จะ “จัดสรรเงินลงทุน” ให้ปัง... ต้องไม่ละเลยทำความรู้จัก “สินทรัพย์เพื่อการลงทุน” !!!
Wealthy Thai
อัพเดต 18 ธ.ค. เวลา 02.22 น. • เผยแพร่ 08 ธ.ค. 2565 เวลา 17.01 น. • ดร.ธนัยวงศ์ กีรติวานิชย์Where2put Ur Money: ในการ “จัดสรรเงินลงทุน” (Asset Allocation) ที่เหมาะสมเพื่อกระจายความเสี่ยง และสร้างระดับอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนตามที่คาดหวังไว้ นักลงทุนจำเป็นต้องทำความรู้จักกับ “สินทรัพย์เพื่อการลงทุน” แต่ละประเภทเสียก่อน ซี่งสินทรัพย์เพื่อการลงทุนแต่ละประเภทนั้นย่อมให้อัตราผลตอบแทนที่คาดหวัง และมีความเสี่ยงจากการลงทุนที่แตกต่างกันไป
ทั้งนี้ ได้มีการจัดประเภทของสินทรัพย์เพื่อการลงทุน (Asset Class) ขึ้น โดยสินทรัพย์ที่อยู่ในประเภทเดียวกันควรที่จะมีลักษณะที่เหมือน หรือใกล้เคียงกัน ในขณะที่สินทรัพย์ต่างประเภทกันก็ควรจะมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ ประเภทของสินทรัพย์ซึ่งนักลงทุนสามารถจัดสรรเงินเพื่อนำมาลงทุนสามารถแบ่งออกตามอัตราผลตอบแทน และความเสี่ยงได้ดังนี้
เงินสด และเงินฝากธนาคาร (Cash and Cash at Bank) ที่มีสภาพคล่องสูง ความเสี่ยงต่ำมาก และให้อัตราผลตอบแทนในระดับที่ต่ำ โดยปกติแล้วเงินที่มีในส่วนนี้ ถือว่ามีความจำเป็นที่ต้องดำรงเอาไว้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน รักษาสภาพคล่อง และเผื่อเป็นเงินสำรองไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน ซึ่งนักลงทุนแต่ละรายย่อมมีความต้องการใช้เงินในปริมาณที่แตกต่างกันตามปัจจัยส่วนบุคคลของแต่ละคน
ตราสารในตลาดเงิน (Money Market Instruments) เป็นตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีอายุไถ่ถอน “ไม่เกิน 1 ปี” ถือเป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง ความเสี่ยงจาการลงทุนต่ำ แต่ให้อัตราผลตอบแทนในระดับที่สูงกว่าการฝากเงินกับธนาคาร ได้แก่ ตั๋วเงินคลัง ที่ออกโดยภาครัฐ รวมถึงตราสารทางพาณิชย์ (Commercial Paper) ที่ออกโดยภาคเอกชน ซึ่งได้แก่ ตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน และบัตรเงินฝาก เป็นต้น
“เหมาะกับนักลงทุนกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ นอกจากนี้ ยังเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการพักเงินในช่วงที่สภาวะตลาดการเงินมีความผันผวน เพื่อรอโอกาสที่จะกลับเข้าไปลงทุนใหม่อีกครั้ง”
ตราสารหนี้ (Debt Instruments) เป็นตราสารที่แสดงความเป็นเจ้าหนี้ที่มีอายุไถ่ถอน “มากกว่า 1 ปีขึ้นไป” ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาลที่ออกโดยภาครัฐ และหุ้นกู้ที่ออกโดยภาคเอกชน ซึ่งมีสภาพคล่องปานกลาง แต่ให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอในรูปของดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่าตราสารในตลาดเงิน แม้ว่าจะมีความเสี่ยงอยู่บ้างแต่ก็อยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนัก จึงเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการรายได้ประจำ และสามารถรับความเสี่ยงได้ในระดับปานกลางถึงต่ำ
ตราสารทุน (Equity Instruments) ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม โดย “กลุ่มแรก” เป็นตราสารที่แสดงความเป็นเจ้าของ นักลงทุนจึงมีส่วนได้ส่วนเสีย หรือมีสิทธิในรายได้ และสินทรัพย์ที่มีอยู่ตามสัดส่วนของเงินที่ได้ลงทุนไป ซึ่งได้แก่ หุ้นบุริมสิทธิ หุ้นสามัญ และหน่วยลงทุนของกองทุนรวม
ในขณะที่ “กลุ่มที่สอง” เป็นตราสารสิทธิที่เชื่อมโยงกับหุ้นสามัญ ซึ่งได้แก่ ใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้นสามัญ (Warrant) ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (Derivative Warrant) ใบสำคัญแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิง (Depository Receipt) และใบสำคัญแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทย (Non-voting Depository Receipt) เป็นต้น
“ทั้งนี้ ตราสารทุนถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง และให้อัตราผลตอบแทนในระดับสูง แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน จึงเหมาะสำหรับนักลงทุนเชิงรุกที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูง และต้องการให้มูลค่าเงินลงทุนของตนเติบโตเพิ่มขึ้น”
ตราสารอนุพันธ์ (Derivatives) เป็นตราสารที่มูลค่า และผลตอบแทนขึ้นอยู่กับสิ่งอื่นที่ เรียกว่า “สินทรัพย์อ้างอิง” (Underlying Asset)โดยแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่เป็น “พันธะผูกพัน” หรือ “สัญญาซื้อขายล่วงหน้า” ซึ่งได้แก่ Forward, Futures และ Swap ส่วนกลุ่มที่สองเป็น “ตราสารสิทธิ” ที่เรียกว่า Options โดยจะมีความเสี่ยง หรือความผันผวนที่สูงกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ ที่ได้กล่าวถึงข้างต้น จึงให้ผลตอบแทนในอัตราที่สูงกว่า และเหมาะสมกับนักลงทุนที่ชอบการเก็งกำไร และสามารถรับความเสี่ยงได้สูงมากๆ นั่นเอง
“แน่นอนว่า อัตราผลตอบแทนที่คาดหวัง และความเสี่ยงของของสินทรัพย์ต่างประเภทกันย่อมที่จะแตกต่างกันอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาในเชิงลึกจะพบว่า สินทรัพย์ประเภทเดียวกัน เช่น หุ้นสามัญของบริษัท A และหุ้นสามัญของบริษัท Bแม้ว่าจะเป็นตราสารทุนเหมือนกัน แต่อาจให้อัตราผลตอบแทนที่คาดหวัง และมีความเสี่ยงที่แตกต่างกันได้ด้วย”
ดังนั้น นักลงทุนจึงควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์เพื่อการลงทุนแต่ละประเภทให้เข้าใจเป็นอย่างดีเสียก่อนที่จะเริ่มต้น “จัดสรรเงินทุน” เพื่อกระจายความเสี่ยง และสร้างระดับอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนตามที่คาดหวังได้อย่างมีประสิทธิภาพ