ถอดแนวคิดจากสุดยอดเกมแห่งกลยุทธ์ “โป๊กเกอร์” ที่นักการตลาดควรเรียนรู้ | บี สโรจ เลาหศิริ - Exclusive Writer
ในโลกของเกมและโลกของธุรกิจ มีบางสิ่งที่คล้ายกันมากกว่าที่คิด ทั้งสองต่างเต็มไปด้วยข้อมูลไม่ครบถ้วน การแข่งขันอย่างเข้มข้น และความจำเป็นในการตัดสินใจภายใต้เงื่อนไขที่ไม่เคยแน่นอน หากจะมีเกมหนึ่งที่สะท้อนโลกธุรกิจได้ชัดเจนที่สุด ก็คงหนีไม่พ้น “โป๊กเกอร์” กิจกรรมที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากในหมู่นักธุรกิจ และ อินฟลูเอนเซอร์หลาย ๆ ท่าน
แม้จะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเกมของการพนัน แต่ในแวดวงการศึกษาเศรษฐศาสตร์ พฤติกรรมองค์กร และกลยุทธ์ธุรกิจขั้นสูง โป๊กเกอร์กลับเป็นแบบจำลอง (Simulation) ชั้นเยี่ยมของการตัดสินใจในสถานการณ์จริง เป็นเกมที่ไม่ได้สอนให้คุณเล่นเสี่ยง แต่สอนให้คุณรู้จักเสี่ยงอย่างมีวินัย มหาวิทยาลัยชั้นนำ อย่าง MIT (Massachusetts Institute of Technology) ยังมีวิชา “Poker Theory and Analytics” ที่สอนคณิตศาสตร์ กลยุทธ์ จิตวิทยา ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตได้เลย
โป๊กเกอร์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกคือแบบ Texas Hold’em ซึ่งเป็นเกมที่ไม่ได้ตัดสินกันแค่ไพ่ที่อยู่ในมือ แต่รวมถึงการตัดสินใจ จังหวะ และการอ่านเกมของคนอื่นด้วย โดยในแต่ละตา ผู้เล่นทุกคนจะได้รับไพ่ส่วนตัวคนละสองใบ จากนั้นจะมีการเปิดไพ่กองกลางอีกห้าใบบนโต๊ะอย่างต่อเนื่อง ผู้เล่นต้องผสมไพ่ในมือกับไพ่กองกลางเพื่อจัดชุดไพ่ที่ดีที่สุดจากทั้งหมดห้าใบ ไม่ว่าจะเป็นไล่ตั้งแต่หนึ่งคู่ สองคู่ ตอง ไพ่เรียง ไพ่ดอกเดียวกัน ฟูลเฮ้าส์ ไพ่สี่ใบ หรือชุดไพ่หายากที่สุดอย่างสเตรทฟลัช และรอยัลฟลัช (Royal Flush) ซึ่งในแต่ละรอบของการเล่น จะมีจังหวะให้ผู้เล่นตัดสินใจว่าจะหมอบไพ่เพื่อยอมแพ้ เช็คไพ่ผ่านเฉย ๆ คอลตามเงินคนอื่น หรือเกทับเพิ่มเดิมพัน และบางครั้งอาจเทหมดหน้าตัก (All-in) ซึ่งมักเป็นภาพที่เราเห็นในหนังโป๊กเกอร์ต่าง ๆ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้โป๊กเกอร์แตกต่างจากเกมไพ่ทั่วไปคือ ผู้ชนะในแต่ละตา “ไม่ได้จำเป็นต้องถือไพ่ที่ดีที่สุดเสมอไป” เพราะอีกทางหนึ่งของการชนะก็คือการทำให้ผู้เล่นคนอื่น "หมอบไพ่" ไปก่อนที่จะเปิดไพ่ทั้งหมด ซึ่งสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคุณสามารถอ่านใจคนอื่นออก สร้างความกดดันให้คู่แข่งลังเล และควบคุมจังหวะของเกมได้อย่างเหนือชั้น จึงไม่แปลกที่โป๊กเกอร์จะถูกมองว่าเป็นมากกว่าเกมพนัน หากแต่มันคือศิลปะแห่งกลยุทธ์ที่แท้จริงในโลกของการตัดสินใจภายใต้ความไม่แน่นอน
