John & Robert ฆาตกรเด็กที่โลกไม่อาจลืม
.
คุณคิดว่าคนเราสามารถฆ่าคนครั้งแรกได้ตอนอายุเท่าไร?
เชื่อว่าคำตอบของใครหลายคนย่อมไม่เหมือนกัน และ ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถกระทำความชั่วร้ายโดยไตร่ตรองได้ แต่ต่อจากนี้คือเรื่องราวของเด็กวัย 10 ปีสองคนที่กระหายความดำมืดและโกรธแค้นชีวิตมากพอจนจิตใต้สำนึกต้องการแสดงออกอะไรบางอย่าง นำมาสู่การฆาตกรรมเด็กน้อยวัย 2 ขวบอย่างโหดร้าย
.
คดีนี้เกิดขึ้นที่ประเทศอังกฤษ ย้อนกลับไปในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1993 หนูน้อยเจมส์ บัลเกอร์ วัย 2 ขวบ ได้หายตัวไปจากห้างสรรพสินค้าบูทเทิล สแตนด์ ในขณะที่ออกมาซื้อของกับคุณแม่ตามปกติ เป็นเวลาเพียงครู่เดียวเท่านั้นที่เจมส์คลาดสายตากับคุณแม่ นางเดนิส บัลเกอร์ ผู้เป็นแม่ร้อนใจมาก เธอออกตามหาลูกชายไปทั่วทั้งห้างแต่ก็ไม่พบ สุดท้ายเธอรีบแจ้งสำนักงานรักษาความปลอดภัยของห้างและตัดสินใจแจ้งตำรวจในทันที ในเมื่อพวกเขาหาคนไม่พบ พวกเขาก็ต้องพึ่งพาวิดิโอรักษาความปลอดภัยภายในห้างเพื่อเบาะแสเท่านั้น ซึ่งหลังจากการตรวจสอบวิดีโอรักษาความปลอดภัย ทุกคนก็ต้องตกตะลึงเมื่อวิดีโอแสดงภาพเด็กชายวัย 10 ปีจำนวน 2 คน เข้ามาหาหนูน้อยเจมส์อย่างเริงร่าแล้วจูงเขาออกไป
พยานผู้พบเห็นเด็กชายทั้ง 3 มีมากถึง 38 คน
บางคนเห็นเด็กทั้ง 3 เดินจูงมือกันไปราวกับเป็นพี่น้องที่สนิทกัน
บางคนเห็นหนูน้อยเจมส์ถูกเด็กชายทั้งสองคนทำร้ายร่างกายเพื่อบังคับให้เขาเดิน
แต่หลายคนปล่อยผ่านไปเพราะคิดว่าเป็น "การเล่นกัน" ของเด็กๆ
.
โชคร้ายที่คำภาวนาของแม่ไม่เป็นผล ท่ามกลางฝันร้ายของครอบครัวและการทำงานภายใต้แรงกดดันของตำรวจ 2 วันหลังจากที่เจมส์หายตัวไป ศพของเด็กน้อยถูกพบที่รางรถไฟในสภาพโหดร้ายเกินทน ร่างกายเจมส์แยกออกจากกัน นอกจากนั้นการชันสูตรศพของหน่วยงานตำรวจยังบ่งบอกได้ว่าก่อนเสียชีวิต เขาถูกทารุณอย่างรุนแรงที่ศรีษะและลำคอ มีร่องรอยการถูกล่วงละเมิดทางเพศ
ข้อถกเถียงในสังคมเกิดขึ้นทันทีว่าเป็นฝีมือของเด็ก 10 ปีจริงๆ หรือไม่
พวกเขากำลังเข้าใจอะไรผิดอยู่หรือเปล่า และเกิดอะไรขึ้นกับหนูน้อยเจมส์กันแน่?
.
จากหลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุและหลักฐานที่อยู่จากโรงเรียนทำให้ จอห์น เวนาเบิลส์ และ โรเบิร์ต ธอมป์สัน ถูกจับกุมในข้อหาลักพาตัวและฆาตกรรม สังคมส่วนหนึ่งคาดหวังให้คำได้รับการลงโทษด้วยไวเพื่อเป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่น แต่ตำรวจก็ยังคงต้องทำงานของตัวเองให้ดีที่สุด นั่นก็คือสอบสวนและทำให้พวกเขาสารภาพความผิดของตัวเองให้ได้ และด้วยเหตุนั้นทำให้สาเหตุการฆ่าเบื้องหลังฆาตกรรมที่สะเทือนขวัญเกาะอังกฤษที่สุดถูกเปิดเผย
ไม่ใช่แค่ร่องรอยการทารุณจะเน้นไปที่การทำร้ายร่างกายอย่างเดียว จากคำให้การของจอห์นและโรเบิร์ต พวกเขาเล่นกับอลันด้วยความรุนแรงก่อน เหมือนผู้ล่าที่กำลังเล่นกับสัตว์ที่เป็นเหยื่อ เขาบังคับให้เจมส์เดินไกลถึง 2 ชั่วโมงมายังบริเวณรางรถไฟที่กำลังกลายเป็นสุสานของตัวเอง จากนั้นพวกเขาทั้งพ่นสเปรย์ใส่ตา เล่นเกมปาเป้าด้วยก้อนหิน ก่อนจะถลำลึกไปสู่การใช้ก้อนอิฐทุบตีร่างกายและอีกมากมาย ตลอดการสอบสวน จอห์นและโรเบิร์ตโทษกันไปกันมา พวกเขาต่างอ้างว่าเป็นพยานหรือโดนยุยง
มีเพียงสิ่งเดียวที่ทั้งคู่ตอบตรงกันนั้นคือสาเหตุของการกระทำอันโหดร้ายในครั้งนี้เกิดขึ้นเพียงเพราะ.. พวกเขาต้องการมัน
.
อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เด็กชายทั้งสองกลายร่างเป็นฆาตกรใจโหด?
ถ้าเป็นข้อสอบก็กาได้ไม่ยาก คุณคิดว่าทำไมเด็กชาย 2 คนนี้ถึงมีเวลาตัวติดกันตลอดเวลาและมีเวลามากมายในการคิดทดลองเรื่องเลวร้าย โดยขาดคนใกล้ชิดคอยชี้แนะแนวทาง นั่นเป็นเพราะว่าครอบครัวของทั้งคู่มีปัญหา ประวัติสมาชิกคนในครอบครัวของทั้งสองมีการใช้ความรุนแรงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ตามมาสู่การหย่าร้างและการไม่มีคนรับผิดชอบในตัวเด็กอย่างชัดเจน นอกจากสถาบันครอบครัวที่พังครืนแล้ว ทั้งจอห์นและโรเบิร์ตต่างเป็นเด็กที่โดนระบบการศึกษาและโรงเรียนตีค่าว่าเป็น "เด็กที่มีความล่าช้าในการเรียนรู้" การโดนแปะป้ายจากผู้อื่นทำให้เขาโดนปฏิเสธที่จะได้รับการยอมรับจากคุณครูและสังคมเพื่อนของตัวเอง โลกกว้างแค่ไหนก็ไม่มีที่ยืน
.
พวกเขาล้วนไม่เคยเป็นที่รักและไม่เคยเป็นที่ต้องการ แม้จะจากพ่อแม่ ครู หรือแม้กระทั่งเพื่อน
ในวงกลมอันปลอดภัยและสนุกสนานของพวกเขามีแค่กันและกัน วันแต่วันมีแต่มิชชั่นเพื่อหาความสนุกเท่านั้น
เขาโดนหล่อหลอมทั้งจากสังคมและกันและกัน จนบิดเบี้ยว ไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าสามัญสำนึก
เขารู้ว่าสิ่งที่ทำมันผิด แต่ไม่่มีใครเคยสอนว่าทำไมมันถึงผิด และไม่เคยถูกสอนให้คิดถึงผลลัพธ์การกระทำว่ามันจะเลวร้ายแค่ไหน
.
