โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

เรื่องสั้น

ปราการเทวะหวนคืน

นิยาย Dek-D

อัพเดต 26 พ.ค. เวลา 08.54 น. • เผยแพร่ 26 พ.ค. เวลา 08.54 น. • Phangki
ปราการเทวะหวนคืน
การลืมตาตื่นของข้า มันช่างยาวนานจนข้าไม่อาจจดจำตนเองได้

ข้อมูลเบื้องต้น

การตื่นขึ้นพร้อมการกลับมา สิ่งที่แท้จริงล้วนคือมายา 'ฉีหลินจวิ้นเต๋อ' โอรสองค์ที่สิบเจ็ดของจักรพรรดิ ฉีหลินหวิ๋นจวี๋ แห่งราชวงศ์ฉีหลิน จักรวรรดิกิเลนสวรรค์
ขบขขบ
การถูกส่งไปเป็นบรรณาการณ์ให้กับตำหนักพยากรณ์คนผู้นั้นต้องรักษาซึ่งพรหมจรรย์ ทิ้งฐานะเดิม ต่อเติมในฐานะท่านชายศักดิ์สิทธิ์ โอรสของกบฎที่ไม่เป็นที่โปรดปราน แต่การตัดสินใจที่ผิดพลาดทำให้ท่านชายศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้หลับไหลตลอดกาล
#พระเอกต้องรักษาความบริสุทธิ์ถือครองพรหมจรรย์ มีความวาย…………วอด..
อัพเดทระดับพลัง
ระดับสวรรค์
ระดับราชาสวรรค์
ระดับจักรพรรดิสวรรค์
ระดับผู้นิราศ
ระดับมหานิราศ
ระดับผู้ผ่านฟ้า
ระดับผู้ผ่านพิภพ
1. ดินแดนเก้าราชันอสูร
2.ดินแดนอสูรคาบสมุทร
3.ดินแดนทมิฬ
4.ดินแดนเหนืออสูร
5.ดินแดนดอกท้อ
6.ดินแดนทะเลทรายอสูร
* ดินแดนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า
ชั้นที่ 1. ดินแดนพรต…..มีทั้งมนุษย์ เทพเเละเซียนอาศัยอยู่รวมกัน เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ที่สุดในเก้าดินแดน มีเขตป่าเขาใหญ่โต มีอสูรสวรรค์ และอสูรวิญญาณมากมายติดต่อกับดินแดนเทพบิดร
ชั้นที่ 2. ดินแดนขุนเขาสวรรค์ …. มีเหล่าเซียนและเทพชั้นต้นอยู่รวมกันมากมาย มีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูง มีสำนักเทพเซียนมากมาย
ชั้นที่ 3,4 ป่าหมื่นสวรรค์ เป็นดินแดนที่มีเฉพาะอสูรสวรรค์ อสูรวิญญาณระดับสูง มีสมุนไพรระดับสวรรค์ ระดับเหนือสวรรค์ เป็นเสมือนขุมทรัพย์ของดินแดนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า แต่ที่นี้ก็เป็นดิรแดนที่อันตรายที่สุดเช่นกันแม้เเต่มหาเทพยังไม่อาจสุขสบายได้
ชั้นที่ 5 ,6,7 แดนสวรรค์ ประตูแดนสวรรค์จะอยู่ที่ชั้น 5 เป็นเส้นทางที่ใช้เดินทางเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ มีตระกูลเทพสวรรค์ชั้นกลาง ชั้นสูงอยู่มากมาย
ชั้นที่.8 แดนประหารเทพ…….เป็นดินแดนที่เทพชั้นสูงใช้ผ่านเคราะห์กรรม เป็นดินแดนปิดที่ไม่อาจเข้าออกได้อย่างสะดวกไม่เคยมีใครเข้าไป นานครั้งดินแดนจะรับเลือกเทพชั้นสูงเข้าทดสอบซึ่งหากผ่านเคราะห์กรรมจากดินแดนนี้ได้ เทพชั้นสูงผู้นั้นจะกลายเป็นมหาเทพ ซึ่งในขั้นมหาเทพทั่วทั้งแดนสวรรค์มีไม่ถึงหนึ่งพัน
ชั้นที่9 ขุนเขามหาเทพ,แดนสุขาวดี เป็นที่อยู่ของเหล่ามหาเทพ และที่อยู่ของมหาเซียน และเเบ่งออกเป็นสองดินแดน
ผู้หลอมโอสถผู้หลอมโอสถขั้นต้น(ต่ำ กลาง สูง)ผู้หลอมโอสถปรามาจารย์(โอสถระดับจิต โอสถระดับพิภพ)ผู้หลอมโอสถระดับเทพโอสถ(โอสถระดับสวรรค์)ผู้หลอมโอสถระดับมหาเทพโอสถ(โอสถระดับสวรรค์ขั้นสูง ,โอสถระดับเหนือสวรรค์)ผู้หลอมโอสถระดับเทวะ(เทวะโอสถ)(ใช้สมุนไพรระดับตำนาน)ค่าเหรียญปราณเหรียญปราณระดับพิภพ (ใช้แก่ปราณระดับภิภพหลอมขึ้น จะกี่แก่นปราณขึ้นอยู่กับระดับของแก่นปราณ)เหรียญปราณระดับสวรรค์(=10เหรียญปราณพิภพ)(แก่นปราณระดับสวรรค์ ,ราชาสวรรค์ขั้นต่ำ)เหรียญปราณระดับเหนือสวรรค์ (=10เหรียญปราณระดับสวรรค์)(ราชาสวรรค์ขั้นกลาง-สูง,จักรพรรดิสวรรค์ขั้นต่ำ-กลาง)ในส่วนที่เหนือกว่านั้นไม่นิยมนำมาหลอม เพราะส่วนมากจะใช้ทำยุทธภัณฑ์สวรรค์ (จักรพรรดิสวรรค์ขั้นสูง)เหนือสวรรค์(แก่นอสูรวิญญาณ)มากกว่าระดับอสูรวิญญาณ(ไม่สามารเข้าสู่ระดับเทพอสูร)
สีขาว(ระดับนิราศ)
สีแดง(มหานิราศ)
สีม่วง(ผู้ผ่านฟ้า)
สีดำ(ผู้ผ่านพิภพ)
ระดับอสูรสวรรค์ก็เท่ากัน…
อัพเดท ระดับ….
ผู้นิราศ 1-9 (เทพอสูร )(เทพ )(เซียน)(เทพมาร)มหานิราศ 1-9 (มหาเทพอสูร)(มหาเทพ)(มหาเซียน)(มหาเทพมาร)ผู้ผ่านฟ้า 1-9 (มหาเทพอสูร)(มหาเทพ)(มหาเซียน)(มหาเทพมาร)ผู้ผ่านพิภพ 1-9 (มหาเทพอสูร)(มหาเทพ)(มหาเซียน)(มหาเทพมาร)ผู้ผ่านเทวะ 1-9 (มหาเทพอสูรเทวะ)(มหาเทพเทวะ)(มหาเซียนเทวะ)(มหาเทพมารเทวะ)ระดับตัวละคร ปัจจุบัน (อัพเดท)
หลางเทียนยี่ (มหาเทพแห่งวสันตฤดู)ระดับผู้ผ่านพิภพขั้น 7(มหาเทพเเท้จริง)อายุ สามแสนปี
หวงปิงปิง (มหาเทพีแห่งชะตากรรม) ระดับผู้ผ่านพิภพขั้น7(มหาเทพีแท้จริง)อายุ สี่แสนปี่
หงหลี่ (มหาเทพโอสถ) ระดับผู้ผ่านฟ้าขั้น5 (มหาเทพขั้นกลาง)อายุ หนึ่งแสนสี่หมื่นปี
ฉีหลินจวิ้นเต๋อ(มหาเทพอสูรกิเลนเพลิงสวรรค์,มหาเทพเเห่งการพยากรณ์,มหาเทพแห่งการผลิผล) ระดับผู้ผ่านฟ้าขั้น 6 อายุ 7800ปี (ตะบะ 160000ปี)
อิงอู่ (อสูรสวรรค์ยุคแรกเริ่ม)กวางสิบสองดารา (ระดับและตะบะเทียบเท่าผู้ทำสัญญา)
หยี่ซี(อสูรสวรรค์)ผี้เสื้อปีกมรกต (ระดับและตะบะเทียบเท่าผู้ทำสัญญา )
ฮวงยี่ (เทพอสูรแท้จริง) ระดับผู้นิราศขั้น9 อายุ 3000ปี (ตะบะ 120000ปี)
