โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

หุ้น การลงทุน

เออร์โก บริษัทในเครือ Munich Re ท้าชิงประกันเบอร์ 5 รุกคืบแผน M&A

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 19 ก.ค. 2567 เวลา 08.27 น. • เผยแพร่ 20 ก.ค. 2567 เวลา 03.00 น.

เออร์โก บริษัทในเครือ Munich Re ท้าชิงประกันเบอร์ 5 รุกคืบแผน M&A

วันที่ 20 กรกฎาคม 2567 เออร์โก กรุ๊ป (ERGO) กลุ่มธุรกิจประกันภัยขนาดใหญ่ระดับแนวหน้าของประเทศเยอรมัน ดำเนินธุรกิจในตลาดยุโรปและเอเชียกว่า 25 ประเทศ เป็นบริษัทในเครือ มิวนิก รี (Munich Re) กลุ่มธุรกิจผู้รับประกันภัยต่อและรับประกันความเสี่ยงชั้นนำของโลก ที่ปัจจุบันเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เออร์โก กรุ๊ป ในสัดส่วน 75%

โดยช่วงที่ผ่านมา ERGO ได้เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย ผ่านการร่วมทุนกับบริษัทไทยศรีประกันภัย ของกลุ่มตระกูล “พานิชชีวะ” จนกระทั่งในปี 2566 ทาง ERGO ได้ปิดดีลควบรวมกิจการกับ บริษัท นำสินประกันภัย จำกัด (มหาชน) และประมาณในเดือน มี.ค. 2566 ได้ใช้เงินสดกว่า 3,000 ล้านบาท ตั้งโต๊ะรับซื้อหุ้น NSI และเพิกถอนหุ้นออกจากตลาดหุ้นไทย

และได้เปิดดำเนินงานให้บริการลูกค้าภายใต้ตราสัญลักษณ์ ERGO อย่างเป็นทางการ ภายใต้ชื่อ บริษัท เออร์โกประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 2566 เป็นต้นมา

เออร์โก ควบรวมขึ้นเบอร์ 8

ล่าสุด “ดร.ทิลล์ โบห์เมอร์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เออร์โกประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) นัดสื่อมวลชนสัมภาษณ์พิเศษในวาระครบรอบ 1 ปีของบริษัท โดยเล่าว่า เออร์โกประกันภัย ได้เริ่มต้นเข้าสู่ตลาดประกันภัยของประเทศไทยจากการเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ใน บริษัท ไทยศรีประกันภัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีรายได้เป็นอันดับที่ 30 ของตลาดประกันภัยในขณะนั้น

ต่อมาในปี 2566 ได้รับโอนกิจการทั้งหมดจาก บมจ.นำสินประกันภัย ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดธุรกิจประกันภัย ที่จะช่วยให้ เออร์โกประกันภัย เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง และได้เปลี่ยนชื่อใหม่อย่างเป็นทางการว่า “เออร์โกประกันภัย” พร้อมด้วยตราสัญลักษณ์ “ERGO” เมื่อเดือน มิ.ย. 2566

และก้าวขึ้นสู่การเป็นบริษัทประกันวินาศภัย ที่มีรายได้สูงเป็นอันดับที่ 8 ของตลาดประกันวินาศภัยในประเทศไทย โดยปิดสิ้นปี 2566 บริษัทมีกำไรสุทธิ 461 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 402.9% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 10,425 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 91.82%

โดยมีสัดส่วนการรับประกันภัย แบ่งเป็นการประกันภัยรถยนต์ 66.99% และการประกันภัยที่ไม่ใช่รถ 33.01% ส่วนนี้แยกออกเป็น 1. ประกันภัยเบ็ดเตล็ด 19.28% 2. ประกันภัยทรัพย์สิน 9.80% 3. ประกันภัยวิศวกรรม 2.15% 4. ประกันภัยทางทะเลและการขนส่ง 1.76% และ 5. อื่น ๆ อีก 0.03%

