โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

กรดโฟลิก ช่วยเซฟชีวิตทารก วิตามินสำคัญแม่ตั้งครรภ์ต้องกิน

GedGoodLife

อัพเดต 13 มี.ค. 2566 เวลา 11.54 น. • เผยแพร่ 02 มี.ค. 2566 เวลา 04.11 น. • GED good life ชีวิตดีดี

“กินโฟลิกก่อนท้อง ช่วยป้องกันลูกพิการได้” คำกล่าวนี้ไม่ใช่เรื่องเกินจริง และยังเป็นคำแนะนำที่หมอมักบอกแก่ผู้ที่วางแผนจะตั้งครรภ์ หรือกำลังมีครรภ์อยู่ด้วย ฉะนั้นเราไปทำความรู้จักกับ “กรดโฟลิก” กันให้มากขึ้น ว่ามีส่วนสำคัญต่อชีวิตลูกน้อยในครรภ์แค่ไหน และควรกินอย่างไรให้ได้ปริมาณตามที่ร่างกายต้องการอย่างเหมาะสม

ทำความรู้จักกับ โฟลิก สุดยอดวิตามินสำหรับแม่ตั้งครรภ์

กรดโฟลิก (โฟลิก แอซิค – Folic Acid) หรือ โฟเลต คือ วิตามินบี 9 ที่มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโต และพัฒนาการของตัวอ่อน ช่วยป้องกันความผิดปกติของเลือด และมีส่วนช่วยในการซ่อมแซม DNA ในเซลล์ หากร่างกายได้รับโฟเลตไม่เพียงพอ ระดับโฟเลตในเซลล์ลดลง การเจริญเติบโตของเซลล์ก็จะหยุดชะงักตามไปด้วย ทำให้เกิดความพิการแต่กำเนิดได้

ไม่เพียงแต่การป้องกันความพิการในบุตรเท่านั้น จากการศึกษาในระยะหลังยังพบว่า การรับประทานโฟลิกมีผลดีต่อการมีบุตร อาจช่วยให้มีบุตรง่ายขึ้น ลดภาวะไข่ไม่ตก ภาวะแท้ง รวมถึงพบว่า ช่วยเพิ่มอัตราการตั้งครรภ์ในผู้มาทำเด็กหลอดแก้วด้วย

โฟลิกเป็นสารอาหารที่มีมากในผักผลไม้สด เช่น ดอกกะหล่ำ มะเขือเทศ แตงกวา หน่อไม้ฝรั่ง องุ่นเขียว สตรอเบอรี่ เป็นต้น แต่โฟลิกจะถูกทำลายได้ง่าย เมื่อถูกความร้อนเป็นเวลานานในการปรุงอาหาร ถ้ากินอาหาร หรือปรุงอาหารไม่ถูกต้อง อาจทำให้ร่างกายได้รับโฟลิกไม่เพียงพอ แพทย์จึงมักแนะนำให้กินในรูปแบบวิตามินเสริมร่วมด้วย

“โฟลิก แอซิค” สามารถป้องกันทารกพิการแรกเกิดได้ถึง 50%

ข้อมูลจาก แพทยสภา โดย นพ.พิชิต ศิริวรรณ รองผู้อำนวยการสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย ได้กล่าวถึงความวิเศษของโฟลิก แอซิด หรือโฟเลตไว้ดังนี้

“แม้ตัวอ่อนจะมีพันธุกรรมที่มีโอกาสพิการ แต่ถ้าได้รับสารอาหารที่เพียงพอ โดยเฉพาะวิตามินบี 9 หรือที่เรียกว่า โฟเลต หรือโฟลิกแอซิด (Folic Acid) ตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ อย่างน้อย 6 สัปดาห์ จนไปถึงช่วงตั้งครรภ์ครบ 3 เดือน ก็จะช่วยป้องกันความพิการแต่กำเนิดลงได้เกือบครึ่งหนึ่ง หรือ 20-50%

การป้องกันความพิการแต่กำเนิดด้วยโฟเลต จะช่วยลดโอกาสการเกิดภาวะพิการแรกเกิด จาก 3-4% ให้ลดลงเหลือ 1.5-2% ซึ่งหากเทียบกับสถิติเด็กไทยเกิดประมาณ 800,000 คนต่อปี นั่นเท่ากับว่า การป้องกันด้วยโฟเลตอย่างน้อย 6 สัปดาห์ ก่อนตั้งครรภ์ สามารถลดจำนวนเด็กพิการลงไปได้ถึงปีละ 15,000 คนเลยทีเดียว”