ฮวงเอ้อร์ (เทพอสูรแท้จริง) ระดับผู้นิราศขั้น9 อายุ 3000ปี (ตะบะ 120000ปี)
ฮวงซาน(เทพอสูรแท้จริง )ระดับผู้นิราศขั้น9 อายุ 3000 ปี(ตะบะ 120000ปี)
ฮวงซือ (เทพอสูรแท้จริง) ระดับผู้นิราศขั้น9 อายุ 3000ปี (ตะบะ 120000ปี)
ฮวงอู่ (เทพอสูรแท้จริง ) ระดับผู้นิราศขั้น9 อายุ 3000ปี (ตะบะ120000ปี)
ฮวงลิ่ว (เทพอสูรแท้จริง ) ระดับผู้นิราศขั้น9 อายุ3000ปี (ตะบะ 120000ปี)ฮวงซี (เทพอสูรแท้จริง ) ระดับผู้นิราศขั้น 9 อายุ3000ปี (ตะบะ 120000ปี )ไป๋เมิ้ง (มหาเทพอสูรแท้จริง ) ระดับมหานิราศขั้น3 อายุ 25000ปี (ตะบะ 130000ปี)หย่าหลิง(กิเลนเพลิง)(เทพอสูรสายเลือดบริสุทธิ์) ระดับผู้นิราศขั้น 4 อายุ 23000ปี (ตะบะ 98000ปี)หย่าหลิน(กิเลนหนองน้ำ)(เทพอสูรสายเลือดบริสุทธิ์) ระดับผู้นิราศขั้น5 อายุ 24000ปี (ตะบะ 100000ปี)หย่าเจีย(กิเลนเพลิง)(เทพอสูรสายเลือดบริสุทธิ์) ระดับผู้นิราศขั้น 2 อายุ 6000ปี (ตะบะ 50000ปี)**พันธะสัญญาอ้าวป้ายหย่าเจียง(กิเลนเพลิง)(เทพอสูรสายเลือดบริสุทธิ์) ระดับผู้นิราศขั้น2 อายุ6000ปี(ตะบะ50000ปี)
หานอี้ (เซียนแท้จริง) ระดับผู้นิราศขั้น 1 อายุ 8000ปี (ตะบะ 90000ปี)
หานกู่(เซียน) ระดับผู้นิราศขั้น9 อายุ 7500ปี (ตะบะ 75000ปี)
หานหลี่(เซียนแท้จริง ) ระดับผู้นิราศขั้น7 อายุ 5000ปี (ตะบะ 60000ปี)
หานลู่ (วานรสี่ฤดู/เทพอสูรสายเลือดบริสุทธิ์)ระดับผู้นิราศขั้น 2 (ตะบะ 60000ปี)
หยวนหยาน(อาหยวน/อาหยาน)(เทพอสูรสายเลือดบริสุทธิ์ ) ระดับผู้นิราศขั้น3 (ตะบะ 50000ปี )**หากอยู่ในร่างหยวนหยานทุกอย่างจะเพิ่มอีกเท่าตัว ***หานกู้ (จามรีเขาหยก/อสูรวิญญาณระดับสีแดง) ระดับมหานิราศขั้น3 **อสูรวิญญาณไม่มีตะบะ**หลางเล่อ(อสรพิษเกล็ดหิมะ/อสูรวิญญาณระดับสี่แดงขั้น 3) อสูรวิญญาณของฮวงอู่
***ราชวงศ์ฉีหลิน***
ฉีหลินอ้าวป้าย (เทพอสูรเเท้จริง ) ระดับผู้นิราศขั้น 5 อายุ 1500ปี (ตะบะ 35000ปี)
ฉีหลินเหลียวเจิ้ง(เทพอสูรแท้จริง) ระดับผู้นิราศขั้น9 อายุ 1495ปี (ตะบะ 120000ปี)ฉีหลินน่าอวี๋ (มารดาชินอ๋อง)(มหาเทพอสูร)ระดับมหานิราศขั้น 1 อายุ 1550ปี (ตะบะ 29000ปี)ฉีหลินน่าหลัน (ฮวงกุ้ยเฟยหลงอู่)(เทพอสูร) ระดับผู้นิราศขั้น 2 อายุ 1440ปี (ตะบะ15000ปี)ฉีหลินน่าซี (กลับจากไป่หู่)(เทพอสูร)ระดับผู้นิราศขั้น3 อายุ 1350ปี (ตะบะ 17000ปี)ฉีหลินเนี่ยจี(ผิงฟูเหริน)ระดับจักรพรรดิ์สวรรค์ขั้น 8 อายุ 2000ปี (ตะบะ 4600ปี)เหิงอวี๋เซียว(เหิงไทเฮา)(มหาเทพอสูร)ระดับมหานิราศขั้น 2 อายุ 3500ปี (ตะบะ 32000ปี)**ตระกูลเหิง**เหิงอวี้ (กั๋งกง) (เทพอสูร) ระดับผู้นิราศขั้น4 อายุ 1000ปี(ตะบะ 11000ปี)เหิงลู่ถง (กึ่งเซียน) ระดับผู้นิราศ 2 อายุ 4500ปี (ตะบะ 25000ปี)เหิงลู่จง (กึ่งเซียน) ระดับผู้นิราศ 1 อายุ 4300ปี (ตะบะ 24500 ปี)***ตระกูลผิง***
ผิงชิง(กั๋วกง)(เทพอสูร) ระดับผู้นิราศขั้น 7 อายุ 900ปี (ตะบะ 15000ปี)***ตระกูลหลิว***หลิวเพ่ย (มหาเทพอสูร) ระดับมหานิราศขั้น 2 อายุ 1700 ปี (ตะบะ 30000ปี)หลิวซี(กั๋วกง)(เทพอสูร) ระดับผู้นิราศขั้น5 อายุ 1200ปี (ตะบะ 11000ปี)หลิวซีอิน(ชายาชินอ๋อง)(เทพอสูร)ผู้นิราศขั้น 2อายุ 600ปี (ตะบะ 9500ปี)***ตระกูลฟ่าน***ฟ่านตงชิง(กั๋วกง)(เทพอสูร) ระดับผู้นิราศขั้น4 อายุ 800 ปี (ตะบะ 10000ปี)ฟ่านหลิงถิง(กุ้ยเฟย) ระดับจักรพรรดิ์สวรรค์ขั้น 3 อายุ 400ปี (ตะบะ 2500ปี)ฟ่านถิงอี้(องครักษ์)(กึ่งเซียน)ระดัยผู้นิราศขั้น2 อายุ 1000ปี (ตะบะ 45000ปี)***ตระกูลเหมย***เหมยหยา (เสนาบดี)(กึ่งเซียน)ระดับผู้นิราศขั้น 2 อายุ 3700ปี (ตะบะ25000ปี)*ราชวงศ์เฟิงไหล**เฟิงไหลฉิงซี (มหาเทพอสูร) ระดัยผู้ผ่านฟ้าขั้น 1 อายุ 35000ปี (ตะบะ 120000ปี)เฟิงไหลฉิงหลัว(มหาเทพอสูร) ระดัยผู้ผ่านฟ้า ขั้น1 อายุ 34920ปี (ตะบะ 115000ปี)เฟิงไหลฉิงชิง(มหาเทพอสูร) ระดับผู้ผ่านฟ้า ขั้น1 อายุ34910ปี (ตะบะ 115000ปี)เฟิงไหลฉิงชิว(มหาเทพอสูร) ระดับผู้ผ่านฟ้า 1 อายุ 34900ปี (ตะบะ 110000ปี)เฟิงไหลหลี่ถิง (เทพอสูร) ระดับผู้นิราศขั้น 2 อายุ 300ปี (ตะบะ 12000ปี)**ราชวงศ์หลงอู่***หลงอู่หรูอี้ (มหาเทพอสูร) ระดับมหานิราศขั้น 4 อายุ 20000ปี (ตะบะ 96000ปี)หลงอู่ชิงหวิน(ฮ่องเต้)(เทพอสูร)ระดับผู้นิราศขั้น 4 อายุ 400ปี (ตะบะ 5000ปี)****ราชวงศ์ไป๋หู่***ไป๋หู่หลิวเว่ย (มหาเทพอสูร) ระดับมหานิราศขั้น 1 อายุ 4500ปี (ตะบะ20000ปี)ไป๋หู่หลิวหวิน (เทพอสูร) ระดับผู้นิราศขั้น 6 อายุ 3000ปี (ตะบะ 15000ปี)ไป๋หู่หลิวอี้ (เทพอสูร ) ระดับผู้นิราศขั้น5 อายุ 2900ปี (ตะบะ 10000ปี)** ราชวงศ์เสวียนอู่**เสวียนอู่ตี้เหริน (เทพอสูร) ระดับผู้นิราศขั้น9 อายุ 4000 (ตะบะ 20000ปี)