มิชชั่นอะไร? พวกเขาชอบทำมิชชั่นอะไรบางอย่างเป็นเป้าหมายร่วมกัน มีการละเล่นเป็นแบบแผนของตัวเองที่แตกต่างจากเด็กทั่วไป เด็กวัย 10 ขวบอาจจะเป็นวัยที่เรียนรู้ทักษะด้านภาษาและทักษะการเล่นดนตรีได้ดี แต่สำหรับจอห์นและโรเบิร์ต พวกเขาสวมบทบาทเด็กเร่ร่อนที่เข้าไปปีนป่ายเก้าอี้ทุกตัวในร้านอาหารให้คนอื่นรำคาญเล่น หรือไม่ก็แอบสั่งให้กันและกันไปขโมยของในร้านค้า แต่ไม่เคยอยากได้สินค้าอย่างแท้จริง หากขโมยสำเร็จ หลังจากยินดีร่วมกันที่เอาชนะมิชชั่นได้ พวกเขาก็มักจะโยนของเหล่านั้นทิ้งไปอย่างไม่ใยดี จนกระทั่งมิชชั่นของพวกเขาขยายขอบเขตขึ้น น่ากลัวขึ้น จนล้ำเส้นไปสู่การพยายามลักพาตัวเด็ก
ถ้าถามว่านี่คือครั้งแรกในการฆ่าหรอ..
ใช่ แต่ในแง่หนึ่งพวกเขาได้พยายามเล่นเกมลักพาตัวเด็กอยู่หลายครั้ง ก่อนจะมาสำเร็จที่หนูเจมส์ผู้โชคร้าย
.
ด้วยความรุนแรงและโหดร้ายของคดี จอห์นและโรเบิร์ตจึงถูกคาดโทษเท่าเทียมกับผู้ใหญ่ โดยศาลสั่งจำคุกพวกเขาในสถานที่พิเศษเพื่อดูแลจนกว่าจะอายุครบ 18 ปี และนำเขาเข้าสู่เรือนจำเพื่อรับโทษจำคุกตลอดชีวิต คดีนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในสังคมและนานาชาติ ฝ่ายหนึ่งต้องการเพิ่มโทษให้ฆาตกรเด็กทั้งสอง แต่อีกฝ่ายต้องการมอบความยุติธรรมให้เขาในฐานะเยาวชน เชื่อว่าพวกเขาไม่เคยได้รับการชี้ทางอย่างถูกต้องในฐานะมนุษย์ ในที่สุดพวกเขาก็ได้รับการปล่อยตัวในปี 1999
.
หลังจากเรื่องราวทั้งหมดผ่านไป ทั้งจอห์นและโรเบิร์ตต่างเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนสูจิบัตร และทำหนังสือเดินทางใหม่ ก่อนจะย้ายบ้านไปเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง สำหรับโรเบิร์ต เขาสามารถปรับตัวได้ดีกลายเป็นคนใหม่ ไปเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยจนจบปริญญาด้านการออกแบบพัตราภรณ์ แต่กับจอห์นทุกอย่างกลับตรงกันข้าม เขายังคงจมอยู่กับความทรงจำและเรื่องราวเลวร้ายด้วยความปวดร้าว เขาเป็นโรคนอนไม่หลับเนื่องจากคิดถึงการกระทำของตัวเองที่ทารุณหนูน้อยเจมส์อยู่ตลอด แม้จะเป็นระดับจิตใต้สำนึก ในที่สุดจอห์นก็ถูกส่งตัวเพื่อเข้ารับการบำบัดอีกครั้ง
.
จนถึงวันนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าระหว่าง จอห์น และ โรเบิร์ต ใครเป็นคนต้นคิดเกมทรมานอันน่ากลัวเป็นคนแรก ทั้งหมดจะเป็นเพียงการกระทำชั่ววูบ หรือเป็นปีศาจเลวบริสุทธิ์ในคราบเด็กน้อย แต่สิ่งที่รู้แน่ๆ คือการที่เด็กคนหนึ่งจะกลายเป็นฆาตกรได้นั้นประกอบด้วยปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความผิดปกติที่มีมาตั้งแต่เกิด ความรุนแรงในครอบครัวและการขาดความรัก ไปจนถึงความละเลยของสังคมที่มีต่อการหล่อหลอมพฤติกรรมของเด็กทั้งสอง ไม่ว่าเรื่องราวที่แท้จริงจะเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่เราคิดตรงกันได้คือ..
