โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

กรุงเทพฯ ทับซ้อนกรุงธนฯ คนบางกอกพูด ‘เยื้อง’

MATICHON ONLINE

อัพเดต 20 เม.ย. 2566 เวลา 08.40 น. • เผยแพร่ 20 เม.ย. 2566 เวลา 05.21 น.

กรุงเทพฯ ทับซ้อนกรุงธนฯ

คนบางกอกพูด ‘เยื้อง’

ข้อมูลในหนังสือ กรุงเทพฯ มาจากไหน? ของ สุจิตต์ วงษ์เทศ

สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2548

กรุงเทพฯ ถูกสร้างทับซ้อนกรุงธนบุรี (สองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา มองเห็นพระบรมมหาราชวัง ภาพจาก กรุงเทพฯ 2489-2539. กรมศิลปากร, 2539)

กรุงเทพฯ สร้างทับซ้อนกรุงธนบุรี

สิ่งที่เปลี่ยนไปคือศูนย์กลางอำนาจย้ายจากฝั่งธนบุรีไปอยู่ฝั่งกรุงเทพฯแล้วขยายคูน้ำกำแพงเมืองฝั่งกรุงเทพฯ ให้กว้างกว่าเดิม

พระปรางค์วัดอรุณ ริมแม่น้ำ(เจ้าพระยา) “มหาธาตุหลวง” ของราชอาณาจักร เป็นพยานว่ากรุงเทพฯ กับกรุงธนฯ เป็นพื้นที่ “เมือง” เดียวกัน

การสร้างพระปรางค์มหาธาตุหลวงของราชอาณาจักรไว้บนฝั่งที่เคยเป็นศูนย์กลางของกรุงธนบุรีมาก่อน แสดงให้เห็นถึงคุณค่าความสำคัญของกรุงเทพฯ มีทั้งสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา

นอกจากนั้นบรรดาขุนนางข้าราชการและราษฎรส่วนมากของพระนคร ล้วนตั้งหลักแหล่งอยู่ทางฝั่งตะวันตกมาแต่ครั้งเป็นกรุงธนบุรี โดยเฉพาะกรมพระราชวังหลังที่รัชกาลที่ 1 โปรดให้สถาปนาขึ้น ก็มีวังหลังอยู่บริเวณนิวาสสถานเดิม ตรงปากคลองบางกอกน้อยในกำแพงกรุงธนบุรีเดิม

ฉะนั้น ทางกายภาพกรุงเทพฯ หรือกรุงรัตนโกสินทร์ แท้จริงคือพื้นที่กรุงธนบุรีที่เปลี่ยนชื่อใหม่ เปลี่ยนราชวงศ์ใหม่ และเปลี่ยนที่ตั้งพระราชวังแห่งใหม่

ลักษณะอย่างนี้เคยมีมาก่อนนานแล้วคืออโยธยาศรีรามเทพนคร เปลี่ยนชื่อเป็นกรุงศรีอยุธยาบนพื้นที่บริเวณเดียวกัน

งานก่อสร้างพระนครเริ่มจริงๆ เมื่อ พ.ศ. 2326 พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ จดว่าโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกองสักเลกไพร่หลวงสมกำลังและเลกหัวเมืองทั้งปวง แล้วให้เกณฑ์ทำอิฐขึ้นใหม่บ้าง ให้ไปรื้ออิฐกำแพงเมืองกรุงเก่าบ้าง ลงมือก่อสร้างพระนคร ทั้งพระบรมมหาราชวังและพระราชวังบวรสถานมงคล

โปรดให้รื้อป้อมวิชเยนทร์และกำแพงเมืองธนบุรีฟากตะวันออกตรงที่เรียกว่าคลองคูเมืองเดิมออก ขยายพระนครให้กว้างออกไปกว่าเก่า ถึงตรงที่เป็นคลองบางลำพูปัจจุบัน

ป้อมมหาไชย ตรงหน้าวังบูรพาภิรมย (ภาพจากสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ)

เขมร (จาม) ขุดคูเมือง

เกณฑ์เขมรเข้ามาขุดคลองคูพระนครด้านตะวันออก ตั้งแต่วัดบางลำพูหรือวัดสังเวชไปออกแม่น้ำข้างใต้ที่วัดเชิงเลนหรือวัดบพิตรพิมุข แล้วพระราชทานชื่อว่าคลองรอบกรุง

ขุดคลองเชื่อมคลองรอบกรุงกับคลองคูเมืองเดิม 2 คลอง คลองหนึ่งคือคลองข้างวัดราชบพิธ อีกคลองหนึ่งข้างวัดราชนัดดากับวัดเทพธิดา ทำสะพานช้างและสะพานน้อยข้ามคลองภายในพระนครหลายตำบล

