โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

เอสเอ็มอีขอ 6 ข้อช่วยน้ำท่วม มธ.ประเมินเสียหาย 8 พันล้าน

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 31 ส.ค. 2567 เวลา 07.35 น. • เผยแพร่ 31 ส.ค. 2567 เวลา 09.30 น.

กรมชลประทานเร่งระบาย น้ำออก เท่ากับ น้ำเข้า เขื่อนเจ้าพระยา 1,300 ลบ.ม./วินาที รับน้ำเหนือ ขณะที่สมาพันธ์ SMEs ประเมินความเสียหายสูงกว่าสภาหอการค้า จะกระทบ GDP 0.3-0.4% ด้าน อจ.เศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ แนะ การประเมินความเสียหายต้องมี “ค่ากลาง” เสียหายแล้ว 8,000 ล้าน

มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังอ่อนลง ในขณะที่มีหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนลดลง แต่ยังคงมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ภาคกลางตอนบนและภาคตะวันออก สำหรับสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำยม-น่าน

ขณะนี้ยังมีฝนตกเพิ่มในพื้นที่ทางตอนบนของประเทศ ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำสายหลักเพิ่มขึ้น อาทิ ในลุ่มน้ำยม ที่สถานีวัดน้ำ Y37 บ้านวังชิ้น อ.วังชิ้น จ.แพร่ และที่สถานีวัดน้ำ Y14 A อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น แต่ยังต่ำกว่าตลิ่งประมาณ 5 เมตร ทางกรมชลประทานได้บริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำยม ด้วยการผันน้ำบางส่วนลงแม่น้ำน่านและแม่น้ำยมสายเก่า เข้าไปเก็บไว้ที่พื้นที่หน่วงน้ำทุ่งบางระกำ

ขณะนี้รับน้ำเข้าพื้นที่ไปแล้วประมาณ 62 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 15% ส่วนสถานการณ์น้ำท่วมขังในพื้นที่ จ.สุโขทัย ตั้งแต่ อ.ศรีสัชนาลัย อ.สวรรคโลก อ.ศรีสำโรง และ อ.เมืองสุโขทัย ปัจจุบันระดับน้ำต่ำกว่าตลิ่งแล้ว แต่ยังคงมีน้ำท่วมขังในบางพื้นที่

ด้านการระบายน้ำของเขื่อนเจ้าพระยา ยังมีปริมาณน้ำจากแม่น้ำน่าน ไหลมารวมกับแม่น้ำยม ที่สถานีวัดน้ำ C2 อ.เมือง จ.นครสวรรค์ ณ วันที่ 30 สิงหาคม มีปริมาณน้ำไหลผ่านในอัตรา 1,311 ลบ.ม./วินาที ขณะที่ปริมาณน้ำไหลสู่เขื่อนเจ้าพระยาสถานี C13 จ.ชัยนาท มีปริมาณ 1,300 ลบ.ม./วินาที ดังนั้น กรมชลประทานปรับเพิ่มการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยาอยู่ในอัตรา 1,300 ลบ.ม./วินาที ซึ่งอาจส่งผลให้ระดับน้ำในพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี และกรุงเทพมหานครบางพื้นที่ ยกตัวสูงขึ้น แต่จะไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมและพื้นที่เศรษฐกิจของกรุงเทพฯ

นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวถึงสถานการณ์น้ำท่วมภาคเหนือ 7 จังหวัด จะมีความเสียหายตามมาในภาคการเกษตร ประมง ปศุสัตว์ อาจเกิดภาวะขาดแคลนและราคาพุ่งสูงขึ้นตามมา ธุรกิจภาคการค้า ภาคบริการและการท่องเที่ยว ภาคการผลิตอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในพื้นที่น้ำท่วมหยุดชะงัก ก่อให้เกิดต้นทุนการฟื้นฟู กระทบต่อ GPP แต่ละจังหวัด และ GDP อาจเติบโตได้ไม่เท่าตามที่คาดการณ์ไว้