ถังจี (สภาปราชน์)(กึ่งเซียน) ระดับผู้นิราศขั้น6 อายุ 2500ปี (ตะบะ 10000ปี)ถังหมิ่น(สภาปราชน์) ระดับจักรพรรดิ์สวรรค์ขั้น 7 อายุ 400ปี (ตะบะ 2500ปี)จิวเฉิน(ผู้นำตระกูลจิว(กึ่งเซียน)ระดับผู้นิราศขั้น3 อายุ 3500ปี (ตะบะ9000ปี)จิวลู่จวิน (อาวุโส)(กึ่งเซียน)ระดัยผู้นิราศขั้น2 อายุ 3700ปี (ตะบะ 9300ปี)จิวจี่ซี่ (กระเรียนขาว )(กึ่งเซียน)ระดับผู้นิราศขั้น2 อายุ 2600ปี (ตะบะ4500ปี)*** อายุกับตะบะบางคนอาจมากน้อย เพราะบางคนเข้าออกตำหนักสวรรค์ที่เวลาเดินเร็วกว่าปกติ ความเเข็งแกร่งของเเต่ล่ะคนนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ระดับเพียงอย่างเดียว**ดินแดนคาบสมุทร
ราชวงศ์ตงไห่
ตงไห่ลู่จี (มหาเทพอสูรแท้จริง ) ระดับผู้ผ่านฟ้าขั้น 6 อายุ 8000ปี (ตะบะ 150000ปี)
ตงไห่ลู่เหลย (มหาเทพอสูร/ผู้หลอมโอสถ)ระดับผู้ผ่านฟ้าขั้น3 อายุ 6000ปี (ตะบะ 110000ปี)
ตงไห่ลู่เทียน (มหาเทพอสูร) ระดับผู้ผ่านฟ้าขั้น 2 อายุ 5500ปี (ตะบะ 100000ปี)
ตงไห่ลู่ปิง (เทพอสูรแท้จริง ) ระดับผู้นิราศขั้น6 อายุ 1500ปี (ตะบะ 89000ปี)
**ตระกูลอิง(หนานไห่)
อิงสง (มหาเทพอสูร/อินทรีมรกต) ระดับมหานิราศขั้น 6 อายุ 5000ปี (ตะบะ 50000ปี)
อิงลี่ (มหาเทพอสูร/อินทรีมรกต/ผู้หลอมโอสถ) ระดับมหานิราศขั้น 4 อายุ 6000ปี (ตะบะ 30000ปี)
อิงหวู่ (เทพอสูร/อินทรีมรกต) ระดับผู้นิราศขั้น6 อายุ 400ปี (ตะบะ 20000ปี)
อิงจื่อ (เทพอสูร/อินทรีมรกต) ระดับผู้นิราศ 2 อายุ 300ปี (ตะบะ 15000ปี)

จุดกำเนิด

ตอน…จุดกำเนิด
..07:00 กรุงเทพมหานคร
ตี๊ดตี๊ดดดดดด…… "คุณหมอค่ะชีพจรของคนไข้ไม่เต้นแล้วค่ะ" เสียงที่เรียบเฉยดังเคยพยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาจนชินตาแล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่เพราะคนที่กำลังนอนแน่นิ่งบนเตียงอยู่นั้นเป็นเพื่อนสมัยเรียนมัธยมของเธอ แววตาที่ดูจะเป็นการอวยพรให้พยเจอกับภพภูมิที่ดีกว่านั้น เธอเองก็ไม่รู้ว่ามันมีจริงแท้แค่ไหน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยเช่นนี้ให้จิตใจของเธอมีกำลังมากขึ้น
แม้แต่หมอเองก็ยังถอนหายใจอย่างโล่งอก ความคิดที่ผิดแผกเช่นนี้ล้วนเกิดขึ้นเพราะความสงสารในชะตากรรมของคนไข้ มันเป็นสิ่งที่ผิดในฐานะหมอหากจะกล่าวว่า คุณควรตายมากกว่าอยู่อย่างทรมาน
"น้ำ เธอช่วยแจ้งที เต๋อควรได้พักผ่อนและเราคงไม่สามารถจัดงานใหญ่ๆให้มันได้ " เสียงของหมอหนุ่มเอ่ยขึ้น ความเห็นใจของเขามันกลบกลืนความเสียใจของเขาไปจนหมด เขาเองก็มีฐานะไม่ต่างจากพยาบาลที่เฝ้าไข้ เพื่อนรักต้องมามองการจากไปของเพื่อน แต่ถึงเป็นเช่นนั้นกลับไร้ซึ่งความเสียใจในเเววตา
ผู้ที่พึ่งสิ้นใจไปเมื่อครู่เป็นเพียงเด็กน้อยที่เกิดมาในบ้านเด็กกำพร้า เป็นใบ้หูหนวก แต่กลับมีใบหน้าที่หล่อเหลา และดึงดูด แต่หากคุณคิดว่านี้เป็นเรื่องโชคร้ายที่สุดของเต๋อแล้ว คุณกำลังคิดผิด เพราะเรื่องตลกร้ายมันเริ่มขึ้นเมื่อเขาย่างเข้าวันหนุ่ม การเสื่อมสลายของเชลล์ในร่างกายนั้นวัยกว่าปกติ ซึ่งปัจจุบันนี้เรียกโรคเหล่านี้ว่ามะเร็ง มันแทบไม่รู้ว่ามีสาเหตุมากจากสิ่งใด แต่มันก็พรากชีวิตผู้คนนับไม่ถ้วน…..
นานจริงๆ เจ้าอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความโสมมนานเช่นนี้ อ่า!!!! กี่พันปีไปแล้ววว
เสียงแรกที่ตลอดชีวิตเขาไม่เคยคิดที่จะได้ยิน เสียงที่ดูท่าจะเฝ้ารอการตายของเขา คงเป็นโลกหลังความตายที่หลวงพ่อเคยสอนไว้ซินะ มันมีอยู่จริงๆด้วย ชักอยากจะเห็นว่าเราต้องไปที่ใด บาปไม่ทำ บุญไม่ทำ ชีวิตของเขามักถูกคนมองว่าเกิดมาชดใช้กรรมเท่านั้น
''เจ้าจ้องมองความโสมมในจิตใจของสิ่งมีชีวิตนี้มากพอแล้ว ผู้นิราศของข้า หากเจ้ายังคงจ้องมองมันอีกเจ้าจะไม่มีทางกลับสู่มตุภูมิของเจ้าได้อีกต่อไป " เสียงที่ชัดเจนมากขึ้นและเด่นชัด มองเช่นนั้นหรือ เเน่นอนว่ามันเป็นสิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้ ไม่ได้ยิน ไม่สามารถพูดมันออกมาได้ ได้แต่มองเท่านั้น
"คุณเป็นใคร…. "ถึงจะตกใจที่อยู่ๆตัวเองก็สามารถพูดได้ เสียงที่ดูจะไม่คุ้นชิน แต่มันเป็นเสียงของเขาเองที่เขาเอื้อนเอ่ยเพราะต้องการแน่ใจว่าเขาตายแล้วจริงๆ ก็ดีเหมือนกัน ทุกครั้งที่เขามองสายตาของเพื่อนรักทั้งสองมันเป็นสายตาของความเวทนาทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งใดเลวร้ายกว่านี้ไปอีกเเล้ว
"ข้าเป็นใครเช่นนั้นหรือ เจ้าคงไม่อยากรู้เป็นแน่ 'นามธรรม' เช่นพวกเราไม่ควรถูกล่วงรู้ เเต่ข้าชอบเจ้าถึงได้บอกเจ้า ข้าเฝ้ามองเจ้ามากว่าห้าพันปี ห้าพันปีที่เจ้าเวียนว่ายหลุดจากธาราแห่งเต๋าที่เจ้าได้บรรลุ จงเตรียมตัวรับความทรงจำเดิมของเจ้าเสีย เจ้าแห่งตำหนักศักดิ์สิทธิ์ที่เจ็ด 'พฤกษาสวรรค์' เจ้าคือตัวแทนแห่งโลกาพฤกษาจดจำเอาไว้ …
เพียงประโยคที่เสียงปริศนานั้นกล่าวขึ้นมา ตัวของเขาก็จมดิ่งสู่ความทรงจำภาพพระราชวังอันงดงามใหญ่โตที่สลักลวดลายของสัตวศักดิ์สิทธิ์ในตำนานจีน 'กิเลน' 'ฉีหลิน'
ปีฉีหลินที่ 552 พระสนมจากเผ่าหานตันลอบปรงพระชนย์ฮองเฮา พระราชทานยาพิษ ส่งตัวองค์ชายสิบเจ็ดไปยังตำหนักพยากรณ์..