โป๊กเกอร์จึงไม่ใช่เกมของโชค แต่คือเกมของการตัดสินใจบนข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ และนั่นแหละคือโลกของธุรกิจอย่างแท้จริง และนี่คือบทเรียนที่ผมถอดมาจากการเล่นโป๊กเกอร์ที่นักกลยุทธ์ และนักธุรกิจควรเรียนรู้ ทั้ง 5 มิติครับ
1. ไม่ต้องรู้ครบทุกอย่าง…แต่ต้องคิดให้ครบด้าน
หนึ่งในบทเรียนสำคัญที่สุดที่โป๊กเกอร์มอบให้คือ การตัดสินใจโดยไม่รอให้ทุกอย่างแน่นอน เพราะในเกมนี้ ไม่มีใครมองเห็นไพ่ของคนอื่น ไม่มีข้อมูลที่ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่คุณก็ยังต้องตัดสินใจว่าจะเล่นต่อหรือหมอบ จะเดิมพันเพิ่มหรือถอยกลับ โดยอาศัยเพียงการอ่านพฤติกรรม จังหวะการลงเงิน หรือสัญญาณบางอย่างจากอีกฝ่าย
โลกของธุรกิจและการตลาดก็เป็นแบบนั้นเป๊ะ ๆ — ไม่มีใครรู้ว่าแคมเปญหน้าจะเปรี้ยงหรือแป้ก ไม่มีใครรู้แน่ว่าลูกค้าจะตอบสนองอย่างไรเมื่อแบรนด์พูดบางสิ่งออกไป และไม่มีใครรู้อนาคตของตลาดที่ผันผวนได้แบบชัดเจน 100% การรอให้มี “ข้อมูลครบ” ก่อนค่อยตัดสินใจ จึงไม่ใช่ความรอบคอบ แต่มันคือความช้า… และบางครั้งก็อาจหมายถึง “การพลาดโอกาสสำคัญ”
นักการตลาดที่เก่งไม่ใช่คนที่รู้ทุกอย่าง แต่คือคนที่ “กล้า” ตัดสินใจบนข้อมูลที่มีอยู่เพียงบางส่วน พร้อมวางแผนเผื่อผิดพลาด และ “ปรับ” อย่างฉับไวเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน โป๊กเกอร์จึงไม่ได้สอนให้คุณเชื่อมั่นจนมืดบอด แต่มันสอนให้คุณตื่นตัวอยู่เสมอในโลกที่ทุกการ์ดเปิดได้ทุกเมื่อ เหมือนกับการเปิดไพ่กลางใบที่สาม ที่อาจเปลี่ยนสถานการณ์จากแย่ให้ได้เปรียบ หรือจากมั่นใจให้กลายเป็นหมอบในพริบตา
ลองนึกถึงการวางแคมเปญ — คุณอาจมีข้อมูลจากรีเสิร์ช, ข้อมูลลูกค้าเก่า, Insight ที่ได้จาก Agency หรือทีมขาย แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครรู้ชัวร์ว่าเมื่อลงสื่อจริง คนจะหยุดดูไหม คนจะคลิกหรือปัดผ่านไป แบรนด์จะโดนแย่งความสนใจจากดราม่าทางการเมืองหรือคู่แข่งหรือเปล่า
เช่นเดียวกับโป๊กเกอร์ การตลาดจึงต้องอาศัย “การคิดให้ครบแม้ข้อมูลจะยังไม่ครบ” คุณต้องรู้ว่าข้อมูลที่คุณมีคืออะไร ข้อมูลที่ยังไม่มีคืออะไร แล้วกล้าที่จะ "คาดการณ์อย่างมีวินัย" บนพื้นฐานของสิ่งที่คุณสามารถคำนวณไว้และเผื่อใจในการปรับเปลี่ยน ถึงกระนั้นคุณจะต้องมีระบบความคิดที่รองรับการตัดสินใจไม่ว่าจะเป็น เรารู้อะไร เรายังไม่รู้อะไร ความเสี่ยงมีแค่ไหน และเราเตรียมพร้อมที่จะปรับตัวอย่างไรไม่ว่าจะเป็น
