ธุรกิจ SMEs ขาดทุนสะสมเพิ่ม พิษทรัมป์สะเทือนปิดกิจการพุ่ง
ธุรกิจเอสเอ็มอีอ่วม ปัจจัยลบทั้งใน-นอกรุมเร้ารอบด้าน “วิจัยกสิกรไทย” ชี้ภาษีทรัมป์ กำลังซื้อหาย ทำธุรกิจปิดกิจการ 7% ต่อปี รายเล็กกระอัก ขาดทุนสะสมถึง 26% “ภาคบริการ-การค้า” ท้าทายสุด แบงก์ย้ำปีนี้เน้นประคับประคอง ฟื้นฟูแต่ไม่ลงทุนเพิ่ม ธุรกิจฮิตร้านกาแฟยังชะลอเปิดใหม่ “บอนกาแฟ”ชี้จุดคุ้มทุนยาวขึ้น เอสเอ็มอีอีสาน-ใต้ซบหนัก ขึ้นป้ายให้เช่าตึกเพียบ เผย 5 กิจการเสี่ยงเจ๊งสูง
นางสาวเกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ภายใต้ปัจจัยความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งเรื่องนโยบายภาษีสินค้านำเข้า (Reciprocal Tariffs) เศรษฐกิจโลกชะลอ และปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศ เรื่องเสถียรภาพการเมือง ซึ่งอาจจะกระทบการเบิกจ่ายงบประมาณ
รวมถึงยังมีปัญหาเชิงโครงสร้างภายในประเทศ เศรษฐกิจที่ขยายตัวต่ำ กำลังซื้อลดลง จึงเป็นความเสี่ยงต่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) จะเห็นภาพการปิดตัวของธุรกิจเอสเอ็มอีต่อเนื่อง โดยเฉพาะเอสเอ็มอีขนาดเล็กและรายย่อย สะท้อนจากข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ปี 2567 พบว่า ธุรกิจที่มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 100 ล้านบาท มีจำนวนธุรกิจที่ปิดกิจการเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ 7% ต่อปี
หากดูข้อมูลย้อนหลัง 4 ปี มีการปิดเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปี 2564 อยู่ที่ 19,237 ราย ปี 2565 เพิ่มเป็น 21,765 ราย และปี 2566 เพิ่มเป็น 23,280 ราย และปี 2567 อยู่ที่ 23,551 ราย เชื่อว่าในปี 2568 จะยังคงเห็นธุรกิจเอสเอ็มอีปิดกิจการต่อเนื่อง ในอัตราทรงตัวที่ 7% ต่อปี
ธุรกิจเปิดใหม่ไปรอดได้ลดลง
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของจำนวนธุรกิจจัดตั้งหรือเปิดใหม่ ก็มีอัตราเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 7% ต่อปีเช่นกัน โดยจากข้อมูลสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) พบว่า ปี 2567 มีจำนวนบริษัทเปิดใหม่อยู่ที่ 86,464 ราย เพิ่มจากปี 2566 ที่อยู่ 84,083 ราย และในปี 2565 อยู่ที่ 75,354 ราย และในปี 2564 อยู่ที่ 71,550 ราย
แต่พบว่าผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจอยู่รอดได้ หลังช่วงเริ่มต้น (Early Stage) หรือธุรกิจอยู่รอดหลังดำเนินธุรกิจไปแล้ว 3 ปี จะเห็นว่ามีแนวโน้มลดลง ซึ่งโดยเฉลี่ยปรับลดลง 5% ต่อปี โดยในปี 2567 มีธุรกิจที่อยู่รอด 53,018 ราย ลดลงจากปี 2566 ที่อยู่ 59,966 ราย และลดลงจากปี 2565 ที่อยู่ 60,369 ราย และในปี 2564 อยู่ที่ 62,726 ราย
SMEs รายเล็กขาดทุนพุ่ง 26%
จากตัวเลขสะท้อนกิจการที่อยู่รอดทยอยปรับลดลงต่อเนื่อง ขณะที่ธุรกิจใหม่อยู่รอดยากมากขึ้น โดยเฉพาะรายเล็กและรายย่อย สะท้อนผ่านตัวเลขผลประกอบการธุรกิจรายเล็กและรายย่อยที่ขาดทุนสะสมต่อเนื่อง 3 ปีติดต่อกัน (ปี 2563-2566) มีสัดส่วนถึง 26% ของจำนวนธุรกิจทั้งหมด หรือประมาณ 106,595 ราย เมื่อเทียบกับธุรกิจขนาดกลางที่มีผลขาดทุนสะสมเพียง 6% และรายใหญ่อยู่ที่ 4% ของจำนวนธุรกิจทั้งหมด