เหตุการณ์ตรงหน้ามันชัดเจนจน เต๋อไม่สามารถที่จะเเยกแยะ และสุดท้ายเขาต้องยอมรับความทรงจำทั้งหมด พลังงามที่เขามองเห็นในจุดลึกที่สุดของตำหนักพยากรณ์ การที่ต้องการหลบหนีทำให้เขาตกสู่ห่วงเหวของเขาหู่เป่ย ที่ไม่อาจจะหยั่งความลึกของหุบเหวนี้ได้ แต่เหตุใดเขาถึงยังไม่ตาย แต่ใบหน้าของเด็กหนุ่มในวันเพียงสิบหกปี กำลังถูกแช่ไว้ในสิ่งที่เขาเองก็ยังไม่รู้ แต่แล้วด้วยความทรงจำที่มากมายถูกเติมเต็มขึ้นมาทำให้ตัวเขาแทบทนแบกรับมันไม่ได้
"ลูกแม่เจ้าต้องเชื่อเเม่ ว่าแม่ถูกใส่ร้าย " เสียงนั้นเป็นเสียงเดียวที่เขาจดจำได้ ก่อนที่จะถูกยัดตัวขึ้นรถม้ามาที่ตำหนักพยากรณ์
อึกกกกก
ตอนนี้ความทรงจำทุกอย่างของเขาสงบลง เขากลับมาสู่โลกที่เต็มไปด้วยความป่าเถื่อน โลกที่ความแข็งแกร่งเท่านั้นที่อยู่รอด โลกแห่งความโสมม โสมมกว่าโลกที่จากมา
ฉีหลินจวิ้นเต๋อ องค์ชาย17 เเห่งราชวงศ์ฉีหลิน จักรวรรดิกิเลนสวรรค์ พระชนย์มายุสิบสาม มารดาต้องโทษ ถูกส่งตัวเข้าตำหนักพยากรณ์ในฐานะ ท่านชายศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นผู้มองเห็นอนาคต มีผู้เคยทำนายว่าองค์ชายสิบเจ็ดจะกลายเป็นผู้นำเเห่งยุคเลยทีเดียว
จักรวรรดิกิเลนสวรรค์ เป็นส่วนหนึ่งในดินแดนเทพบิดรผานกู่ ประกอบไปด้วยจักรวรรดิน้อยใหญ่ ทิศเหนือปกครองโดนจักรวรรดิ์เสวียนอู่ สายโลหิตของสัตวเทพเต่าดำ ราชวงศ์เสวียนอู่
ทิศตะวันออกปกครองโดยจักรวรรดิหลงอู่ สายโลหิตของมังกรสวรรค์ ราชวงศ์หลงอู่
ทิศตะวันตกปกครองโดยจักรวรรดิพยัคฆ์ขาว สายโลหิตของพยัคฆ์ ราชวงศ์ไป๋หู่
ทิศใต้ ปกครองโดยจักรวรรดิหงส์สวรรค์ สายโลหิตของหงส์เพลิง ราชวงศ์เฟิงไหล
ตอนกลางปกครองโดยจักรวรรดิกิเลนสวรรค์ สายโลหิตสัตว์เทพกิเลน ราชวงศ์ฉีหลิน
แดนสุขาวดี ..ปี่เซี๊ยะ ปกครองโดยอารามหย่งชิง เป็นที่สถิตของสัตว์เทพสิงหราปี่เซี๊ยะ
'ชีวิตก่อนหน้าว่าอาภัพแล้ว ดูชีวิตนี้ของข้าเถิด หากไม่ต่างจากยุคนั้นข้าก็คงเป็นพระ ที่ไม่อาจทำลายพรหมจรรย์ตนเองได้ …'
ในโลกแห่งลมปราณ การคงอยู่ของสิ่งที่ไม่น่าจะมีอยู่ มนุษย์ถึกคนเกิดมาพร้อมกับความสามารถเส้นลมปราณ การฝึกฝน ความแข็งแกร่ง และอายุที่ยืนยาวนานนับพันปี นี้มัน….
"ระดับพลังของข้าก่อนที่จะข้ามผ่านประตูมรรคราแห่งเต๋า อยู่เพียงระดับปราณฟ้าเท่านั้น แต่ทำไมตอนนี้พลังข้าที่มากมายขนาดนี้ " จะไม่ให้มากมายได้อย่างไร ตัวตนของจวิ้นเต๋อหลัยไหลดูดซับพลังธรรมชาติแห่งเขาเป่ยหู่กว่าห้าพันปี แถมยังหล่อหลอมรวมเข้ากับตำหนักศักดิ์สิทธิ์แท้จริง 'พฤกษาสวรรค์อีกต่างหาก
**ธาตุปราณ**
ปราณธาตุอัคคี
ปราณธาตุวารี
ปราณธาตุวายุ
ปราณธาตุปฐพี
ปราณธาตุแสง
ปราณธาตุมืด
**ธาตุปราณ(พิเศษ)**
ปราณธาตุเหมันต์
ปราณธาตุอัสนี
ปราณธาตุพฤกษา
ปราณธาตุโลหะ
และยังมีความหลากหลายอีกมากมาย ความสามารถผู้เยียวยาปราณ ผู้หลอมโอสถปราณ ผู้ใช้อักขระปราณ สิ่งเหล่านี้ล้วนมีอยู่มากมาย ยุคสมัยที่ดูจะคล้ายๆกับยุคสมัยของจีนโบราณ และดูจะโบราณมากจริงๆ
*** ระดับพลังปราณ***
ผู้ฝึกปราณขั้นต้น
ผู้ฝึกปราณขั้นกลาง
ผู้ฝึกปราณขั้นสูง
ผู้ฝึกปราณแท้จริง
ปราณจิตปราณภิภพปราณนภา ปราณสวรรค์ราชาสวรรค์ จักรพรรดิ์สวรรค์ผู้นิราศมหานิราศ***ทุกระดับมีเก้าขั้น ***ภายในหุบเขาเป่ยหู่อันห่างไกล ยังคงมีร่องรอยของความรุ่งเรืองในอดีตของตำหนักพยากรณ์ แต่ตอนนี้มีเพียงซากเท่านั้น เพราะตำหนักพยากรณ์นั้นถูกโจมตีอย่างหนักเมื่อพันปีก่อน ซึ่งเป็นความผิดพลาอของเหล่าตำหนักฝึกตน และเหล่าจักรวรรดิ เพราะไม่อาจทนการที่ต้องส่งบุตรหลานของตนเข้าสู่ตำหนักเพื่อเป็นท่านชายศักดิ์สิทธิ์ ใครเล่าจะทนได้ การถือครองพรหมจรรย์ตลอดชีพ และยังต้องมีสายเลือดของสัตว์เทพอีกต่างหาก "ท่านปู่ เราจะอยู่ที่นี้อีกนานเท่าใด ผู้อื่นล้วนลงเขาไปหมดเเล้ว ตอนนี้มีเพียงเราสองเท่านั้น ตำหนักพยากรณ์นั้นล่มสลายไปนานแล้ว ท่านยังจะเฝ้ามองมันอยู่ทุกวัน อายุพันปีของท่านมันช่างว่างเปล่าจริงๆ " ที่เรียกว่าท่านปู่ เพราะตัวมันเองถูกเก็บมาเลี้ยง และเเน่นอนว่าถูกตรีตราเป็นคนของตำหนักพยากรณ์ ที่ถือครองพรหมจรรย์ แต่ในเมื่อไม่มีท่านชายศักดิ์สิทธิ์เหลืออยู่ อยู่ไปจะมีความหมายอันใด สู้เดินทางไปยังอารามหยงชิงจะมีประโยชน์กว่าหานกู่ เป็นหนึ่งในอาวุโสคุมกฎของตำหนักพยากรณ์ ด้วยกฎที่เคร่งคัดทำให้ตำหนักพยากรณ์นั้นถูกทำให้หายไป แน่นอนว่าพวกเขาเองก็เสียใจ เพราะตำหนักพยากรณ์นั้นล่วงรู้ทุกอย่างผ่านสายตาของท่านชายศักดิ์สิทธิ์ ตัวหานกู่มีอายุถึงสองพันปี มีขั้นปราณสูงถึงปราณนภาขั้นเก้า ครั้งจะออกจากที่นี้คงมีแต่ผู้คนอ้าแขนรับ ล่ะทิ้งซึ่งพรหมจรรย์เสีย และนั้นคือสิ่งที่มันไม่ยินยอมสายตาที่เหนื่อยล่ามองไปยังผลึกที่กำแน่นภายในมือ มันคือผลึกวิญญาณที่ผูกติดไว้กับชีวิต ผลึกยังมีแสงหม่น แสดงถึงการยังมีชีวิตอยู่ของเจ้าของผลึก และผู้ที่จะมีผลึกชีวิต มีเพียงคนจำพวกเดียวเท่านั้น 'ท่านชายศักดิ์สิทธิ์ ' "ท่านยังหลงเชื่อผลึกนี่อีกหรือท่านปู่ ข้าว่ามันเพียงมีเเสงเพราะตัวมัน หากยังเหลือท่านชายศักดิ์สิทธิ์จริงๆ พระองค์ไปอยู่ที่ใดกัน ใยไม่ปรากฏตัวให้ท่านได้เห็น อีกอย่างในตำหนักพยากรณ์ก็ไม่มีพลังปราณของผู้ใดอยู่ยกเว้นข้ากับท่าน " หานหลี่ ยังคงเอ่ยอย่างโมโห เพราะบุญคุณที่เลี้ยงดูมาทำให้แม้เเต่ตัวมันเองก็ไม่อาจทิ้งหานกู่ มันเรียกปู่จนชินชาว่าเป็นหลานชายจริงๆเสียอีก"หุบปากเจ้าเสีย หานหลี่หากเจ้าอยากไปก็ไปข้าไม่รั้งเจ้า แต่การที่ผลึกชีวิตยังมีเเสงอยู่เช่นนี้เราย่อมมีหวัง ข้ายังเชื่อว่าตำหนักพยากรณ์จะต้องกลับมา " ถึงจะอยากโต้เถียงเท่าใดแต่ก็ไม่ได้ จะว่าอย่างงั้นก็ยอมได้ จากการถูกโจมตีทำให้เสาศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ประกอบพิธีการเป็นท่านชายศักดิ์สิทธิ์อย่างสมบูรณ์พังทะลายลง และแน่นอนว่าหากหมดท่านชายศักดิ์สิทธิ์ในยุคนี้แล้วก็ย่อมหมดไป หุบเหวเป่ยหู่" โอ้ย!!!!