- การยอมรับความไม่แน่นอนของลูกค้า แล้วสร้างระบบเก็บ Feedback เพื่อตอบสนองไว
- การทำ A/B test ไม่ใช่เพราะลังเล แต่เพราะรู้ว่าข้อมูลจริงจะมาหลังปล่อย
- การวางแผนแคมเปญให้ยืดหยุ่น ไม่ All-in กับไอเดียเดียว แต่มีทางสำรองเสมอ
อย่ารอจนข้อมูลครบ เพราะ ไม่มีทางเลยที่คุณจะรู้ทุกอย่างก่อนตัดสินใจ ดังนั้นกล้าที่จะตัดสินใจบนระบบความคิดและกลยุทธ์ที่ถูกต้อง พร้อมปรับตลอดเวลาตามสถานการณ์
2. ไพ่ดี ใช่ว่าจะชนะ ไพ่ไม่ดี ใช่ว่าจะแพ้
ในเกมโป๊กเกอร์ มีไพ่หนึ่งคู่ที่ทุกคนรู้ว่ามันแย่ที่สุด — ไพ่ 7 กับ 2 คนละดอก เป็นไพ่ที่ไม่สามารถเรียงหรือฟลัชได้ง่าย และโอกาสชนะน้อยที่สุดในทางสถิติ แต่นั่นไม่ได้แปลว่าผู้เล่นที่ได้ไพ่ใบนี้จะแพ้เสมอไป เพราะในโลกของโป๊กเกอร์ ไม่ใช่แค่ไพ่บนมือที่กำหนดผลลัพธ์ของเกม แต่คือ “วิธีการเล่น” ของคุณ
ผู้เล่นที่ฉลาดและกล้า สามารถใช้ไพ่แย่ที่สุดนี้สร้างแรงกดดันให้คู่แข่งถอยได้ ด้วยการอ่านจังหวะ บลัฟในจุดที่อีกฝ่ายลังเล หรือใช้สถานการณ์ (ไพ่กองกลาง) ที่เปิดมาเข้าทาง สร้างเรื่องให้คู่แข่ง “กลัว” หรือ “ไม่แน่ใจ” จนยอมหมอบไพ่ไปในที่สุด
เมื่อหันกลับมามองโลกของธุรกิจ ไพ่ดีอาจหมายถึงคุณได้มีโอกาสทำการตลาดให้ผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยม แบรนด์แข็งแรง เทรนด์เป็นใจ งบมีเยอะ และ ทีมงานเพียวพร้อม ในขณะที่ไพ่ไม่ดีคือคุณอาจเป็นสตาร์ทอัพที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก จังหวะเศรษฐกิจดิ่งลงเหว บริษัทคุณมีข้อจำกัดด้านทรัพยากร หรือกำลังเข้าสู่ตลาดที่อิ่มตัว ขาลง
แต่ความจริงในโลกธุรกิจก็เหมือนกับโป๊กเกอร์ตรงที่
ไม่มีไพ่ไหนการันตีชัยชนะได้เลย
แบรนด์ใหญ่หลายเจ้าล้มเพราะคิดว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่าและประมาทแบรนด์เล็กที่มาพร้อมกับความเฉียบคมและไว บางครั้งธุรกิจใหม่ที่ไม่มีทรัพยากรเลย กลับตีตลาดแตกเพราะกล้าคิดต่างกว่า สื่อสารเข้าเป้ามากกว่า และรู้จัก“เล่นตามสถานการณ์” มากกว่าคู่แข่งที่มองโลกผ่านวิธีการคิดแบบเดิม ๆ
คำถามที่สำคัญในวันนี้จึงไม่ใช่แค่ “คุณถือไพ่อะไร” แต่คือ “คุณเล่นไพ่แบบไหน” และ “คุณเข้าใจสถานการณ์บนโต๊ะนี้แค่ไหน”
อย่างไรก็ตาม ประโยคนี้ไม่ควรถูกตีความว่า “ไพ่ไม่ดีก็เล่นได้ทุกมือ” เพราะผู้เล่นระดับโปรย่อมรู้ดีว่า เกมที่ดีที่สุดคือการเลือกเล่นเฉพาะไพ่ที่มีโอกาสสูง — การ “คัดไพ่” หรือ “เลือกสนาม” ที่จะเล่น คือทักษะที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน
ในโลกธุรกิจ เราไม่จำเป็นต้องเล่นทุกเกม ไม่ต้องลงทุกตลาด ไม่ต้องรีบตอบทุกกระแส เราเลือกหมอบไพ่ไม่ดี เพื่อเอาทรัพยากร หรือ เงิน ไปลงในโอกาสที่เหมาะกับไพ่ในมือเรา แล้วลงให้หนัก พูดให้ชัด ไปให้สุด เมื่อจังหวะนั้นมาถึง
สุดท้ายแล้ว การชนะในตลาดไม่ได้ขึ้นกับ
“ไพ่” ที่ถือมาแต่แรก แต่มันขึ้นกับ
“ความเข้าใจในเกม” และ “ศิลปะของการเล่นมันให้ดีที่สุด” เท่าที่มี
3. เล่นเกมกับคน ไม่ใช่แค่เล่นกับไพ่
หลายคนเข้าใจว่าโป๊กเกอร์คือเกมแห่งดวง ที่ใครได้ไพ่ดีกว่าอีกคนก็ชนะ แต่เมื่อคุณเริ่มเล่นลึกขึ้นเรื่อย ๆ คุณจะพบว่าโป๊กเกอร์นั้น ไพ่ดีเป็นแค่ส่วนนิดเดียวเท่านั้น ที่เหลือ มันคือเกมของ "การอ่านคน" ต่างหาก
ผู้เล่นมือโปรไม่ได้ดูแค่ไพ่ในมือตัวเอง แต่เขาดูสีหน้า จังหวะการหายใจ วิธีลงเงิน หรือแม้แต่การนั่งของอีกฝ่าย เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นข้อมูลที่ทำให้เขา “อ่านเกม” ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร รู้สึกมั่นใจหรือกำลังลังเล ถือของดีจริงหรือกำลังบลัฟ
ในโลกธุรกิจ กลยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดจึงไม่ใช่การวางแผนจาก Excel หรือจากสไลด์เท่านั้น แต่คือการ “เข้าใจมนุษย์” ทั้งในฐานะคู่แข่ง ลูกค้า และทีมงานของคุณ คุณต้องอ่านให้ขาดว่า คู่แข่งคนนี้ชอบเสี่ยงหรือรักความปลอดภัย เขากำลังรุกเพราะมั่นใจหรือเพราะกลัวเสียลูกค้า ลูกค้ากลุ่มนี้ตอบสนองกับอะไรเพราะอิน หรือเพราะตามกระแส และทีมงานของคุณทำไปเพราะเชื่อ หรือทำเพราะถูกสั่ง
กลยุทธ์จึงไม่ใช่แค่การทำงานบนกระดาษ และทฤษฎีเป้ะๆ แต่มันคือ “การวางหมากที่มีมนุษย์เป็นผู้เล่นอยู่ข้างใน” เช่น การตั้งราคาสินค้า ไม่ใช่แค่การบวกต้นทุนแล้วเพิ่มมาร์จิ้น แต่คือการอ่านจิตวิทยาของการตีคุณค่าของลูกค้าและมูลค่าที่อยากจ่าย อ่านความยอมรับของตลาด อ่านความคาดหวังในใจที่เขาไม่เคยพูดออกมา
- ในโป๊กเกอร์ มือใหม่จะเล่นกับไพ่ แต่ระดับโปรจะเล่นกับคน
- ในธุรกิจ ผู้จัดการจะเล่นกับแผน แต่ผู้นำตัวจริงจะเล่นกับ "ความคิดและความรู้สึกของคนทุกคนที่มีส่วนอยู่ในเกม"
ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสนามไหน อย่าหลงคิดว่าเกมนี้คือเกมของตรรกะหรือตัวเลขเท่านั้น เพราะสุดท้ายแล้ว ทุกการตัดสินใจของคนซื้อ คนขาย คนลงทุน และคนในทีม — ล้วนขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ ความกลัว ความอยาก หรือความไม่มั่นใจที่มองไม่เห็น
