สภาพัฒน์ฯ ห่วงคนไทยติดหรู เสี่ยงก่อหนี้เกินตัว แนะดึงสหกรณ์เข้าเครดิตบูโร
หนี้ครัวเรือนไทย ไตรมาส 4/67 แตะ 16.42 ล้านล้านบาท สภาพัฒน์ห่วงคนไทยติดหรู แต่เงินออมฉุกเฉินน้อย เสี่ยงก่อหนี้เกินตัว แนะดึงสหกรณ์เข้าร่วมเครดิตบูโรแก้หนี้ซ้ำซ้อน
9 มิ.ย. 2568 นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า หนี้สินครัวเรือนในไตรมาส 4 ปี 2567 มีมูลค่า 16.42 ล้านล้านบาท ขยายตัว 0.2% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนจากความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ ส่งผลให้สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP ปรับลดลงมาอยู่ 88.4% จาก 88.9% ของไตรมาสก่อนหน้า
“หนี้ครัวเรือนไตรมาส 1 ปี 68 อยู่ที่ 88.4% ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 88.9% โดยหนี้ในกลุ่มยานยนต์ สินเชื่อธุรกิจปรับลดลง ส่วนสินเชื่อส่วนบุคคลยังขยายตัว”
ด้านคุณภาพสินเชื่อของครัวเรือนปรับลดลง โดยมูลค่าสินเชื่อส่วนบุคคลที่ค้างชำระเกิน 90 วันขึ้นไป (NPLs) ในฐานข้อมูลเครดิตบูโร มีจำนวน 1.22 ล้านล้านบาท ขยายตัว 16.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหรือคิดเป็นสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 8.94% เพิ่มขึ้นจาก 8.78% ของไตรมาสที่ผ่านมา
โดยสัดส่วน NPLs ต่อสินเชื่อรวมในสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ สินเชื่อเพื่อการพาณิชย์ และสินเชื่ออื่น ๆ โดยเฉพาะสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพ และสินเชื่อเช่าซื้ออื่นที่ไม่ใช่รถยนต์มีสัดส่วนสูง สำหรับสินเชื่อที่มีสัดส่วน NPLs ต่อสินเชื่อรวมลดลง ได้แก่ สินเชื่อที่อยู่อาศัย บัตรเครดิต และการเกษตร ขณะที่สินเชื่อส่วนบุคคลมีสัดส่วนคงที่
“NPL ไตรมาส 4 ปี 2567 ขยายตัว 16.4% ดังนั้นมาตรการของธปท. และคลัง ต้องพุ่งเป้าในการสกัดหนี้ไม่ให้เป็น NPL โดยปรับเงื่อนไขให้ผู้ที่เริ่มมีปัญหาให้เข้ามาตรการ ส่วนแนวโน้ม NPL จะเพิ่มขึ้นไหมขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจและรายได้ของประชาชน หากมีมาตรการไปช่วยเรื่องการลงทุนหรือเติมเม็ดเงินในระบบก็จะช่วยเรื่องนี้ได้”
ขณะที่สินเชื่อค้างชำระระหว่าง 30 - 90 วัน (SMLs) มีมูลค่า 5.68 แสนล้านบาท ลดลง 6.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณารายประเภทสินเชื่อ พบว่า SMLs ของสินเชื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อเพื่อการพาณิชย์ มีสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมและมูลค่าขยายตัวมากขึ้น สะท้อนแนวโน้มที่อาจมีหนี้เสียเพิ่มจึง อาจต้องส่งเสริมให้ลูกหนี้โดยเฉพาะในกลุ่มดังกล่าวปรับโครงสร้างหนี้ผ่านโครงการคุณสู้เราช่วยที่มีการดำเนินการอยู่