ปสดหัวอะไรเช่นนี้กัน แถมยังมืดอีกนี้ข้าอยู่ในนี้มานานเท่าใดกัน " ที่ต้องเอ่ยเช่นนี้เพราะว่า รอบตัวของจวิ้นเต๋อตอนนี้เต็มไปด้วยการทับถมของเศษดินและหิน แต่มันก็ไม่อาจทำให้ผิวอันผุดผ่องของเขาหม่องหม่นลงได้ แม้ความมืดมิดมาเยือนแต่ร่างกายของเขายังคงมีแสงสีทองปลดปล่อยออกมา แต่ก่อนก็มีอาจารย์เคยบอกว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของท่านชายศักดิ์สิทธิ์ แต่ดูเขาตอนนี้สว่างราวกับแสงอาทิตย์ก็มิปาน เพราะตอนนี้มีเหล่าแมลงน้อยใหญ่ต่างเข้ามาหาเขา เพราะใต้หุบเหวที่เเสงสว่างส่องไม่ถึงนี้เอง เพียงย่างก้าวเดินก็ปรากฏต้นกล้าที่งอกออกมาจากเมล็ดที่ทับถมกันมาช้านาน สมุนไพรที่ได้รับพลังปราณที่อบอุ่นของจสิ้นเต๋อต่างตอบรับมันราวกับพวกมันกำลังเต้นรำ ความรู้สึกที่สุดแสนจะเบาสบายของเขา มันมาจากพลังเวทที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ก่อนนั้นอาจารย์ของเขาเองเป็นท่านชายศักดิ์สิทธิ์จากตระกูลเสวียนอู่ และคนล่าสุดที่เข้ามาหลังเขาเพียงสามวันคือ เฟิงไหลจงป่านนี้พวกเขาคงรอข้าอยู่…..จวิ้นเต๋อรู้ดีว่าตนเองนั้นหลับไหลไปยาวนานเพียงใด แต่ด้วยอายุขัยของคนในโลกใบนี้มันมากกว่าหมื่นปีเสียอีก ขอเพียงไม่ถูกสังหารก่อนเท่านั้นเอง ยิ่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์เช่นเหล่าเชื้อพระวงศ์ รางกายที่ว่างเปล่าทำให้จวิ้นเต๋อพยายามค้นหาเสื้อผ้าจากด้านในของกำไลมิติที่ตอนนี้มันก็ยังคงอยู่ ด้วยอุปกรณ์พวกนี้ได้รับพลังจากตนล้วนไม่พังสลายไปง่ายๆ และสิ่งของภายในมิตินั้นอยู่เหนือกาลเวลา อยู่เช่นไรก็เช่นนั้น อาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์คลิบด้วยด้ายทองคำ ถักทอลวดลายของกิเลนสวรรค์ตามสายโลหิตของผู้สวมใส่ มีเพียงราชวงศ์เท่านั้นที่กล้าสวมใส่มัน "การที่พูดคุยไม่ได้มันช่างเป็นการที่ข้าต้องตกนรกอย่างแท้จริงถึงไม่รู้ว่านรกเป็นเช่นใดก็ตามที " การพิสูจน์ตนในฐานะของผู้พยากรณ์มาในช่วงที่เหมาะเจาะเสมอ และการที่จ้องมองโดยไม่สามารถเอ่ยสิ่งใดได้นั้นคือสิ่งที่ จวิ้นเต๋อเข้าใจ ถึงรู้แต่ทำใจไม่ให้ได้ยินไม่เอ่ยสิ่งใดดีที่สุด สุดแล้วแต่มรรคคราเถิด และไม่เพียงเท่านั้นสิ่งที่เขาได้รับหลังจากพิสูจน์นั้น แม้เเต่ตัวเขาเองยังไม่รู้เลยว่ามันคือสิ่งใด 'ตำหนักศักดิ์สิทธิ์แท้จริง ตำหนักที่เจ็ด 'พฤกษาสวรรค์' " หนึ่งในสิบตำหนักศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบเช่นนั้นหรือ ตอนนี้สองปู่หลานต่างสายเลือดหยุดเอ่ยวาจาใดๆไปชั่วครู่ เพราะตอนนี้เเสงสว่างที่หม่นหมองจากผลึกชีวิต มันกำลังส่องสว่างไม่ต่างจากดาวดวงหนึ่งเลยด้วยซ้ำไป ไม่อาจเเตะต้องได้อีกต่างหาก และตอนนี้มันกำลังปลดปล่อยละอองปราณสีทองไปยังจุดที่มันกำลังล่องลอยเข้าหา แต่ทั้งสองก็ต้องชะงักฝีเท้าลงเมื่อพบว่าตรงหน้าคือ 'หุยเหวเป่ยหู่ ' แต่ก่อนที่จะได้คิดอ่านสิ่งใดพวกเขาก็มองเห็นฝ่ามือที่ขาวเนียนราวกับหยกสลักไร้ซึ่งตำหนิใด แถมยังเปล่งประกายอย่างงดงาม ไม่ต้องำฝพูดถึงใบหน้าที่ติดจะหวานหยดย้อยอาภรณ์ที่สวมใส่ก็ชัดเจนนักว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ของฉีหลิน'ฉีหลินเช่นนั้นหรือ ' ช่างเหมาะเจาะอะไรเช่นนี้ จักรวรรดิกิเลนสวรรค์กำลังตกอยู่ภายใต้แรงกดดันของสี่จักรวรรดิ ด้วยสงครามภายในทำให้พวกเขาอ่อนเเอลงไปมาก และจำนวนของเชื้อพระวงศ์นับร้อยคงเหลือไม่ถึงสิบพระองค์ "เจ้าไปเตรียมน้ำให้ข้าที ข้าอยากอาบน้ำ. " จวิ้นเต๋อไม่ได้สนใจสิ่งใดเขามองเห็นผลึกชีวิตของตนเองลอยอยู่เลยขว้ามันมา และเห็นข้ารับใช้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองยืนอยู่ ก็เลยคิดไปเองว่าพวกเขาคงตามผลึกชีวิตมา และนั้นก็ไม่ควรที่เขาจะใส่ใจมากไปกว่านี้

ตำหนักพยากรณ์หวนคืน

ตอน…..ตำหนักพยากรณ์หวนคืน
ตอนนี้จวิ้นเต๋อกำลังมองซากกองหินที่แต่ก่อนยังคงจำได้ว่ามันงดงามเพียงใด มันรุ่งเรืองเพียงใด และผู้ใดกันถึงสามารถทำให้สิ่งสวยงามเช่นนี้ต้องล่มสลาย ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้ลุ่มหลงในกามรมณ์ไม่ควรที่จะย่างก้าวเข้ามา เขายังจำมันได้ดี แต่เหตุใดภาพตรงหน้าถึงทำให้เขารู้สึกเสียใจได้ แล้วอาจารย์ของข้าเล่า…ศิษย์น้องของข้าไปอยู่ที่ใด
"ท่า..ท่านชายขอรับ คือ… "
"เกิดอะไรขึ้น…. " ด้วยที่ผ่านชีวิตมามากกว่าหนึ่งโลกทำให้จิตใจของจวิ้นเต๋อมั่นคงพอ มันอาจเป็นเพียงการย้ายวิหารเท่านั้นถึงมันดูจะเป็นไปไม่ได้ก็เถอะ …
"คือเป็นเช่นนี้ขอรับ… " หานกู่เร่งรีบเข้ามาเพื่อกล่าวอธิบาย ตอนนี้ในใจของมันคล้ายได้รับน้ำทิพย์จนชุ่มฉ่ำไปเลยที่เดียวความคิดของมันเป็นความจริง กายเนื้อเหลืองทองสูงค่า ….แต่ผิดกันหานหลี่ที่ตอนนี้นิ่งเงียบไม่กล้าเเม้แต่จะเงยหน้าด้วยซ้ำไป เพราะมันเองไม่เคยพบท่านชายศักดิ์สิทธิ์มาก่อน เพราะท่านชายองค์ล่าสุดก็ถูกลอบสังหารไปเมื่อพันกว่าปีก่อนหน้าที่มันจะอยู่ที่นี้แล้ว
