภาคสนามพูด ดีหน่อยที่คลิปประกอบภาพข่าวนั้นมีการแปลแทรกไว้อยู่แล้ว หลังเลิกงานจินต์นั่งให้เจ๊แอนนี่ลบเครื่องสำอางให้ เมื่อเรียบร้อยเขาจึงเปลี่ยนชุด ร่ำลาทุกคนแล้วกลับลงไปที่ร้าน ตอนนี้ใกล้ได้เวลาปิดร้านแล้วเช่นกัน
ร้านของจินต์เป็นคาเฟ่ที่มีอาหารจานเดียวขายร่วมด้วย เมนูหลากหลายจนแทบจะกลายเป็นร้านอาหารตามสั่ง เดิมเขาตั้งใจเปิดถึงแค่ช่วงเย็น เพื่อรองรับพนักงานออฟฟิศทั่วไป แต่ผู้อาศัยในตึกนี้ไม่ใช่พนักงานออฟฟิศทั่วไป เพราะเป็นสื่อขนาดใหญ่ จึงมีผู้คนทำงานกันทั้งวันทั้งคืน ความต้องการกาแฟเลยสูงกว่าปกติ เวลาเปิดร้านของเขาจึงลากยาวมาจนถึงเวลาเลิกงานของตัวเอง คือราวๆ สามทุ่มของทุกวัน
จินต์เรียนจบศิลปศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาหูหนวกศึกษา เขาคือหนึ่งในไม่กี่ร้อยคนที่ขึ้นทะเบียนล่ามภาษามือไทย พอเรียนจบก็ถูกทางช่องจองตัวเข้าทำงานทันที เนื่องจากตอนนี้ยังมีเฉพาะรายการข่าวที่ต้องการล่ามภาษามือประจำรายการ นอกจากนั้นแล้วแต่ว่ารายการไหนจะเพิ่มเป็นตัวเลือกให้รายการของตนหรือไม่ สัญญาของเขากับช่องเป็นค่าจ้างแบบรายตอน ดังนั้นจินต์เลยมีเวลาว่างค่อนข้างมาก และนั่นเป็นที่มาของร้านนี้
Silent Voice Café เกิดขึ้นจากช่วงที่จินต์เข้ามาทำงานแรกๆ เขาพบว่าในมหาวิทยาลัยใกล้ๆ ที่ทำงานของเขามีนักศึกษาที่เป็นผู้พิการอยู่ไม่น้อย พ่อค้าแม่ขายหรือคนอาศัยอยู่ในบริเวณนี้ต่างคุ้นชินกับนักศึกษาเหล่านี้ ไม่ว่าผู้พิการทางสายตาหรือผู้พิการทางกาย ทั้งสองกลุ่มนี้จะได้รับความช่วยเหลือจากคนรอบข้างเป็นอย่างดี ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของความปลอดภัยในการใช้ทางเท้า การข้ามถนน อีกทั้งผู้พิการกลุ่มนี้ผู้คนทั่วไปสามารถสังเกตเห็นได้ชัด ต่างกับผู้พิการทางการสื่อสาร หรือที่เรียกว่าหูหนวกและเป็นใบ้นั้นกลับสื่อสารได้ยากกว่า และไม่ค่อยมีใครให้ความช่วยเหลือ เพราะนอกจากไม่สามารถสังเกตจากภายนอกได้แล้ว ยังไม่รู้วิธีการช่วยเหลือด้วย
จินต์จึงตัดสินใจเปิดร้านขึ้น โดยเลือกใช้คอนเซปต์เสียงในความเงียบ เขาเลือกเปลี่ยนการสื่อสารจากการพูดโต้ตอบเป็นการใช้เทคโนโลยีบันทึกเสียง และการสื่อสารผ่านหน้าจอเข้าช่วยสำหรับคนปกติ เลือกใช้ภาษามือสำหรับผู้พิการทางการสื่อสาร พนักงานทั้งหมดก็เช่นกัน เขาเลือกให้ใช้การสื่อสารกับลูกค้าด้วยวิธีการไร้เสียง ร้านนี้อายุสี่ปีเท่าๆ กับระยะเวลาที่เขาทำงานมา จากร้านเล็กๆ ค่อยๆ ขยายเป็นสองชั้น จากปิดบ่ายสามกลายเป็นสามทุ่ม จากขายกาแฟกลายเป็นขายทั้งอาหารและเครื่องดื่ม จากพนักงานสามคนกลายเป็นแปดคน ร้านเติบโตขึ้นภายใต้การสนับสนุนของผู้คนในตึก และบรรดานักศึกษาที่ชื่นชอบทั้งคอนเซปต์ บรรยากาศร้าน และอาหารเครื่องดื่ม รวมถึงคนส่วนใหญ่ก็ตระหนักถึงความสำคัญของผู้พิการกลุ่มนี้มากขึ้น จินต์ค่อนข้างพอใจกับผลตอบรับนี้