“น้ำท่วมครั้งนี้น่าจะส่งผลกระทบต่ออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ 0.3-0.4% ของ GDP ภาพรวม หรือคิดเป็นมูลค่าเสียหายประมาณ 55,000-60,000 ล้านบาท ซึ่งจะมากกว่าที่หอการค้าไทยประเมินวานนี้ (29 ส.ค. 67) ประมาณ 4,000-6,000 ล้านบาท ขอบเขตเฉพาะ 9 จังหวัดทางภาคเหนือ”

ทางสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย อยากจะให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือใน 6 เรื่อง ได้แก่ 1) มาตรการตรวจรักษาสุขภาพเยียวยาผู้ประสบภัย 2) มาตรการซ่อมแซมที่อยู่อาศัย โรงเรียน โรงพยาบาล สถานที่ท่องเที่ยว โดยมีโครงการวัสดุก่อสร้างราคาถูก

3) มาตรการฟื้นฟูพื้นที่การเกษตรและซ่อมแซมหรือสนับสนุนเครื่องมือ อุปกรณ์ เครื่องจักรกลการเกษตร 4) มาตรการทางการเงิน การพักชำระหนี้ ลดดอกเบี้ย สินเชื่อเพื่อการฟื้นฟูธุรกิจ-ที่อยู่อาศัย-สถานประกอบการ และ 6) มาตรการป้องกัน การแก้ไขเหตุการณ์น้ำท่วมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ด้านนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ความเสียหายจากสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในภาคเหนือ 9 จังหวัด เบื้องต้นที่ประมาณ 4,000-6,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.02-0.03% ของ GDP ซึ่งยังคงต้องติดตามและประเมินผลกระทบอีกครั้ง เนื่องจากหลายจังหวัดยังมีความเสี่ยงที่อาจจะเกิดน้ำท่วมเพิ่มเติม โดยภาคการเกษตรจะได้รับผลกระทบมากที่สุด

รองลงมา ภาคบริการและภาคอุตสาหกรรม ในระยะสั้นหอการค้าฯเสนอให้รัฐบาลจัดตั้ง “ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย” เพื่อต้องเตรียมแผนรับมือมวลน้ำที่จะไหลลงมาสู่ภาคกลางและกรุงเทพฯ

นอกจากนี้ ทางหอการค้าฯร่วมกับผู้ประกอบการค้าปลีกและค้าส่ง (Modern Retail & Wholesale) ชั้นนำของประเทศ เช่น Tops Makro ระดมแนวทางบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ ผ่านการจัดแคมเปญลดราคาสินค้าอุปโภค-บริโภค เครื่องใช้ไฟฟ้า และเฟอร์นิเจอร์ เช่น กลุ่มวัสดุก่อสร้าง อาทิ ไทวัสดุ ให้การสนับสนุนการลดราคาสินค้าในกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการซ่อมแซม-ตกแต่งบ้าน และเครื่องใช้ไฟฟ้า

และได้ประสานกับเครือข่ายบริษัทชั้นนำช่วยสนับสนุนส่วนลดพิเศษเพิ่มเติม อาทิ TOYOTA สำหรับซ่อมแซมยานพาหนะ, SCG สำหรับการซ่อมแซมและวัสดุก่อสร้าง, Siam Kubota มอบส่วนลดค่าแรง น้ำมันเครื่อง และอะไหล่ให้กับรถที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติโดยตรง

ส่วนการช่วยเหลือด้านการเงิน หอการค้าฯร่วมกับ SME D Bank และ EXIM Bank ออกมาตรการช่วยเหลือทางการเงินสำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบเป็นพิเศษ เช่นเดียวกับ นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ไทยพาณิชย์ได้ออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม สำหรับลูกค้าบุคคลและลูกค้าสินเชื่อธุรกิจเพื่อผู้ประกอบการ สำหรับลูกค้าที่ใช้บริการสินเชื่อที่อยู่อาศัย