เกมที่คุณชนะจึงไม่ใช่เกมบนกระดาน
แต่คือเกมที่คุณอ่าน “หัวใจ” ของผู้เล่นออกต่างหาก
4. โป๊กเกอร์ไม่ใช่เกมวัดผลลัพธ์แค่ตาต่อตา แต่มันวัดการตัดสินใจที่ดีในระยะยาว
หลายคนมองโป๊กเกอร์ว่าเป็นเกมแห่งโชค คุณได้ไพ่ดี คุณก็ชนะ คุณได้ไพ่แย่ คุณก็แพ้ แต่ความเข้าใจนี้ผิดตั้งแต่ราก เพราะจริง ๆ แล้วโป๊กเกอร์ไม่ได้วัดว่าคุณ “ชนะตานี้” หรือ “แพ้ตานี้” แต่วัดว่าคุณ “ตัดสินใจดีแค่ไหน”
แม้บางครั้งคุณอาจตัดสินใจได้ดีที่สุดเท่าที่สถานการณ์อนุญาต แต่ไพ่กลับไม่เข้าข้างก็ไม่เป็นไร เพราะคุณเล่นได้ “ถูกหลักการ” แล้ว และเมื่อคุณเล่นแบบนี้ซ้ำ ๆ ผลลัพธ์ระยะยาวจะค่อย ๆ เฉลี่ยกลับมาชนะเสมอ
สิ่งนี้คือหลักการที่นักโป๊กเกอร์เรียกว่า
EV หรือ Expected Value
มันคือการประเมินว่า “การตัดสินใจแบบนี้ ถ้าทำซ้ำ 100 ครั้ง จะได้กำไรเฉลี่ยเท่าไหร่” แม้ครั้งนี้จะเสีย แต่ถ้าอีก 70 จาก 100 ครั้งมันได้ — คุณกำลังเล่นอย่างมืออาชีพ
ธุรกิจจริงก็เช่นกัน เราไม่สามารถวัดกลยุทธ์จากแค่แคมเปญเดียว หรือยอดขายเดือนเดียว บางครั้งคุณอาจปล่อยสินค้ารุ่นใหม่แล้วไม่ปัง บางครั้งแคมเปญใหญ่ที่ตั้งใจอาจเงียบเกินคาด แต่นั่นไม่ได้แปลว่า “แผนล้มเหลว”
คำถามจริง ๆ คือ “การตัดสินใจครั้งนั้น สร้างมูลค่าในระยะยาวหรือไม่” คุณได้เรียนรู้อะไร ได้ฐานลูกค้าใหม่ ได้ Perception ใหม่ หรือได้ Insight ที่เอาไปต่อยอดได้หรือไม่ ?
ในโลกการตลาด หลายบริษัทยังเล่นแบบ “มือเดียว” วัดทุกอย่างจาก Conversion วันนี้ ROI วันนี้ ยอดขายวันนี้ แต่แบรนด์ที่ยิ่งใหญ่ รู้ว่า "ไม่ใช่ทุกสิ่งต้องบวกทันที" แต่ต้อง “สร้างโมเมนตัม” ให้ค่อย ๆ บวกอย่างยั่งยืน
ตัวอย่างคือ Red Bull ที่ลงเงินในกีฬาเอ็กซ์ตรีมตั้งแต่ยุคที่ยังไม่มีใครเข้าใจว่ามันจะไปถึงไหน — ไม่มี ROI ชัดในวันนั้น แต่พวกเขาสร้าง “DNA” ของแบรนด์ที่กล้าบ้าบิ่น, ติดใจวัยรุ่น และกลายเป็นคาแรกเตอร์ที่ใครก็เลียนแบบไม่ได้ในอีกหลายสิบปีหลังจากนั้น
สิ่งที่โป๊กเกอร์สอนเราคือ
“อย่าวัดการตัดสินใจจากผลลัพธ์แค่ครั้งเดียว”
และในทางกลับกัน อย่าหลงคิดว่า “ได้ผลดี” แปลว่า “ตัดสินใจดี” เสมอไป เพราะคนที่บลัฟมั่วแล้วชนะ ไม่ได้แปลว่าเขาเก่ง แต่แค่เขา “รอดแบบบังเอิญ” ซึ่งในระยะยาวจะพังแน่นอน
5. รู้จัก “หมอบไพ่ดี” คือสุดยอดแห่งความกล้าและความมีวินัยต่อระบบความคิด
ในสายตาคนนอก โป๊กเกอร์อาจดูเป็นเกมของการเสี่ยงและความดุดัน — ใครกล้าเกทับ ใครกล้าออลอิน ก็ดูเหมือนจะเป็นคนเก่ง แต่ในหมู่มืออาชีพจริง ๆ คุณจะพบว่า “คนที่รู้ว่าเมื่อไหร่ควรหมอบ” ต่างหาก คือคนที่ควบคุมเกมได้ดีที่สุด
