กระทรวงสาธารณสุข-ตำรวจปราบปรามยาเสพติด ร่วมแถลงจับขบวนการสั่งยานอนหลับผิดกฎหมาย พบ ‘หมอแอร์’ เอี่ยว 11 คลินิก
กระทรวงสาธารณสุข-ตำรวจปราบปรามยาเสพติด ร่วมแถลงจับขบวนการสั่งยานอนหลับผิดกฎหมาย พบ ‘หมอแอร์’ เอี่ยว 11 คลินิก ใช้ชื่อผู้เสียชีวิตปลอมสั่งยา
วันที่ 11 มิ.ย. 2568 ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ดร.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.), กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และ บช.ปส. ร่วมแถลงข่าวกรณีการจับกุมขบวนการลักลอบสั่งยานอนหลับผิดกฎหมาย
ภายหลังการจับกุม พญ.อัญชุลี ธีระวงศ์ไพศาล หรือ “หมอแอร์” แพทย์ประจำโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสั่งยานอนหลับจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ผ่านคลินิกในเครือข่ายรวม 11 แห่งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยทั้งหมดเป็นคลินิกเวชกรรม จากนั้นมีการนำยาไปเก็บพักไว้ก่อนจำหน่ายต่อให้กลุ่มผู้ซื้อ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งมักนำไปใช้เป็น “ยาเสียสาว”
พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า คดีนี้เริ่มจากการได้รับการประสานจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ตั้งแต่เดือนกันยายน 2567 หลังพบความผิดปกติในการสั่งซื้อวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภท 2 โดย อย. ได้แจ้งข้อมูลและมอบหมายให้ บช.ปส. ดำเนินการสืบสวน
จากการสอบสวนและรวบรวมหลักฐานอย่างต่อเนื่อง จนนำไปสู่การออกหมายจับและจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด 7 ราย ได้แก่
1. พ.ต.อ.หญิง พญ.อัญชุลี ธีระวงศ์ไพศาล ผู้สั่งซื้อยาวัตถุออกฤทธิ์
2. นายดุริยลักษณ์ อุปชัย ทำหน้าที่เก็บรักษายา
3. น.ส.ณัธพัชร์ ดิรโขติ ทำหน้าที่นายทุนและผู้สั่งการ
4. นายปกรณ์ จันทร์เทพ ผู้ร่วมขบวนการ
5. นายอรชุน จันทรนาม ลูกค้าและผู้สั่งยา ซึ่งเชื่อมโยงกับผู้ต้องหาที่ถูกจับก่อนหน้านี้
และ ผู้ต้องหาอีก 2 รายที่ถูกจับได้ในที่เกิดเหตุ พร้อมของกลางยานอนหลับจำนวนกว่า 170,400 เม็ด
พล.ต.ท. สันติ ชัยนอริมัย ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เปิดเผยว่า การดำเนินคดีครั้งนี้ได้รับการร้องเรียนเกี่ยวกับพฤติการณ์ของกลุ่มผู้ต้องหา และหลังจากได้รับการแจ้งจาก อย. ในเดือนกันยายน 2567 ได้มีการสืบสวนติดตามเส้นทางการเงินและการกระจายยา พบพฤติการณ์ผิดกฎหมายตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ทั้งการสั่งซื้อ การส่งต่อให้กลุ่มทุน และการจำหน่ายต่อให้ผู้ค้ารายย่อย
พยานหลักฐานทั้งหมดมีความสอดคล้องกันอย่างชัดเจน จึงนำไปสู่การออกหมายจับและดำเนินการจับกุมผู้ต้องหา
พล.ต.ท.สำราญ กล่าวเพิ่มเติมว่า หนึ่งในผู้ต้องหามีตำแหน่งเป็นข้าราชการตำรวจ ซึ่งทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้รับทราบเรื่องและกำชับให้ดำเนินการตามกฎหมายและวินัยอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าผู้กระทำผิดจะเป็นใครหรือมีตำแหน่งใดก็ตาม
ด้าน พล.ต.ต.นพสิทธิ์ มิตรภักดี ผู้บังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 1 เปิดเผยว่า หลังได้รับข้อมูลจาก อย. ได้ตรวจสอบคลินิกที่ได้รับอนุญาตให้จัดจ่ายยา พบว่ามีการลักลอบนำวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 ออกนอกระบบ โดยเจ้าหน้าที่ได้ติดตามจนพบว่ามียาถูกลำเลียงไปเก็บไว้ที่แฟลตราชการในพื้นที่พญาไท โดยมีบุคคลใกล้ชิดกับหมอแอร์เป็นผู้ดูแล ก่อนส่งต่อไปยังอพาร์ตเมนต์ในพื้นที่วังทองหลาง ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับผู้ต้องหาอีก 2 ราย