และสินเชื่อธุรกิจเพื่อผู้ประกอบการ (SSME) ธนาคารให้ความช่วยเหลือในการพักชำระหนี้เป็นระยะเวลาสูงสุด 3 เดือน ลดอัตราดอกเบี้ยได้สูงสุด 100% ของอัตราดอกเบี้ยเดิมภายในระยะเวลาไม่เกิน 3 เดือน และขยายระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุด 5 ปี สำหรับลูกค้าสินเชื่อที่อยู่อาศัย และสูงสุด 3 ปี สำหรับลูกค้าสินเชื่อ SSME (รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 65 ปี) สำหรับลูกค้าบุคคลประเภทสินเชื่อรถยนต์ สามารถขอพักชำระหนี้สูงสุดไม่เกิน 3 เดือน และขยายระยะเวลาในการผ่อนชำระสูงสุด 3 เดือน (รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 65 ปี)

ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงความเสียหายที่เกิดจากน้ำท่วมว่า จะต้องมีการกำหนด “ค่ากลาง” ผ่านสมการขนาดเศรษฐกิจในพื้นที่ 7 จังหวัด อ้างอิงสถิติผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) จากสภาพัฒน์ คิดเป็นมูลค่ากว่า 300,000 ล้านบาทต่อปี ลดทอนตามสถานการณ์ ระยะเวลาและพื้นที่น้ำท่วมราว 10-20 เปอร์เซ็นต์

ดังนั้น หากน้ำท่วมกินเวลาราว 1 เดือน ความเสียหายจะคิดเป็นมูลค่าประมาณ 8,000 ล้านบาท นับจากทรัพย์สิน พืชผลทางการเกษตร การค้าขาย โครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงปัญหาด้านสาธารณสุข โดยสัดส่วนใหญ่ที่สุดที่จะต้องนำมาคำนวณก็คือ การทำมาค้าขาย ซึ่งคิดเป็นมูลค่าราว 4,000 ล้านบาท

“ถ้าสถานการณ์น้ำท่วมลากยาวกว่านี้ ตัวเลขไม่ใช่แค่คูณสอง แต่ทวีคูณ ความเสียหายข้างต้นจะถูกนับเป็นความเสียหายบานปลาย ตามหลักการของเศรษฐศาสตร์ภัยพิบัติ จาก 8,000ล้านก็จะกลายเป็น 20,000-30,000 ล้านบาทได้ ซึ่งเปรียบเหมือนดอกเบี้ยทบต้น” ดร.เกียรติอนันต์กล่าว

ที่ผ่านมา ประเทศไทยขาดการประเมินในเชิงเศรษฐศาสตร์ที่เป็นระบบและชัดเจนในการบริหารจัดการน้ำ โดยเรียนรู้ว่า ควรปล่อยน้ำแบบใด ไปทางใด แต่ไม่เคยมีข้อมูลรองรับที่บ่งบอกถึงความเสียหายที่ชัดเจน เช่น “ท่วมบริเวณนี้ ปริมาณ 1 เมตร 2 เมตร เกิดเสียหายเท่าใด”

ค่ากลางจะเป็นตัวชี้วัดและอธิบายการตัดสินใจเรื่องความเสียหายจริงได้ว่า จะต้องฟื้นฟูความเสียหายเท่าไหร่และอย่างไร เท่าที่ผ่านมาประเทศไทยมีความพร้อมหลายด้านที่นำไปสู่การค้นหา “ค่ากลาง” และการจัดการที่เป็นระบบ ทั้งดาวเทียม THEOS-2 ข้อมูลพื้นฐานจากกระทรวงเกษตรฯ เครือข่ายความเข้มแข็งของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ตอนนี้จึงขาดเพียงว่า ทำอย่างไรให้สามารถรวมกันเพื่อสร้างระบบนี้ขึ้นมาให้ได้

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : เอสเอ็มอีขอ 6 ข้อช่วยน้ำท่วม มธ.ประเมินเสียหาย 8 พันล้าน

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...