รู้หรือไม่? ในปี พ.ศ. 2552 องค์การอนามัยโลกได้ออกคำแนะนำให้ทุกประเทศทั่วโลกรณรงค์ป้องกันความพิการแต่กำเนิดโดยการใช้โฟเลต และในหลายประเทศทั่วโลก เช่น สหรัฐอเมริกา จีน แคนาดา และประเทศในแถบยุโรป ได้มีการแนะนำให้หญิงวัยเจริญพันธุ์รับประทานโฟเลตอย่างต่อเนื่องเพื่อลดความพิการแต่กำเนิด

TOP 4 ความพิการในทารกแต่กำเนิด

  • โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
  • แขนขาพิการ
  • ปากแหว่งเพดานโหว่
  • และกลุ่มอาการดาวน์ (ความผิดปกติของระบบสมองและประสาท) ตามลำดับ

4 วิธีป้องกันไม่ให้เกิดความพิการในทารกแต่กำเนิด

ความพิการแต่กำเนิดปัจจุบันส่วนใหญ่ประมาณ 70% สามารถแก้ไข และรักษาได้ รวมถึงฟื้นฟูให้เด็กสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ ด้วย 4 วิธีนี้

  • การรับประทานโฟเลตตั้งแต่ก่อนเริ่มตั้งครรภ์ จนกระทั่งตั้งครรภ์ครบ 3 เดือน
  • การดูแลสุขภาพของมารดา รวมถึงดูแลโรคต่าง ๆ ในมารดาที่เป็นอยู่ให้คงที่
  • หลีกเลี่ยงการติดเชื้อต่าง ๆ ในมารดา
  • ลดภาวะปัจจัยเสี่ยง เช่นงดสูบบุหรี่ งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดการใช้สารหรือยาต่าง ๆ ที่มีผลต่อเด็กในครรภ์
กรดโฟลิก

หมอแนะ! ปริมาณโฟลิกที่แม่ตั้งครรภ์ควรรับประทานต่อวัน

ศ.นพ.วรศักดิ์ โชติเลอศักดิ์ รองคณบดีฝ่ายวิจัย คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และประธานสาขามนุษย์พันธุศาสตร์ สมาคมพันธุศาสตร์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า

“จำเป็นอย่างยิ่งที่หญิงวัยเจริญพันธุ์ทุกคนที่มีโอกาสตั้งครรภ์ ควรกินวิตามินโฟเลต หรือโฟลิกแอซิด ทุกวัน วันละ 1 เม็ด ในปริมาณที่ร่างกายต้องการอย่างเหมาะสม คือ 0.4 มิลลิกรัม หรือ 400 ไมโครกรัมต่อวัน ที่สำคัญ จะต้องรับประทานในระยะช่วงก่อน 6 สัปดาห์ หรือ 1-2 เดือนก่อนตั้งครรภ์ จนถึงตั้งครรภ์ครบ 3 เดือน

แต่หากยังไม่ตั้งครรภ์ก็ให้กินต่อไปเรื่อยๆ ก็สามารถลดโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดลงไปได้ 25-50% ลดความพิการของแขนขาลงได้ประมาณ 50% ลดความพิการของระบบทางเดินปัสสาวะและโรคไม่มีรูทวารหนักได้ 1 ใน 3 และลดโอกาสการเกิดปากแหว่งลงไปได้ประมาณ 1 ใน 3″

กินโฟลิกมาก ๆ จะมีผลเสียต่อร่างกายหรือไม่?

ไม่มีผลเสียต่อร่างกาย เพราะโฟลิกแอซิดขับออกทางปัสสาวะ ไม่มีพิษ และไม่สะสมในร่างกายแม้จะทานในปริมาณมาก

ปรึกษาปัญหาสุขภาพ ไข้หวัด อาการไอ ปวดท้อง ภูมิแพ้ ได้ฟรี! ตลอด 24 ชั่วโมง ถามเลย ที่นี่

อ้างอิง : 1. แพทยสภา 2. medparkhospital

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...