“หากดูภาพใหญ่เอสเอ็มอี คิดเป็น 35% ของจีดีพี หรือ 6.5 ล้านล้านบาท มีการจ้างงาน 70% และมีจำนวนผู้ประกอบการ 99.5% ของผู้ประกอบการทั้งหมด 3.3 ล้านราย มองไปข้างหน้า ธุรกิจมีความท้าทายและมีความเสี่ยงมากขึ้น เชื่อว่ายังคงมีผู้ประกอบการที่ประคองตัวไม่ไหวจำเป็นต้องออกจากธุรกิจไป ซึ่งจะทำให้สัดส่วนต่อจีดีพีจะน้อยลง และมีความเสี่ยงจะหายไปอีก
เนื่องจากเอสเอ็มอีบางส่วนเป็นซัพพลายเชนให้ธุรกิจรายใหญ่ และหากธุรกิจรายใหญ่มีปัญหาจากนโยบายภาษี ซึ่งอาจจะกระทบต่อการเติบโตเศรษฐกิจไทยได้ และอาจทำให้ตัวเลขปิดกิจการเพิ่มขึ้นมากกว่า 7% และธุรกิจที่จะอยู่รอดเกิน 3 ปี อาจจะสูงกว่า 5% ได้”
กลุ่ม “บริการ-การค้า” โดนหนัก
สำหรับธุรกิจที่มีแนวโน้มขาดทุนและมีความเสี่ยงปิดกิจการต่อเนื่องจะอยู่ในแทบทุกอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในกลุ่มบริการและการค้า และภาคการผลิต โดยกลุ่มภาคบริการและการค้าจะมีความท้าทายมากกว่าการผลิต ส่วนหนึ่งมาจากกำลังซื้อที่น้อยลง และภาคการท่องเที่ยวชะลอตัว เช่น กลุ่มรีเทล ซื้อมาขายไป ร้านอาหาร-เครื่องดื่ม กลุ่มก่อสร้างได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนจากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ และอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
ส่วนภาคการผลิต จะเห็นว่าเอสเอ็มอีบางส่วนผลิตเพื่อใช้และบริโภคในประเทศ แต่จะมีบางส่วนที่ผลิตเพื่อส่งออก แม้ว่าธุรกิจเอสเอ็มอีจะไม่ได้ผลิตส่งออกไปยังสหรัฐโดยตรง แต่จะอยู่ในเชนของธุรกิจรายใหญ่ หรือเป็นรับเหมาช่วง Subcontract จึงอาจได้รับกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐ เช่น กลุ่มเหล็ก สิ่งทอ เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนรถยนต์ และเกษตร เป็นต้น
แบงก์เน้นประคับประคอง-ฟื้นฟู
แหล่งข่าวจากธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ที่ผ่านมาจะเห็นว่าเอสเอ็มอีปิดกิจการมีให้เห็นต่อเนื่อง เช่น กลุ่มยานยนต์ เหล็ก และเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือโรงแรม-ร้านอาหาร เป็นต้น โดยเฉพาะเอสเอ็มอีรายเล็กที่สายป่านสั้น ไม่สามารถลดต้นทุนหรือปรับตัวได้ จะอยู่รอดค่อนข้างยาก ทำให้ต้องปิดกิจการลง
ดังนั้นในปีนี้ ธนาคารจะอยู่ในโหมดประคับประคองธุรกิจของลูกค้าให้อยู่รอด หรือการช่วยเหลือปรับโครงสร้างหนี้ให้กับกลุ่มที่ไปต่อไม่ไหว และฟื้นฟูกิจการ ส่วนการปล่อยสินเชื่อใหม่เป็นไปอย่างระมัดระวัง ธนาคารจะต้องพิจารณาเป็นรายตัว รายเซ็กเตอร์ เพราะธุรกิจเอสเอ็มอีมีหลากหลายมิติ แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ในโหมดประคับประคองมากกว่าการลงทุนใหม่
คนชะลอลงทุนร้านกาแฟ