ขุดคลองใหญ่เหนือวัดสะแก ปัจจุบันคือวัดสระเกศ พระราชทานนามว่าคลองมหานาค เป็นที่สำหรับประชาชนชาวพระนครจะได้ลงเรือไปประชุมเล่นเพลงและสักวาในเทศกาลฤดูน้ำ เหมือนอย่างครั้งกรุงศรีอยุธยาเก่า

เขมรที่ถูกเกณฑ์มีหลายพวก แต่พวกหนึ่งเป็นจามที่เข้ารีตอิสลามอยู่ในเมืองเขมร เมื่อขุดคลองคูเมืองและคลองมหานาคแล้วก็โปรดให้ตั้งบ้านเรือนอยู่สองฝั่งคลองสืบมาถึงทุกวันนี้ เรียกบ้านครัว หมายถึงถูกกวาดต้อนมาทั้งครอบครัว เลยเรียกยกครัว กลายเป็นบ้านครัวในปัจจุบัน

(บน) คลองคูเมืองและคลองมหานาค มองเห็นภูเขาทอง วัดสระเกศ(ล่าง) ประตูพฤฒิบาศ และป้อมมหากาฬ(ภาพเก่าจากสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ)

ลาวสร้างกำแพงเมือง

เกณฑ์ลาวสองฝั่งโขงตลอดจนหัวเมืองลาวริมแม่น้ำโขงฟากตะวันตก เข้ามาขุดรากก่อกำแพงพระนคร และสร้างป้อมเป็นระยะๆ รอบพระนคร

ลาวที่ถูกเกณฑ์ทั้งหมดนี้ไม่ได้กลับถิ่นเดิม เพราะการสร้างบ้านแปลงเมืองไม่ได้เสร็จในคราวเดียว หากทำต่อเนื่องหลายรัชกาล พวกที่เกณฑ์มาจึงตั้งหลักแหล่งกระจายทั่วไปตามแต่นายงานจะสั่งให้อยู่ตรงไหน ทำงานที่ไหน ที่สุดแล้วก็สืบโคตรตระกูลลูกหลานตั้งหลักแหล่งถาวรอยู่ในบางกอกกลายเป็นคนกรุงเทพฯ

ลาวสร้างกำแพงเมืองและประตูเมืองของกรุงเทพฯ (ภาพจากสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ)

คนกรุงเทพฯ เป็นใคร? มาจากไหน?

ประชาชนในกรุงเทพฯ มีเท่าไร? เมื่อแรกสถาปนากรุงเทพฯ พ.ศ. 2325 คงตรวจสอบแน่นอนไม่ได้

แต่อาจคะเนได้จากตัวเลขประมาณการของเซอร์จอห์น เบาว์ริง ที่เข้ามาถึงเมืองบางกอกในแผ่นดินรัชกาลที่ 4 หลังสถาปนากรุงเทพฯ ราว 73 ปี บอกว่าจำนวนประชากรทั่วทั้งพระราชอาณาจักรสยามมีไม่เกิน 5 ล้านคน และเป็นประชากรของกรุงเทพฯ ไม่เกิน 3 แสนคน

แสดงว่ายุคกรุงธนบุรีกับต้นกรุงเทพฯ เมื่อแรกสถาปนาต้องมีน้อยกว่านั้น อาจมีเพียง 1 แสน หรือ 2 แสน เพราะมีการกวาดต้อนเชลยศึกและเกณฑ์ไพร่พลเข้ามาคราวละมากๆ เช่น คราวสร้างกรุงเทพฯ เมื่อรัชกาลที่ 1 เกณฑ์คนจากเขมร ลาว ฯลฯ รัชกาลที่ 2 มีมอญเข้ามาสวามิภักดิ์จนรัชกาลที่ 3 กวาดต้อนลาวเข้ามาเพิ่มอีก นี่ยังไม่นับจีนที่ทยอยเข้ามาเรื่อยๆ จนนับไม่ได้

คนกรุงเทพฯ ยุคแรกจะมีอยู่จริงๆ จำนวนเท่าไรก็ตาม แต่คนทั้งหมดไม่ได้เป็นชาติพันธุ์เดียวกัน หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่าไม่ได้เป็น“คนไทย” ทั้งหมด และยังไม่มีสำนึกเป็น“คนไทย” เหมือนปัจจุบัน อาจจำแนกกลุ่มใหญ่อย่างกว้างๆ ได้ราว 3 กลุ่ม คือ คนพื้นเมืองดั้งเดิม, คนต่างชาติภาษา“นานาประเทศ”, และคนไทยสยาม