ขณะที่ ดร.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า จากนโยบายของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้มีการตั้งคณะทำงานเพื่อตรวจสอบการใช้สารควบคุมที่จัดอยู่ในกลุ่มวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาททุกประเภท โดยตนได้รับมอบหมายให้เป็นประธานคณะทำงานดังกล่าว
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้รายงานว่า พบความผิดปกติในการสั่งซื้อยาในกลุ่มวัตถุออกฤทธิ์ประเภทที่ 2 ได้แก่ อัลฟาโซแรม (Alprazolam) และ โอลันซาพีน (Olanzapine) ซึ่งเป็นยาที่ใช้ในการบำบัดอาการวิตกกังวล เครียด และโรคซึมเศร้า
จากการตรวจสอบย้อนหลัง พบว่า คลินิกแห่งหนึ่งเริ่มมีพฤติกรรมการสั่งซื้อยาดังกล่าวตั้งแต่ปี 2565 โดยมีการสั่งซื้อรวมหลายรายการ มียอดการซื้อในปีนั้นรวมกว่า 1 ล้านบาท
ต่อมาในปี 2566 จำนวนคลินิกที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้นจาก 5 แห่งเป็น 7 แห่ง โดยมียอดสั่งซื้อรวมกว่า 4 ล้านบาท และในปี 2567 จำนวนคลินิกเพิ่มเป็น 11 แห่ง มียอดสั่งซื้อรวมกว่า 7-8 ล้านบาท ล่าสุดในปี 2568 มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 12 คลินิก
ความผิดปกติที่พบคือ ยอดการสั่งซื้อของคลินิกบางแห่งสูงกว่าของโรงพยาบาลรัฐบางแห่ง และยังพบว่า มีการใช้ชื่อของผู้ป่วยที่เสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่ปี 2547 ถึงปี 2567 มาเป็นชื่อในการขอซื้อยาอีกด้วย ซึ่งถือเป็นพฤติกรรมที่เข้าข่ายการกระทำผิดกฎหมายและเป็นการบิดเบือนข้อมูลทางการแพทย์อย่างร้ายแรง
ทั้งนี้ ยังพบความเชื่อมโยงระหว่างแพทย์ผู้สั่งยาและผู้ให้บริการรักษาทางจิตเวช ซึ่งเป็นอีกประเด็นที่อยู่ระหว่างการขยายผลการตรวจสอบในเชิงลึก
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่มีข้าราชการตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องกับขบวนการดังกล่าว พล.ต.ท.สำราญ เปิดเผยว่า ในคดีนี้มีผู้ต้องหาหนึ่งรายซึ่งเป็นข้าราชการตำรวจ ซึ่งทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้รับทราบแล้ว และได้มีคำสั่งให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ทั้งในทางอาญาและทางวินัย โดยจะไม่มีการละเว้นหรือให้สิทธิพิเศษแก่ผู้ใด ไม่ว่าจะมีตำแหน่งหน้าที่เพียงใดก็ตาม
ด้าน ดร.ธนกฤต ตอบคำถามเพิ่มเติมกรณีการสวมชื่อผู้เสียชีวิตในการสั่งซื้อยา โดยระบุว่า จากการตรวจสอบฐานข้อมูลผู้ป่วย พบว่ามีการนำชื่อของบุคคลที่เสียชีวิตไปแล้ว ตั้งแต่ปี 2547 ถึง 2567 มาใช้ในการขอรับยาจากระบบ ซึ่งถือเป็นการปลอมแปลงข้อมูลทางการแพทย์ และเข้าข่ายกระทำผิดร้ายแรง ขณะนี้อยู่ระหว่างการขยายผลเพื่อพิสูจน์ว่าเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่หรือบุคลากรในคลินิกใดบ้าง
เมื่อถูกถามต่อถึงแนวทางในการตรวจสอบเพิ่มเติม ดร.ธนกฤต กล่าวย้ำว่า แน่นอนครับ การสอบสวนยังไม่สิ้นสุด ขณะนี้มีรายชื่อคลินิกอีกหลายแห่งที่เข้าข่ายพฤติกรรมผิดปกติ ซึ่งกระทรวงฯ กำลังประสานการทำงานร่วมกับสำนักงาน อย. และเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินการในเชิงรุก พร้อมตรวจสอบระบบฐานข้อมูลใบสั่งยาทั้งหมด เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นซ้ำอีกในอนาคต