“สัดส่วนหนี้ SM ต่อสินเชื่อรวมในไตรมาส 4 ปี 2567 อยู่ที่ 4.17% เพิ่มจากไตรมาสก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 3.52% ดังนั้นมาตรการแก้หนี้อย่างคุณสู้เราช่วยอาจต้องปรับเงื่อนไขที่เหมาะสมเพิ่มขึ้นเพื่อไม่ให้ SM กลายเป็น NPL นอกจากนี้ยังต้องหามาตรการช่วยผู้ที่ชำระหนี้ดีมาตลอดแต่มีปัญหาการชำระหรือติดขัดเล็กน้อยเพื่อไม่ให้กลุ่มนี้กลายเป็นหนี้ SM”
นายดนุชา เปิดเผยว่า สถานการณ์หนี้ครัวเรือนของไทย มีประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ ได้แก่
1. คนไทยมีพฤติกรรรมการบริโภคแบบติดหรู ซึ่งอาจนำไปสู่การก่อหนี้เกินตัวได้ง่าย จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยมหิดล ในปี 256710 พบว่า คนไทย 1 ใน 3 นิยมใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าหรู (Luxury และบริการระดับพรีเมียม อาทิ อาหารเครื่องดื่ม บัตรคอนเสิร์ต บริการเสริมความงาม ของสะสม เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดี และการยอมรับจากสังคม ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการก่อหนี้เกินตัว โดยสาเหตุมาจากความต้องการได้รับการยอมรับและได้แสดงสถานะทางสังคม
โดยเพศชายมีความต้องการโดดเด่นที่มากกว่าเพศหญิง ซึ่งสินค้าที่นิยมซื้อแบบติดหรู ได้แก่ อุปกรณ์เทคโนโลยี ขณะที่เพศหญิงนิยมซื้อสินค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม โดยกว่า 50% มีเงินออมสำหรับยามฉุกเฉินน้อยกว่า 6 เดือน ทำให้มีแนวโน้มเข้าสู่วงจรหนี้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน สะท้อนปัญหาการขาดความรู้ และการวางแผนทางการเงินที่เหมาะสม
2. การผลักดันให้สหกรณ์เข้าร่วมเป็นสมาชิกเครดิตบูโร จากข้อมูลของกรมส่งเสริมสหกรณ์ ในปี 2567 พบว่า สหกรณ์ทุกประเภทมีการปล่อยกู้ให้กับสมาชิกมูลค่า 1.3 ล้านล้านบาท แต่สหกรณ์ที่เป็นสมาชิกเครดิตบูโรยังมีจำนวนน้อย ทำให้การแก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือนทำได้ยาก
นอกจากนี้ จากข้อมูลของเครดิตบูโร ในไตรมาสสาม ปี 2567 พบว่า หนี้เสียของลูกหนี้สหกรณ์มีการขยายตัวสูงที่สุดเมื่อเทียบกับลูกหนี้ประเภทอื่น โดยสมาชิกส่วนใหญ่ของสหกรณ์ประกอบอาชีพข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือกลุ่มเกษตรกร ที่มีความเสี่ยงก่อหนี้ซ้ำซ้อนหากไม่มีวินัยทางการเงินที่ดี
โดยกรณีการเข้าร่วมเครดิตบูโรของสหกรณ์ออมทรัพย์ครูประจวบคีรีขันธ์ พบว่า สามารถปรับพฤติกรรมทางการเงิน ผ่านการให้คำปรึกษา การประเมินข้อมูลเครดิต และประสานข้อมูล กับสถาบันทางการเงินอื่น เพื่อให้สมาชิกสามารถเข้าถึงสินเชื่อที่เหมาะสมกับศักยภาพของตนเองได้
ดังนั้นการเชื่อมโยงข้อมูลกับเครดิตบูโรจึงเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่สามารถช่วยให้ประชาชนสามารถหลุดจากปัญหาหนี้สิน รวมถึง เพิ่มโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อที่เป็นธรรม ดังนั้นภาครัฐควรผลักดันเชิงนโยบายให้สหกรณ์เข้าร่วมเป็นสมาชิกกับเครดิตบูโร เพื่อให้สามารถบริหารจัดการหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมความมั่นคงทางการเงินของประชาชนในระยะยาว