จวิ้นเต๋อปรับอารมณ์ เพราะตอนนี้เรื่องราวหลายอย่างที่กลายเป็นภาพฉายในหัวของเขา แน่นอนมันเป็นภาพของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สิ่งที่ทำให้ตำหนักพยากรณ์อ่อนแอ่ คงหมายถึงไม่มีผู้ใดในยุคนั้นไปถึงขั้นที่เรียกว่าเทพพยากรณ์ได้เลย เเม้แต่อาจารย์ของเขา แต่ตอนนี้เป็นตัวเขาที่อยู่ในขั้นนั้น เต๋าที่เหล่าอาจารย์พยายามทำความเข้าใจ โอกาสที่โชคชะตาจะทดสอบมันช่างยากเย็น และมันเป็นเพราะตัวเขา เพราะเขาอยู่ระหว่างการทดสอบ ไม่อาจมีผู้ทดสอบมากกว่าหนึ่งได้ และตอนนี้ข้าเป็นผู้ที่รักษาพรหมจรรย์สูงสุดด้วยวัย 5500 ปีฉีหลิน หากเดาไม่ผิดนี้คงเป็นปีฉีหลินที่ 6050 ซินะ
. หานกู่ยังคงก้มหน้าก้มตาเพื่อรอคำสั่งหรือคำกล่าวบางอย่าง แต่ท่านชายศักดิ์สิทธิ์กลับไม่เอ่ยสิ่งใดยิ่งสร้างความกดดันมากยิ่งขึ้น ไม่เพียงตนเองที่คิดหนัก หานหลี่เจ้าปากมากนั้นกำลังยืนก้มหน้าขาสั่นทีเดียว จากที่เขาลองตรวจสอบถึงรูปลักษณ์จะเป็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่งแต่ดูจากความคุ้นเคยแน่นอนว่าคงมีอายุมากกว่าตนเองและมากกว่าอ๋องศักดิ์สิทธิ์คนก่อนอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็ต้องสามพันถึงสี่พัน
"ข้าอายุห้าพันห้าร้อยปีไม่ขาดไม่เกิน … มีสิ่งใดจะถามข้าอีกไหม " เสียงที่ถามขึ้นมาโดยที่ไม่อาจบ่งบอกอารมณ์ของผู้ถามว่ากำลังโกรธหรือกำลังยินดี แต่เมื่อได้คำตอบที่สงสัยทำเขาแข่งขาของหานกู่อ่อนลงทันที
"ขอพระราชทานอภัย…. " ถึงขนาดต้องหมอบลงกับพื้น อย่างไรเสียการใช้คำเรียกหาเช่นนี้ก็เหมาะสม เพราะเหล่าท่านชายศักดิ์สิทธิ์ล้วนมีฐานะเป็นราชวงศ์ทั้งสิ้น
"ตอนนี้เหลือข้าเพียงผู้เดียว ข้าคงกลายเป็นอ๋องศักดิ์สิทธิ์แล้วซินะ เหอออ ..เอาเถอะไปที่พักของพวกเจ้ากันเถอะ ข้าอยากนั่งพักสักครู่ " สิ่งที่จวิ้นเต๋อต้องการมากที่สุดตอนนี้คือการตั้งตัวรับสถานการณ์ตอนนี้ ตอนนี้ไม่มีตำหนักพยากรณ์เหลืออยู่แล้ว แต่ยังไงเสียที่ที่อ๋องศักดิ์สิทธิ์ประทับอยู่ที่นั้นล้วนเป็นตำหนักพยากรณ์ จวิ้นเต๋อเดินตามข้ารับใช้ที่ตนพึ่งเอ่ยถามไปเมื่อครู่มา ตำหนักไม้หลังเล็กที่ดูจะเป็นสถานที่พักหลับนอนของทั้งสอง และอีกอย่างที่เขาได้ยินความคิดอ่านของคนผู้นั้น มันช่างดีจริงๆ
. "เจ้านะ ชื่อหานหลี่ใช่ไหม เจ้าเข้ามาใกล้ข้าซิ!!! " ผู้ที่ถูกเรียกหาถึงกลับสะดุ้งตกใจ ท่านชายพยากรมีดางเนตรสวรรค์แห่งความจริงในตำรากล่าวไว้เช่นนั้น ไม่คิดว่าจะเป็นความจริง
"ขออ..รับ..ข้า ….. "
"ไปตักน้ำมาให้ข้าอาบที เอาน้ำพุจากเขาชุนถังนะ ข้าชอบที่นั้น " คำสั่งที่เล่นเอาหานหลี่ถึงกับลมจับ เขาชุนถังตอนนี้ถูกอารามหยงชิงยึดครองแล้ว จะเข้าไปได้ยังไงยิ่งคนของตำหนักพยากรณ์ยิ่งไม่ได้
"ขนาดตาน้ำพวกเขายังยึดไปจากพวกเราหรือนี้ ฮ่าๆๆๆ…พวกเขาช่างเหลือเกินจริงๆ " สายตาของหานหลี่ตอนนี้เหลือกขาวด้วยความตื่นกลัวเขาไม่ได้พูดออกมาสักคำ หากต้องรับใช้นายเช่นนี้เขาจะไม่ต้องตายวันล่ะร้อยครั้งหรอกหรือหากเขาแอบด่า…
แต่ก่อนที่จะได้คิดอะไรต่อ สีหน้าของเจ้าตัวก็ตื่นกลัวสุดขีดเพราะคิดว่าตอนนี้สายตาที่จ้องมองมามันสร้างความหวาดกลัวมากกว่าความหลงไหล ทั้งที่รูปลักษณ์ของท่านชายศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้นับว่างดงามที่สุดในหมู่บุรุษแล้ว อย่าว่าแต่อิสตรีเลย แม้แต่บุรุษเพศยังไม่อาจปฏิเสธ
จวิ้นเต๋อคิดว่าตนเองเพียงอ่านความคิดให้ขบขันเท่านั้น แต่มันก็ใช้กำลังภายในเป็นจำนวนมากที่จะใช้เนตรแห่งความจริงและเรื่องที่ได้ก็ทำให้ขนของเขาชูชันไปทั้งตัว ตอนนี้ก็มั่นใจแล้วว่าทั้งสองไม่มีจิตทรยศและเป็นอื่น
"ข้าแค่ล้อเจ้าเล่น เท่านั้น เจ้าออกไปก่อน " จวิ้นเต๋อตอนนี้ต้องการสำรวจตนเองและสิ่งของที่เขาหลงเหลืออยู่ เพราะดูท่าตอนนี้ตำหนักพยากรณ์ไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่เลย แต่เรื่องนั้นใครจะไปสนใจ แค่ระดับพลังที่เกือบสูงสุดในแดนดินแค่นี้ก็มากพอแล้ว
เช้าวันใหม่ ณ ตำหนักพยากรณ์ นี่นับเป็นครั้งแรกที่ต้องวุ่นวายเช่นนี้ แน่นอนว่าหานกู่ต้องการรับใช้อ๋องศักดิ์สิทธิ์อย่างดี และต้องไม่ให้มีสิ่งใดผิดพลาด พลังปราณรอบตัวที่ท่านอ๋องปลดปล่อยออกมานั้นมันช่างบริสุทธิ์เสียจริง เหล่าบุปผานานาชนิดต่างเบ่งบานอวดสีสันรับดวงตะวันภายในวันเดียว ภาพที่ข้ารับใช้ทั้งสองเห็นตรงหน้านี้ช่างหางไกลจนไม่อาจเอื้อมถึง
"ท่านอ๋องตื่นแล้วหรือขอรับ ข้าน้อยเตรียมน้ำสำหรับชำระกายไว้แล้ว ไม่ทราบว่าจะเสด็จเลยไหมขอรับ " คำกล่าวที่ดูจะขัดเขินไปบ้างแต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าไม่เหมาะสม ฐานะอ๋องนั้นแน่นอนว่าเหล่าจักรวรรดิล้วนไม่มีข้อโต้แย้ง เพราะเหล่าท่านชายล้วนเป็นองค์ชายอยู่แล้ว
"รอก่อน ข้ากำลังเลือกตำราอยู่ " ก่อนที่เขาคิดจะหลบหนีเขาก็ได้เก็บรวบรวมตำราในตำหนักพยากรณ์มากมายที่คิดว่าสำคัญ จนตอนนี้คิดว่าตำราวิชา และตำราโอสถต่างๆมากมายกระจัดกระจายไปทั่ว
"อ่ะนี้ไง ข้าเจอแล้ว 'วิชาเนตรประหารสวรรค์ ' ข้าจะฝึกวิชานี้ก็แล้วกัน " นี้อาจเป็นวิชาที่ไม่ได้จัดว่าสูงส่งนัก แต่ในตอนนี้วิชานี้เป็นวิชาระดับสวรรค์ทีเดียว
**ระดับวิชายุทธ**ระดับต่ำ
ระดับกลาง
ระดับสูง
ระดับจิต
ระดับภิภพ
ระดับสวรรค์
ระดับเหนือสวรรค์
ระดับตำนาน
ระดับเหนือตำนาน
แต่ถึงจะเป็นแค่วิชาระดับสวรรค์แต่หากถูกใช้โดยผู้ที่มีลมปราณอยู่ในระดับผู้นิราศเช่นจวิ้นเต๋อ มันก็ไม่ต่างจากระดับตำนานดีๆนี่เอง แต่ตำราวิชามากมายของตำหนักพยากรณ์นั้นล้วนเป็นวิชาที่เหล่าผู้คนต้องการ นี่อาจเป็นสาเหตุหลักที่พวกเขาเลือกที่จะผนึกกำลังโจมตีเพื่อผลประโยชน์ แต่ที่พวกเขาได้ไปนั้นเป็นเพียงวิชาพื้นๆเท่านั้น เพราะตำราวิชาสำคัญมันถูกเก็บไว้อย่างดีในที่ ที่ไม่มีผู้ใดไปถึงนอกจากเทพพยากรณ์