ขยายสาขา-เป้าเบี้ย 1.2 หมื่นล้าน

โดยปีที่แล้วบริษัทมีสาขาอยู่ทั้งหมด 44 สาขา 8 สำนักงานตัวแทน โดยได้ขยายสาขาสำหรับขายกรมธรรม์ประกันภัยบนห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้าชั้นนำทั่วกรุงเทพมากขึ้น และในปี 2567 มีแผนจะเปิดสาขาให้ได้มากกว่า 100 สาขา ครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาคในประเทศ เบื้องต้นคาดใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท

สำหรับเป้าหมายเบี้ยประกันภัยรับรวม คาดว่าจะแตะระดับ 12,000 ล้านบาท เติบโต 15.2% YOY โดยจะมาจากการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรถยนต์เป็นหลัก โดยเฉพาะในส่วนประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ.) โดยมุ่งเน้นเจาะลูกค้าในพื้นที่ต่างจังหวัดมากขึ้น

ซึ่งจะมีการแผนพัฒนาการให้บริการในทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานด้านการรับแจ้งอุบัติเหตุที่พร้อมขยายการให้บริการด้วยการกระจายพนักงานเคลมให้ถึงที่เกิดเหตุโดยเร็วที่สุด รวมถึงจัดอบรมพนักงานศูนย์รับแจ้งเหตุเพื่อพัฒนาทักษะในการสนทนา โดยเฉพาะกับลูกค้าคู่สนทนาที่อยู่ในสถานที่เกิดเหตุและกำลังต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

นอกจากนี้เบี้ยส่วนอื่น ๆ คาดว่าจะมาจากทั้งประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล และประกันภัยภาคธุรกิจ

“การเจาะประกัน พ.ร.บ. ค่าเบี้ยไม่แพง และฐานลูกค้ากว้าง ดังนั้นมองว่าจะสามารถสร้างกำไรให้บริษัทได้ดี”

ครอบคลุมพอร์ตรถหรู-บรรทุก-อีโคคาร์

ดร.ทิลล์ กล่าวอีกว่า พอร์ตประกันรถยนต์ของบริษัทถือว่าสัดส่วนการรับประกันที่มีความเหมาะสมมาก โดยงานรับประกันของบริษัทนำสินประกันภัยก่อนหน้านี้ มีพอร์ตใหญ่รถบรรทุก และประกัน พ.ร.บ. รวมทั้งมีจุดแข็งด้านการบริการเคลมสินไหม

ในส่วนของงานบริษัทไทยศรีประกันภัย ที่รับประกันพอร์ตใหญ่เป็นรถหรู และได้พอร์ตงานประกันรถยนต์อีโคคาร์จากบริษัทสินมั่นคงประกันภัย รวมทั้งได้พนักงานอีก 800 ราย เข้ามาเสริมกำลังในการขับเคลื่อนธุรกิจ จนทำให้บริษัทมีพนักงานทั้งหมด 1,700 ราย

ท้าชิงประกันเบอร์ 5 รุกคืบแผน M&A

ดร.ทิลล์ โบห์เมอร์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้บริษัทยังมีเป้าหมายต่อไปคือ การก้าวขึ้นสู่บริษัทที่มีเบี้ยประกันภัยรับรวมสูงสุดเป็นอันดับ 5 ของประเทศ ซึ่งอาจจะยังไม่มีไทม์ไลน์ที่ชัดเจน โดยคาดว่าการเติบโตจากภายใน (Organic Growth) ประมาณ 10% ต่อปี ทั้งนี้ทั้งนั้นจะต้องประเมินสถานการณ์ปีต่อปี หากเกิดสถานการณ์ต่าง ๆ ขึ้น

ขณะเดียวกันหากเห็นโอกาสในการทำ M&A กับบริษัทประกันวินาศภัยรายอื่น ที่ดูเข้ากับบริษัทได้ในทุกด้าน ๆ และเป็นจังหวะที่เหมาะสม ก็จะเข้ามาเป็นหนึ่งในการพิจารณาเพื่อทำให้บริษัทไปสู่เป้าหมายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : เออร์โก บริษัทในเครือ Munich Re ท้าชิงประกันเบอร์ 5 รุกคืบแผน M&A

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...