เพราะในโป๊กเกอร์ ไม่ใช่ทุกครั้งที่ได้ไพ่ดีจะต้องเล่น และไม่ใช่ทุกครั้งที่ถือไพ่เหนือกว่าจะชนะเสมอไป ไพ่ในมือเป็นเพียงหนึ่งในหลายปัจจัย — สิ่งที่สำคัญกว่าคือบริบท: ตำแหน่งของคุณบนโต๊ะ วิธีเล่นของคู่แข่ง สถานการณ์ของชิป และไพ่กองกลางที่ยังเปิดไม่ครบ
มีหลายครั้งที่มือดีอย่าง AA หรือ KK กลายเป็น “หลุมพราง” ที่ทำให้คนเล่นไม่ยอมถอย ทั้งที่สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว คู่แข่งมีแนวโน้มแซง และต้นทุนในการสู้ต่ออาจเสียมากกว่าที่จะได้คืน ในโลกธุรกิจก็เช่นกัน
- ไม่ใช่ทุกโครงการที่เริ่มมาอย่างดี ต้องไปต่อจนจบ
- ไม่ใช่ทุกแคมเปญที่ลงทุนไปแล้ว จะต้องดันทุรัง
- และไม่ใช่ทุกโอกาสที่ดูน่าตื่นเต้น จะเหมาะกับเราจริง ๆ
คนจำนวนมากตัดสินใจ “ไปต่อ” ไม่ใช่เพราะมันถูก แต่เพราะ “เสียดาย”
- เสียดายเงินที่ลงทุนไปแล้ว
- เสียดายเวลาที่ทุ่มให้ทีม
- เสียดายว่าแบรนด์จะเสียหน้า
- หรือกลัวว่าจะถูกมองว่า “ล้มเหลว”
แต่นี่คือกับดักทางจิตวิทยาที่เรียกว่า Sunk Cost Fallacy การที่คุณลงทุนอะไรไปแล้ว ไม่ได้แปลว่าคุณต้องจ่ายเพิ่มเพื่อปิดจบ เพราะยิ่งคุณไปต่อบนทางที่ผิด คุณยิ่งห่างจากทางที่ถูก
การหมอบ หรือการ “รู้ว่าควรหยุด” จึงไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่มันคือ ความกล้าอันมีวินัย คือการยอมรับว่าบางสถานการณ์เราไม่ได้เปรียบ และการถอยในตอนนี้ อาจทำให้คุณมีชิปพอสำหรับเกมถัดไปที่คุณ “ชนะได้จริง”
ลองดูแบรนด์ที่กล้าปิดไลน์สินค้า ปิดสาขา หรือถอนตัวจากตลาดที่ไม่ใช่ เช่น Apple ที่ยอมยุติโครงการ Apple Car ที่แม้จะน่าตื่นเต้นในวันเปิดตัว แต่ก็ยากต่อการสร้าง Adoption จริงในระยะยาว และ Vision Pro ก็อาจเป็นรายต่อไป
กลยุทธ์จึงไม่ใช่แค่ “การเลือกจะทำอะไร” แต่รวมถึง “การกล้าบอกว่าตรงนี้ไม่ใช่ของเรา”และนั่นคือความกล้าที่หายากที่สุดในยุคที่ทุกคนอยากดูเก่งตลอดเวลา
เพราะสุดท้าย…
เกมนี้ไม่ใช่เกมของคนที่ไม่เคยพลาด
แต่คือเกมของคนที่รู้ว่าเมื่อไหร่ควรหมอบ
เพื่อรอมือถัดไปที่ดีกว่าเดิม
ในท้ายที่สุด โป๊กเกอร์ไม่ใช่เกมของคนใจถึงหรือดวงดี แต่เป็นเกมของคนที่เข้าใจสถานการณ์ คิดเป็นระบบ และกล้าตัดสินใจแม้จะไม่มีคำตอบที่แน่นอน เช่นเดียวกับธุรกิจที่ไม่ให้รางวัลกับคนที่ดีที่สุดเสมอไป แต่ให้โอกาสกับคนที่ “เล่นได้ฉลาด” มากกว่าคนอื่น
ในการแข่งขันไม่สำคัญว่าคุณจะถือไพ่อะไรมา
แต่สำคัญว่า…คุณจะ “เล่นไพ่นั้น” อย่างไร