"พวกเจ้าก็ลองมาเลือกดูวิชาที่พวกเจ้าสนใจได้เลย ข้ายกให้ อย่างน้อยพวกเจ้าต้องอยู่กับข้าไปอีกนาน " หานกู่ถึงขนาดต้องกลืนน้ำลายตนเองเพราะตำรายุทธแต่ล่ะวิชาที่เห็นอยู่ไม่ได้ต่ำกว่าระดับนภา หรือมีมากในระดับสวรรค์ และยังมีวิชาระดับเหนือสวรรค์อยู่
หานหลี่ก็ไม่ต่างกัน เขาเพียงฝึกปราณหยางพิสุจน์ ในฐานะของข้ารับใช้แต่วิชายุทธนั้นไม่อาจเสาะหาได้ มันมีราคาเเพงได้เเต่เรียนกับหานกู่ ซึ้งวิชาของหานกู่นั้นเป็นเพียงวิชา 'กระบี่ผีเสื้อมรกต' ซึ่งเหมาะกับผู้ที่ครอบครองปราณธาตุพฤกษาเท่านั้น แต่สำหรับหานหลี่เขาครอบครองปราณธาตุอัคคี
หานกู่เลือกที่จะหยิบเพลงกระบี่ผีเสื้อเช่นเดิม แต่ครานี้มันเป็นวิชาระดับสวรรค์ 'ระบำผีเสื้อสยบสวรรค์' เป็นวิชาที่มีกระบวนท่าคล้ายคลึงกัน จนอาจมองว่าเป็นวิชาเดียวกันและเเน่นอนว่ามันเป็นวิชาของตำหนักพยากรณ์ ส่วนหานหลี่เองก็เลือกที่จะหยิบเพลง 'หมัดเพลิงพลิกสวรรค์ ' ที่เป็นวิชาระดับสวรรค์เช่นเดียวกัน ทั้งสองต่างเลือกที่จะหยิบเพียงหนึ่งเดียว จวิ้นเต๋อเมื่อมองก็พอใจมาก เพราะตัวเขาเองนั้นสำเร็จ 'ระบำผีเสื้อสยบสวรรค์มานานแล้ว ตั้งแต่ตอนยังอายุไม่ถึงร้อยปี และวิชาพื้นฐานย่อมได้รับการสั่งสอนมาในฐานะของท่านชายศักดิ์สิทธิ์
"ข้าว่าก่อนจะฝึกพวกเจ้าควรฝึกท่าเท้าก่อน และนี้ก็เหมาะสม " จวิ้นเต๋อหยิบวิชาที่ทั้งสองต่างไม่กล้าที่จะเเตะต้องมัน แน่นอนเพราะปกที่มีสีทองคลิบดำนั้นคือวิชาระดับเหนือสวรรค์
' ท่วงทำนองชมบุปผา ' ท่าเท้าที่นับว่ามีความว่องไวและความหยุ่นตัวเป็นเลิศที่เรียกว่าทวงทำนองชมบุปผานั้นเป็นเพราะท่าเท้านี้สามารถแม้กระทั่งเหยียบย่างมิให้บุปผาบอบช้ำแม้แต่น้อย ทั้งสองต่างมองจวิ้นเต๋อด้วยสายตาเทิดทูนจวิ้นเต๋อเองก็พอเข้าใจวิชาเหล่านี้มีเพียงท่านชายศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่จะได้ฝึกฝน ไม่มีทางที่ข้ารับใช้จะได้ฝึก แต่ตอนนี้สิทธิ์ขาดอยู่ที่อ๋องจวิ้นเต๋อผู้นี้ ความโดดเดียวที่ได้รับมาโดยตลอดไม่ได้ทำให้เขาเป็นคนใจแคบ ความพิการเองก็เช่นกัน มันกลับชอบทำให้เขามองเห็นสิ่งที่คนอื่นอาจไม่สามารถมองเห็น ด้านที่เลวร้ายและดีงามในคนเพียงคนเดียว
'ยังอยู่ดีเลย ขลุ่ยหยกเป่ยหู่ของข้า ' จวิ้นเต๋อหยิบเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งออกมา แต่แท้จริงสิ่งที่เห็นหาใช้เครื่องดนตรีมันคืออาวุธสังหาร ขลุ่ยหยกเป่ยหู่ ทำมาจากไผ่ดำค้ำสวรรค์ ที่ก่อกำเนิดที่ปลายยอดเขาเป่ยหู่มันซับไอสวรรค์มากมายจนกลายเป็นสมบัติที่มีพลังสวรรค์เป็นยุทธภัณฑ์ปราณระดับสวรรค์เลยทีเดียว
**ระดับของยุทธภัณฑ์ปราณ***
ระดับจิต (ต่ำ กลาง สูง)
ระดับภิภพ(ต่ำ กลาง สูง)
ระดับนภา (ต่ำ กลาง สูง)
ระดับสวรรค์(ต่ำ กลาง สูง)
ระดับตำนาน(ต่ำ กลาง สูง)
แต่แท้จริงมันหาใช่เพียงขลุ่ยหยกธรรมดาแต่มันยังเป็นอาวุธสังหารอีกด้วย เมื่อจวิ้นเต๋อถ่ายพลังปราณของตนเข้าไป ขลุ่ยหยกก็ยื่นยาวออกกลายเป็นกระบี่หยกที่งดงาม ภู่ที่ห้อยมีสีแดงสดตัดกับหยกขาวที่งดงามมันเป็นอาวุธยุทธภัณฑ์ที่ทั้งงดงามและมีความสูงค่าเกินกว่าจะประเมินราคาของมันได้
ยุทธภัณฑ์ที่สามารถเปลี่ยนรูปแบบได้มีไม่ถึงสิบชิ้นอย่างแน่นอน แม้แต่ในยุคห้าพันปีก่อนก็ตามที และอีกอย่างสิ่งที่จะใช้ทำยุทธภัณฑ์เช่นนี้ได้คงมีเพียงวัตถุดิบในตำนานเท่านั้น สองข้ารับใช้ที่กำลังจ้องมองการกระทำของนายเหนือหัวคนใหม่ของพวกตนกำลังทำก็ต้องปลงตกในชีวิต 'นี้ของวิเศษของตำหนักพยากรณ์มากกว่าครึ่งมิใช่อยู่ที่ท่านหรอกหรือ ท่านอ๋อง ' มันทั้งยินดีและมีน้ำตาแน่นอนตอนที่ตำหนักพยากรณ์สิ้นผู้ปกครอง เหล่าจักรวรรดิต่างๆ ก็อ้างสิทธิ์ในสมบัติและทรัพยากรของพวกเขารวมถึงเหล่าข้ารับใช้ที่ติดตามหานายใหม่รับใช้ และผู้ที่ได้มากที่สุดคงหนีไม่พ้น 'อารามหยงชิง' ผู้นำแห่งเต๋า
กลิ่นอายเย็นเยียบของไผ่หยกแปรเปลี่ยนเป็นกลิ่นอายของพฤกษาที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เขาสัมผัสได้ แต่เดี๋ยวก่อน 'ข้ามีปราณธาตุอัคคีไหนเลยจะเป็นพฤกษาได้ ' จวิ้นเต๋อรีบเก็บแปรเปลี่ยนยุทธภัณฑ์ของตนเป็นพัดถือทันทีก่อนที่จะทำใจให้สงบปลดปล่อยพลังปราณและลองเดินพลังลมปราณพร้อมกับปราณธาตุในทันที
ครึกกกกก …. ครืนๆๆๆ
การกระจายตัวของพลังปราณที่ถูกปลดปล่อยออกมาแทบทั้งหมด มันกระจายรัศมีกว้างไม่ต่ำกว่าสิบกิโลเมตร เหล่าสัตว์อสูรน้อยใหญ่ที่สัมผัสถึงพลังปราณที่หนักหน่วงในระดับเช่นนี้เพียงการสัมผัสก็ทำให้พวกมันตื่นกลัวจนต้องหนีตายแล้ว
"อั๊กกกก ท่าอ๋องหยุ…… " จวิ้นเต๋อมองไปยังที่มาของเสียงที่ตอนนี้มีเพียงหานกู่ที่ยังครองสติอยู่ได้ แต่หานหลี่นั้นสลบลงไปแล้ว ความกดดันระดับผู้นิราศนั้น แน่นอนว่าเพียงผู้ฝึกปราณขั้นสูงคงไม่สามารถทานทนได้ หานหลี่แทบจะตกตายในทันทีหากไม่ได้หานกู่ช่วยเอาไว้
"ข้าขอโทษ รับโอสถนี้ไป .. " จวิ้นเต๋ออดที่จะตกใจไม่ได้ ไม่คิดว่าพลังของเขาจะมากมายเพียงนี้ แค่เเรงกดดันก็ทำเอาระดับปราณนภายังไม่อาจยืนต่อหน้าได้ และดูเอาเถิดผลงานของเขา ในกำไลมิติของเขามีโอสถมากมายที่เขาพอหลอมมันได้
'พลิกกายาคืนสู่สวรรค์ ' โอสถระดับสูง ที่มีความบริสุทธิ์เต็มสิบส่วน
***** ระดับโอสถ****
โอสถระดับต่ำ
โอสถระดับกลาง
โอสถระดับสูง
โอสถระดับภิภพ
โอสถระดับนภา
โอสถระดับสวรรค์
โอสถระดับตำนาน
คุณสมบัติของมันนับว่าเป็นโอสถที่มีความสามารถมาก เพราะมันสามารถรักษาอาการบาดเจ็บ และช่วยฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วไม่เชื่อก็ดูด้วยตาตนเองเถิด ตอนนี้ทั้งสองต่างลุกขึ้นมานั่งพร้อมโคจรปราณซับพลังของโอสถอย่างเร่งรีบ เสียงของเส้นลมปราณดังลั่นไปทั่ว การซ่อมแซมที่ว่องไวเช่นนี้หาไม่ได้ที่ใดอีกแล้ว