1.คนพื้นเมืองดั้งเดิมไม่รู้ชื่อเรียกตัวเองว่าอะไรบ้าง? แต่ร่องรอยทางวัฒนธรรมแสดงว่ามีคนหลายตระกูลภาษาอยู่ปะปนกัน เช่น ตระกูลมาเลย์–จาม และ/หรือชวา–มลายู ตระกูลมอญ–เขมร ตระกูลไท–ไตครั้นภายหลังมีตระกูลจีน–ทิเบตเข้ามาประสมด้วย

ถ้าดูจากกฎมณเฑียรบาลยุคต้นกรุงศรีอยุธยา จะพบว่าคนพื้นเมืองดั้งเดิมถูกคนอยุธยายุคนั้นเรียกชื่อ (ในกฎมณเฑียรบาล) ว่า “แขกขอมลาวพม่าเมงมอญ มสุมแสงจีนจามชวา

คนทั้งหมดนี้มีอยู่ในยุคต้นกรุงศรีอยุธยา ถือเป็นคนพื้นเมืองดั้งเดิมของอุษาคเนย์ แล้วมีหลักแหล่งผ่านไปมาอยู่ย่านบางกอกบริเวณสองฝั่งแม่น้ำ(เจ้าพระยา)สายเดิม ดังจะเห็นชื่อบ้านตำบลในกำสรวลสมุทรโคลงดั้นเป็นภาษาตระกูลมอญ–เขมรหลายแห่ง เช่น สมอราย, บางระมาด, บางฉนัง ฯลฯ ล้วนถูกเรียกอย่างรวมๆ เป็นชาวสยามทั้งหมด โดยไม่แบ่งแยกเป็นชาติพันธุ์ใดๆ

2.คนต่างชาติภาษา“นานาประเทศ” ทับซ้อนอยู่ด้วยกัน 2 กลุ่ม มีทั้งกลุ่มพื้นเมืองดั้งเดิมที่อยู่ห่างไกล กับกลุ่มมาจากที่อื่นชัดๆ เช่น ตะวันออกกลาง ยุโรป ฯลฯ รวมถึงหมู่เกาะ เช่น ญี่ปุ่น ฯลฯ

คนพื้นเมืองดั้งเดิม แม้อยู่ในตระกูลเดียวกัน แต่สำเนียงต่างกัน เพราะมีหลักแหล่งห่างไกลกันมาก เลยถูกจัดเป็นคนต่างชาติภาษา

สมัยนั้นการแบ่งคนอย่างกว้างๆ ถือเอาภาษาพูดเป็นเกณฑ์ ฉะนั้นตระกูลไท–ไต–ลาวด้วยกันก็ถูกแบ่งเป็นคนต่างชาติภาษาได้ เนื่องจากพูดแล้วฟังไม่รู้เรื่องกัน สื่อสารกันไม่ได้ ดังมีหลักฐานอยู่ในหนังสือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ หรือนางนพมาศ (พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 3) ที่สะท้อนให้รู้จักคนยุคต้นกรุงเทพฯ เข้าใจว่านอกจากไทยแล้ว ยังมีคนชาติภาษาลาวอยู่ด้วย และคนชาติภาษาลาวแบ่งเป็นอีกหลายชาติ (ภาษา) เช่น ลาวน้ำหมึก ลาวลื้อ ลาวเงี้ยว ลาวทรงดำ ลาวทรงขาว เป็นต้น

เมื่อรวมชาติภาษาต่างๆ ที่คนกรุงเทพฯ ยุคนั้นรู้จัก มีมากกว่า 60 ชาติภาษา

3.คนไทยสยาม พวกนี้ก็ทับซ้อนอยู่กับคนพื้นเมืองดั้งเดิม กับคนต่างชาติ ภาษา“นานาประเทศ” อีก

คำว่า“ไทยสยาม” หมายถึง คนพวกหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า “ไทย” มีหลักแหล่งอยู่บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาเท่านั้น เพราะมีพวกอื่นถูกเรียกจากคนอื่นว่าไทยน้อย กับไทยใหญ่อยู่ด้วย