ล่ามคนเก่งประจำช่องกลับมาถึงร้านก่อนเวลาปิดเล็กน้อย เขาเพียงแค่เก็บเงินสดบางส่วนกลับไป งานส่วนอื่นๆ ที่เหลือเขาจัดการเรียบร้อยก่อนไปทำงานแล้ว ตอนนี้มีเพียงพนักงานกะเย็นทำหน้าที่เก็บล้างทำความสะอาดร้านเท่านั้น จินต์คว้าเอากระเป๋ามาใส่ข้าวของบางส่วน ก่อนกำชับพนักงานให้ดูแลการปิดล็อกให้ดีก่อนออกจากร้านไป เขาใช้จักรยานเป็นพาหนะ เพราะคอนโดของเขาอยู่ใกล้กับตึกมาก และถนนหน้าตึกก็ได้ชื่อว่าเป็นถนนที่รถติดสาหัสที่สุดสายหนึ่ง การเดินหรือใช้จักรยานเร็วกว่าการใช้รถยนต์มากนัก
เมื่อถึงคอนโดในขณะที่จินต์กำลังรอลิฟต์โทรศัพท์ของเขาก็สั่นขึ้น เมื่อเห็นชื่อคนโทรเข้ามารอยยิ้มกว้างจึงปรากฏบนใบหน้าของเขาอีกครั้ง จินต์กดรับสายกรอกเสียงทุ้มหวานลงไป
“สวัสดีครับพี่จันทร์ มีอะไรให้จินต์รับใช้ครับ”
“ไม่มีอะไร พี่โทรมาหาเพราะคิดว่าวันนี้จินต์น่าจะยังไม่ได้พูดกับใคร” ‘จันทร์ จิรกานต์’ พี่สาวคนเดียวของจินต์บอกจุดประสงค์ของการโทรมาหา
“โธ่ ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่ครับ เดี๋ยวถึงห้องจินต์ก็อ่านหนังสือออกเสียงอยู่แล้ว พี่จันทร์ไม่ต้องกลัวจินต์ลิ้นแข็งหรอกครับ” จินต์ตอบกลับไป เขารู้ว่าพี่จันทร์หวังดี แต่ทำยังไงได้เขาไม่ได้อยากพูดนี่นา
“อ่านหนังสือกับคุยกับคนอื่นมันเหมือนกันที่ไหนล่ะจินต์” จันทร์ตอบกลับมา ยังคงเป็นห่วงเรื่องที่น้องชายไม่ยอมสื่อสารกับคนอื่นด้วยการพูด เธอเคยพาน้องชายไปพบจิตแพทย์ แต่ก็ได้รับการวินิจฉัยว่าจินต์ปกติดี การไม่พูดคือเพราะแค่ไม่อยากพูดเท่านั้น อีกทั้งเจ้าตัวก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรในการใช้ชีวิตประจำวัน หากเป็นเรื่องจำเป็นจินต์ยังคงสามารถสื่อสารได้ตามปกติ แต่เรื่องไหนที่เรียกว่าจำเป็นสำหรับจินต์ เธอไม่รู้จริงๆ
“ครับผม เข้าใจแล้วครับ งั้นเดี๋ยวจินต์จะโทรไปหาแม่ แต่พี่ว่าโทรหาแม่นี่จินต์จะได้พูดไหม” จินต์ตอบพี่สาวไปพร้อมกับหัวเราะในความคิดตัวเอง บางทีแม่อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาไม่อยากพูดก็เป็นได้ ในเมื่อคุณนายของบ้านพูดเก่งขนาดนั้น เขาคุยโทรศัพท์กับพี่สาวจากโถงลิฟต์เรื่อยมาจนถึงชั้นที่พัก และคุยต่อไปเรื่อยๆ ตามทางเดินที่ทอดยาวไปสู่ห้องพัก โดยไม่รู้เลยว่ามีใครอีกคนยืนใจเต้นแรงอยู่เมื่อได้ยินเสียงของเขา
กวีกำลังออกจากห้องพักของพี่ชายเพื่อกลับห้องตนเอง เขาได้ยินเสียงคนคุยโทรศัพท์ไปตามทางเดิน หลังจากตั้งใจฟังอยู่ไม่นานก็ออกวิ่งไปตามทิศทางของเสียงนั่น แต่กวีคงทำดีมาน้อยไป เสียงนั้นหายไปพร้อมเสียงประตูห้องพักที่ปิดลง
“กวี เป็นอะไร อยู่ๆ วิ่งออกมามีอะไรหรือเปล่า” คีตะที่วิ่งตามน้องชายมาถามขึ้น
“พี่! ผมเจอแล้ว! เจอแล้ว!” กวีละล่ำละลักบอกพี่ชาย
“เจออะไร ใจเย็นๆ ค่อยๆ เล่า” คีตะลูบหลังน้องชายให้ใจเย็นลง
“เสียงนั่น! เสียงในลิฟต์ เสียงในร้านนั่น ผมเจอแล้วพี่!”