นางสาวอุษาพรรณ อินทีวรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท บอนกาแฟ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการโซลูชั่นธุรกิจกาแฟครบวงจรสำหรับกลุ่ม B2B และ B2C กล่าวว่า ปีนี้สภาพเศรษฐกิจท้าทายหนักสำหรับทุกธุรกิจ แม้ธุรกิจกาแฟจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าสินค้าอื่น เนื่องจากกระแสนิยมดื่มกาแฟ และอัตราบริโภคที่ยังต่ำเพียง 1-2 แก้วต่อวันก็ตาม โดยเห็นผลกระทบได้จากจำนวนผู้มาใช้บริการโซลูชั่นสำหรับเปิดร้านกาแฟ ซึ่งเติบโตช้าลงเพราะสภาพเศรษฐกิจ ทำให้ผู้ที่ต้องการเปิดร้านกาแฟชะลอการตัดสินใจออกไปก่อน
ด้านการปิดตัวของร้านกาแฟนั้น เป็นวัฏจักรปกติในธุรกิจนี้ โดยเฉพาะเมื่อปัจจุบันการที่ธุรกิจร้านกาแฟจะอยู่รอดได้ท้าทายมากขึ้น เนื่องจากการแข่งขันที่สูงขึ้น ทำให้จุดคุ้มทุนของธุรกิจร้านกาแฟเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ที่มีเมจิกนัมเบอร์ที่การขาย 100 แก้วต่อวัน ปัจจุบันในบางทำเลอาจต้องขายให้ได้มากกว่า 100 แก้วต่อวันแล้ว
หาดใหญ่ซบ-ขึ้นป้ายให้เช่า
แหล่งข่าวในแวดวง SMEs เขตเทศบาลนครหาดใหญ่ จ.สงขลา เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปกติเศรษฐกิจของเมืองหาดใหญ่อยู่ได้จากธุรกิจการท่องเที่ยว แต่ตอนนี้นักท่องเที่ยวกลุ่มที่เข้ามากินเที่ยว ช็อปปิ้ง เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อไม่สูง สภาพเศรษฐกิจในหาดใหญ่จึงซบเซาลงมาก ผู้ประกอบการ ธุรกิจร้านค้า SMEs ตามตึกแถวต่าง ๆ ขึ้นป้ายให้เช่า เซ้ง และขายจำนวนมาก
“ผู้ประกอบการ SMEs จ.สงขลา มีประมาณกว่า 40,000 ราย ส่วนใหญ่มีปัญหาขาดสภาพคล่อง ขณะที่หลายรายมีปัญหาไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน ไม่ผ่านเกณฑ์ขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินได้ ประมาณ 50% เพราะสถาบันการเงินวิเคราะห์แล้วว่าจะไม่มีศักยภาพพอที่จะผ่อนชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยในสภาพเศรษฐกิจในขณะนี้ที่กำลังซื้อชะลอตัว แต่ละธนาคารเองเกรงจะส่งกลายเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) เพิ่มขึ้น”
5 กิจการ SMEs อีสานเสี่ยงเจ๊ง
นายสมชาติ พงคพนาไกร ประธานหอการค้าภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ช่วงเดือนมิถุนายน-ตุลาคม เป็นช่วงโลว์ซีซั่นของภาคอีสาน จึงทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังมีแนวโน้มชะลอตัวมาก โดยเฉพาะธุรกิจรายย่อย SMEs ที่อาจเสี่ยงปิดกิจการ 5 ประเภท ได้แก่
1.กลุ่มธุรกิจสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น เสื้อผ้า กระเป๋า หรือร้านสินค้ามือสองที่เปิดตามพื้นที่ให้เช่าในตลาดนัดและศูนย์การค้า
2.กลุ่มธุรกิจรถยนต์มือ 2 ด้วยกระทบจากการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้เกิดการแข่งขันราคา, เงินดาวน์ต่ำ, งวดผ่อนน้อย และดอกเบี้ยถูก
3.กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะในเมืองขนาดเล็กมีความเสี่ยงสูง
4.กลุ่มธุรกิจร้านอาหารแฟรนไชส์ เช่น ชาบู หม่าล่า ร้านอาหารตามสั่งทั่วไป ร้านอาหารแผงลอย ร้านกาแฟ
5.กลุ่มธุรกิจก่อสร้างและร้านเฟอร์นิเจอร์
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ธุรกิจ SMEs ขาดทุนสะสมเพิ่ม พิษทรัมป์สะเทือนปิดกิจการพุ่ง
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net