ที่ต้องเรียกรวมๆ ว่าไทยสยาม ก็เพราะแยกคนไทยออกจากคนสยามไม่ได้ เช่น คนพื้นเมืองดั้งเดิม กับคนต่างชาติภาษาบางพวก แต่เดิมได้ชื่อว่าคนสยามทั้งหมด ครั้นนานไปก็ปรับตัวเองเป็นคนไทย สืบสายตระกูลจนเข้ารับราชการมียศบรรดาศักดิ์สูงส่งเป็น“ผู้ดี” ก็มีไม่น้อย แต่จำนวนมากเป็นไพร่บ้านพลเมืองกรุงศรีอยุธยา ครั้งกรุงแตกเมื่อ พ.ศ. 2310 ก็หนีกระจัดกระจายย้ายหลักแหล่งลงมาอยู่เมืองบางกอก กรุงธนบุรี นอกจากนั้นยังมีอีกหลากหลายที่เข้ามาสวามิภักดิ์กับที่ถูกกวาดต้อนจากบ้านเมืองอื่นๆ ซึ่งล้วนจำแนกแยกแยะอะไรไม่ได้

แต่ที่แน่ๆ คือพวกนี้เป็นคนไทยสยามจากที่อื่นๆ ทยอยเข้ามาตั้งแต่ครั้งกรุงธนบุรี แล้วตั้งหลักแหล่งถาวรเป็นประชากรกรุงเทพฯ เต็มตัว มีกรณีตัวอย่างของคนไทยสยามในกรุงเทพฯ เช่น ตระกูลจีน (พระเจ้าตาก) ตระกูลเปอร์เซียมุสลิม (บุนนาค) ฯลฯ ล้วนเป็นคนสยามในพระนครศรีอยุธยามาก่อนทั้งนั้น แต่เมื่อถึงยุคกรุงเทพฯ ก็เป็นคนไทยสยามอย่างสมบูรณ์

คนกรุงเทพฯ เป็นชาวบางกอก “ร้อยพ่อพันแม่” (ซ้ายบน) แม่น้ำเจ้าพระยา(ขวาบน)รถรางสมัยแรกๆ(ซ้ายล่าง) ตลาดท่าเตียนยุคต้นๆ (ขวาล่าง) ย่านสำเพ็งสมัยแรกๆ(ภาพจากสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ)

สำเนียงคนบางกอกพูด “เยื้อง”

ย่านบางกอกสมัยกรุงศรีอยุธยาหรือก่อนหน้านั้นเป็น“บ้านนอก” อยู่ห่างไกลราชธานีกรุงศรีอยุธยามาก

คนบางกอกเป็นพวกพื้นเมืองหลายชาติพันธุ์ เช่น มอญ–เขมร, ชวา–มลายู, มาเลย์–จาม, จนถึงไท–ไต–ลาวจึงต่างพูดจาด้วยสำเนียงของตัวเองในกลุ่มของตน แต่การสื่อสารระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์จะใช้สำเนียงภาษาอะไรไม่รู้ได้

ภาษาไทยในตระกูลไท–ไตคงเป็นสำเนียงภาษากลางที่ใช้สื่อสารกันทั่วไปของคนกลุ่มใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อเกิดเมืองธนบุรีขึ้นบริเวณคลองลัดขุดใหม่ หรือแม่น้ำ(เจ้าพระยา)สายใหม่ แต่สำเนียงภาษาของคนบางกอกย่อมเป็นสำเนียงถิ่นย่อยๆ ของสำเนียงหลวงที่อยู่ในราชธานีกรุงศรีอยุธยา

สำเนียงหลวงยุคกรุงศรีอยุธยามีร่องรอยอยู่กับเจรจาโขน ที่ปัจจุบันคนทั่วไปเรียก“เหน่อ” คล้ายไปทางสำเนียงลุ่มน้ำโขง หรือสำเนียงหลวงพระบาง, สำเนียงสุพรรณ,สำเนียงโคราช ทำให้คนในพระนครศรีอยุธยาที่ใช้สำเนียงหลวงในชีวิตประจำวันครั้งโน้น ฟังสำเนียงบางกอกว่าเป็น“บ้านนอก” และ “เยื้อง” (หมายถึงไม่ตรง) เพราะสำเนียงบางกอกไม่ตรงกับสำเนียงหลวงที่ได้รับการยกย่องครั้งนั้น

เมื่อหลังกรุงแตก พ.ศ. 2310 ราชธานีย้ายจากพระนครศรีอยุธยาลงมาอยู่ย่านบางกอกที่เมืองธนบุรี ทำให้สำเนียงบางกอกที่กรุงเทพฯ ถูกยกเป็น“สำเนียงมาตรฐาน” ตกทอดสู่ปัจจุบันอย่างที่พูดกันทุกวันนี้ แล้วพากันเหยียดสำเนียงหลวงดั้งเดิมว่า“เหน่อ”

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...