กวีเอ่ยบอกพี่ชายอย่างตื่นเต้น เขาหูไม่ฝาด มันเป็นเสียงนั่นจริงๆ น่าเสียดายที่วิ่งมาไม่ทันเจอตัวเจ้าของเสียง
คีตะได้แต่ใช้สายตามองน้องชายอย่างปลดปลง เขารู้ว่ากวีติดใจเสียงในลิฟต์นั่นมานาน แต่ไม่คิดว่านานจนถึงขนาดสี่ห้าปียังไม่ลืม แถมช่วงนี้ยังกลับมาตามหาเจ้าของเสียงอีกครั้ง เขาลากน้องชายเดินกลับไปที่ห้องพักของตัวเอง เรื่องนี้คงต้องคุยกันจริงจังสักที
“นายบอกว่าเสียงในร้าน หมายถึงเสียงในร้านคุณจินต์เหรอ” คีตะตั้งคำถามกับน้องชายเมื่อประตูห้องพักปิดลง
“ใช่ครับ พี่ฟังไม่ออกเหรอ มันเสียงเดียวกันเลยนะ แต่เหมือนจะเป็นคนละช่วงอายุ เสียงในลิฟต์นั่นมันใสกว่านิดหน่อย เหมือนเด็กที่ยังไม่โตเต็มที่ ส่วนเสียงในร้านน่ะ คงเป็นช่วงหลังจากนั้นสักห้าหกปี พอได้ยินเสียงที่ร้านผมมั่นใจแล้วว่าเป็นผู้ชายแน่นอน” กวีตอบไปตามความเห็นของเขา ความสามารถในการจำแนกเสียงของเขาค่อนข้างละเอียดตามอาชีพ
“อือ ก็เข้าใจได้นะ แต่พี่ถามหน่อย ถ้านายเจอเจ้าของเสียงแล้ว นายคิดจะทำยังไง” คีตะถามเข้าประเด็น เขาเคยคิดเรื่องนี้อยู่บ้าง แต่ไม่คิดว่ากวีจะตามหาจนเจอ
กวีเงียบไป เขาไม่เคยคิดเลยว่า ถ้าเขาเจอเจ้าของเสียงแล้วจะทำยังไง ใจเขาแค่ชอบเสียงนั้นมากๆ อยากเห็นหน้าเจ้าของเสียงสักครั้ง ไม่มีความคิดอะไรไปไกลกว่านั้น นั่นสิ เขาอยากเจอ แต่เจอแล้วจะทำอะไร ขอให้เขาพูดให้ฟังเหรอ จีบเขาเหรอ ก็ไม่น่าจะใช่ คิดไปคิดมา กวีก็ได้แต่ส่ายหน้า
“ไม่รู้สิพี่ ผมไม่เคยคิดเลย คิดแต่อยากเจอเจ้าของเสียงแค่นั้น”
คีตะใช้สายตาประหนึ่งผู้ละแล้วซึ่งทางโลกมองน้องชาย เจ้าน้องชายตัวดีของเขายังคิดน้อยเหมือนเดิม กวีไม่ใช่คนซับซ้อนเป็นพวกปากตรงกับใจอย่างที่สุด เขาไม่แปลกใจที่กวีจะไม่เคยคิดเรื่องหลังจากพบเจ้าของเสียง เพราะเรื่องนี้ถูกการตามหาตลอดหลายปีกลบไว้ หรือบางทีกวีเองก็คงคิดว่าอาจจะไม่ได้เจอเช่นกัน
“ถ้าอย่างงั้นพี่ว่าปล่อยไปดีไหม ถ้านายบอกว่าได้ยินเสียงเขาที่ชั้นนี้ ก็แสดงว่าวันหนึ่งอาจจะได้พบกัน แต่อย่าให้ถึงกับไปไล่ตามจนกลายเป็นคุกคามนะ” คีตะที่เห็นน้องชายวิ่งออกไปวันนี้แล้วใจหาย การไล่ตามแบบนั้นไม่ต่างจากการไปคุกคามคนอื่นสักนิด
คนน้องทิ้งตัวลงกับพนักโซฟา หลับตาอยู่พักใหญ่ กวีกำลังทบทวนสิ่งที่เขาทำ เขาคิดแต่จะไล่ตามหา แต่ไม่คิดว่าถ้าเขาเป็นอีกฝ่าย มีคนมาไล่ตามหาตัวทั้งที่ไม่รู้จุดประสงค์แน่ชัด เขาจะกลัวไหม จะรู้สึกว่าถูกคุกคามหรือเปล่า ขนาดคนรอบตัวเขายังรู้เลยว่า เขาคลั่งไคล้เสียงนั่นขนาดไหน แล้วความคลั่งไคล้แบบนี้ ใครจะบอกได้กันว่ามันเป็นไปในทางดีหรือร้าย
“ครับพี่ ผมเข้าใจแล้ว” กวีสงบลงบ้างแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังขอต่อรองสักหน่อย “แต่ผมไปนั่งเล่นอยู่แถวล็อบบี้นานหน่อยคงไม่เป็นไรใช่ไหม”
“เออ อะไรก็ได้ที่ไม่เป็นการคุกคามคนอื่น” พระเอกคนดังได้แต่ถอนใจกับความรั้นของน้องชาย
ติดตามเนื้อเรื่องฉบับเต็มได้ที่นี่ https://bit.ly/3xuGnFL