มนุษย์จะเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น จะเป็นเทวดาก็ได้ จะเป็นปีศาจซาตานก็ได้ อยู่ที่หัวใจของเขาเรียนรู้อะไร
ครอบครัว โรงเรียน สังคมรอบข้าง โครงสร้างที่ดีสามารถทำให้เด็กคนหนึ่งเห็นหัวใจของคนรอบข้างและมอบความอบอุ่นได้อย่างไม่น่าเชื่อ ส่วนโครงสร้างสังคมอันล้มเหลวก็ช่างบ่มเพาะสิ่งที่น่ากลัวขึ้นมาเหลือเกิน ชะตากรรมอันแสนเศร้าของเจมส์ไม่ควรจะต้องเกิดขึ้นมาอีกครั้งบนโลกใบนี้
เรื่องนี้มันชวนคิดจริงๆว่าผู้ใหญ่เห็นเด็กทำผิดก็ไม่ใช่ว่าตัวเองจะไม่มีส่วนผิดไปด้วย ถ้าเรายังเมินเฉยเวลาที่เห็นคนรังแกกัน คนทำร้ายกัน คนฉกฉวยผลประโยชน์จากกัน และเชื่อถือในการใช้ความรุนแรงเพื่อจบปัญหาต่างๆ เรานั่นแหละที่อาจต้องถามตัวเองว่ากำลังเป็นส่วนหนึ่งในระบบโครงสร้างสังคมที่ล้มเหลวหรือเปล่า สุดท้ายตัวเราจะกล้าพูดได้แค่ไหนว่าปีศาจตัวต่อไปที่สังคมสร้างมา เราไม่ได้มีส่วนร่วมในการปลูกปั้นมันมาเลยแม้แต่น้อย..
.
ติดตามบทความของเพจพื้นที่ให้เล่า ได้บน LINE TODAY ทุกวันเสาร์
.
อ้างอิง
ความเห็น 44
BEST
พื้นฐานของคนเราที่จะดีหรือว่าไม่นั้น บางครั้งก็ขึ้นอยู่ที่ครอบครัวที่เป็นหลักสำคัญด้วยเหมือนกัน.
11 เม.ย. 2563 เวลา 06.32 น.
jakrawan.s
BEST
พ่อ แม่ ครอบครัวที่ไม่มีความพร้อม ควรจับทำหมันให้หมด
11 เม.ย. 2563 เวลา 08.28 น.
Gigi
BEST
พ่อแม่ขี้เหล้าเมายา ลูกโตมามีหน้าที่การงานดี มีชีวิตที่ดีก็มีเยอะไป
ส่วนตัวเชื่อว่าสภาพแวดล้อม 30% ตัวเอง 70%
11 เม.ย. 2563 เวลา 08.18 น.
ครอบครัวสำคัญที่สุด
11 เม.ย. 2563 เวลา 08.16 น.
TOMMY T. NAKNAKORN
อยากให้มันเห็นคุณค่าของชีวิต จับมันมาทำนาที่เมืองไทย ตั้งแต่คราดไถ หว่าน ดำ ปัก เกี่ยว ฟาด ทุกขั้นตอน Handmade only มีแค่คน & ควาย 🐃 โอเค! ในบริบทนี้คือให้ "เห็นคุณค่าชีวิต" ชาวนาอาจอยู่กับคุณค่านี้จนเบื่อ แต่เอาเข้าจริงชีวิตที่้เค้าเบื่อ มันอยู่ได้โดยไม่ต้องใช้เงิน ทำเองกับมือ ช่วยเหลือแบ่งปัน และรอดูวันแห่งความสำเร็จ ถ้ามีคนแนะนำแนวทางที่ดี ขั้นตอนการทำนาปลูกข้าวนี้ สอนอะไรในชีวิตได้มากมาย น่าเศร้าที่ตอนนั้น Robert & John ไม่มี
11 เม.ย. 2563 เวลา 06.00 น.
ดูทั้งหมด