"ข้าต้องขออภัยด้วย ข้าลืมไปว่าพวกเจ้ายังอยู่ที่นี้ ข้าเลยยย.. " จะบอกว่าทดลองเพื่อความแน่ใจก็คงไม่สามารถเอ่ยได้ให้ตนสูญเสียความมั่นใจ แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเขามีสองปราณธาตุในเส้นลมปราณเดียว มันเป็นสิ่งที่ฝืนสวรรค์ไม่น้อยเลย เพราะทุกคนจะสามารถครอบครองปราณธาตุได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น และจะเลือกฝึกวิชาปราณพื้นฐานตามพลังของปราณธาตุซึ่งตัวเขาเองก็เช่นกัน
จวิ้นเต๋อฝึกวิชา ''จักพรรดิ์หยางศักดิ์สิทธิ์" ซึ่งผู้ฝึกยิ่งมีพลังหยางในกายมากเท่าใดยิ่งเพิ่มความเเข็งแกร่งมากขึ้น ตอนนี้พลังหยางของจวิ้นเต๋อนั้นมีพลังตบะกว่าห้าพันเกือบหกพันปี ไม่นับว่าเป็นเรื่องเล่นๆเลย เพียงการที่เขาตื่นขึ้นมาลำดับเทพยุทธอาจสั่นคลอนก็เป็นได้
"หามิได้ขอรับ เป็นพวกเราที่ผิดที่ผิดเวลาเองขอรับ " ถึงจะตกใจในระดับพลังที่รับรู้แน่นอนว่าหานกู่นั้นมั่นใจมากว่าระดับของอ๋องศักดิ์สิทธิ์ไม่ต่ำกว่าระดับราชาสวรรค์อย่างแน่นอน เพียงเท่านี้ก็ทำให้อ๋องผู้นี้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยแล้ว
ความจริงจวิ้นเต๋อมิมีความจำเป็นที่จะกล่าวขอโทษข้ารับใช้ ไม่นับที่เขามีฐานะเป็นอ๋องศักดิ์สิทธิ์เพียงฐานะองค์ชายเขาก็ไม่มีความจำเป็นแล้ว เช่นนี้เองที่ทำเอาหานกู่เเละหานลี่ถึงกลับลืมอาการบาดเจ็บลุกขึ้นมากล่าวขออภัยแทน
สามเดือนผ่านไป……
สถานที่ที่เงียบสงบของตำหนักพยากรณ์ต่างเปลี่ยนไปตอนนี้สภาพของมันเปลี่ยนไป ตำหนักไม้หลังหนึ่งถูกปกคลุมด้วยเหล่าบุปผาหายากพร้อมยังส่งกลิ่นหอมที่สงเสริมพลังปราณอีก ช่างเป็นบุปผาที่มีประโยชน์มากมายจริงๆแต่ที่มันเบ่งบานอย่างมิขาดสายคงเป็นเพราะเจ้าของตำหนักที่ขยันฝึกปราณจนเผลอปลดปล่อยพลังปราณธาตุพฤกษามากมายเช่นนี้ไม่ต่างจากสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ที่จำศีลเลยและเผลอเลอปลดปล่อยมันออกมา แน่นอนว่าปราณพวกนี้มีผลอย่างมากเพราะมันเป็นปราณส่วนเกินที่ผู้อื่นสามารถดูดซับได้
"ท่านอ๋องขอรับ ท่านจะนั่งอยู่เช่นนี้อีกนานเท่าใดขอรับ ท่านอยากเสวยสิ่งใดเป็นพิเศษหรือไม่ขอรับ " สิ่งที่จวิ้นเต๋อทำในตอนนี้คือการทบทวนวิชาต่างๆที่ตนล่ำเรียนมาตั้งแต่ครายังเป็นท่านชายศักดิ์สิทธิ์ศาสตร์ทุกอย่างที่สาบสูญถูกทำให้หวนกลับมาอีกครั้งด้วยตำราที่แม้แต่หานกูยังอ่านไม่ออก มันไม่ใช่อักษรโบราณแต่อย่างใด เเต่มันเป็นลายมือการเขียนพู่กันของผู้ที่กำลังอ่านมันเพื่อทำความเข้าใจ
"ข้าถามเจ้าหน่อยซิหานกู่ ว่าเทศกาลหลงจันทร์ ผู้ใดเป็นผู้ติดต่อสวรรค์ทำนายชะตาของจักรวรรดิกันในตลอดพันกว่าปีมานี้หากไม่มีตำหนักพยากรณ์ " จวิ้นเต๋อสงสัยเล็กน้อยเพราะเทศกาลนี้เป็นหน้าที่ของท่านชายศักดิ์สิทธิ์จะเสี่ยงทายเท่านั้น
"หามิได้ท่านอ๋องพวกเขาไม่มีผู้นำคำพยากรณ์พวกเขาเซ้นไหว้สวรรค์เท่านั้นไม่ทำสิ่งอื่นใด " จวิ้นเต๋อพยักหน้ารับรู้และก็ก้มหน้าอ่านทบทวนต่อ ทึกครั้งที่ท่านอ๋องทรงสงสัยสิ่งใดก็จะเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยถามอย่างเป็นกันเองสร้างความสนิทสนมจนพวกเขาไม่ประหม่าที่จะพูดคุนกับท่านอ๋อง ครั้นเสนอจะตามเหล่าทาสรับใช้กลับมาก็ไม่อนุณาต บอกว่าเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว เอาจริงๆจะเพียงพอได้อย่างไร อดีตอ๋องศักดิ์สิทธิ์มีองครักษ์นับร้อยยังถูกรอบสังหารได้เลย
"ข้าว่าข้าอยากอาบน้ำตกผานกู่ มันยังมีอยู่หรือไม่ " ในที่สุดท่านอ๋องของมันก็คิดที่จะเสด็จออกไปจากที่นี้เสียที ถึงจะเพียงเที่ยวเล่นก็ยังดี การแต่งตัวของท่านอ๋องศักดิ์สิทธิ์นั้นยังคงรักษาระเบียบแบบแผนการแต่งตัวที่มิดชิดอย่างเด่นชัด ผ้าไหมงดงามที่ปกคลุมตั้งแต่ศรีษะจรดปลายเท้ามองเห็นเพียงดวงตาสีทองที่ตรึงหัวใจใครหลายคนให้หวั่นไหว แถมรอบกายยังเป็นที่รักของเหมยหิมะอีก ความหอมของดอกเหมยหิมะกลายเป็นกลิ่นหอมประจำกายของท่านอ๋องผู้นี้ไปแล้ว
ความบริสุทธ์ของปราณธาตุพฤกษาของจวิ้นเต๋อนั้นดึงดูดแม้แต่ละอองเกสรของเหล่าบุปผา แน่นอนความหอมหวนของดอกไม้งานติดกาย เสื้อผ้าอาภรณ์ล้วนได้กลิ่นเช่นนี้นับว่าเป็นสิ่งที่ยิ่งเพิ่มมนต์คลังและความสูงส่งยิ่งขึ้นไปอีก
"หานหลี่เจ้าดูจะพัฒนาขึ้นมากทีเดียวดูเจ้าซิมาถึงระดับปราณจิตแล้ว อีกไม่นานคงถึงปราณภิภพ วันนี้ข้าจะทดสอบพวกเจ้า หากสามารถติดตามข้าทัน ดูเอาเถิดการพัฒนาท่าร่างท่วงทำนองชมบุปผาตลอดสามเดือนของพวกเจ้าเป็นเช่นใด

เจ้าเป็นใคร

ตอน….เจ้าเป็นใคร.
ภาพติดตาพร้อมกับกลิ่นหอมที่ฟุ้งกระจายไปทั่วด้วยการสบัดตัวทำให้ทั้งสองข้ารับใช้ตำหนักพยากรณ์ต้องเร่งรีบติดตาม น้ำตกผานกู่ที่ว่าอยู่เยื้องไปทางทิศตะวันออกอยู่ในเขตแดนของจักรวรรดิหลงอู่ และยังเป็นสถานที่ ที่มีทิวทัศน์แสนงดงามตรึงตาตรึงใจ เป็นสถานที่ที่เหล่าชนชั้นสูงและเชื้อพระวงศ์ต่างคุ้นเคย
"ฝ่าบาทการประภาสครั้งนี้จะให้หม่อมฉันตามเสด็จพระองค์ถึงน้ำตกผานกู่ไหมเพคะ ได้ยินมาว่าที่นั้นงดงามหม่อมฉันเองก็อยากเห็นสักครั้งว่าจะสมคำล่ำลือหรือไม่ " เสียงของสตรีวัยแรกแย้มที่มีความงามราวกับบุปผาที่รับฤดูใบไม้ผลิ ความงามของนางไม้น้อยไปกว่าเหล่าเครื่องประดับที่หรู่หราของนางเลย และยังอาภรณ์ที่ดูจะขัดกับสถานที่เช่นนี้พอควร
"สนมตี้ช่างออดอ้อนฝ่าบาทเสียจริง ดูอาภรณ์ของสนมตี้คงไม่อาจไปถึงน้ำตกผานกู่โดยง่าย จะทำให้อารมณ์สุนทรีของฝ่าบาทหมดไปมากกว่า " เสียงของสตรีอีกผู้ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่ากันเลย ถึงนางจะตำหนิอาภรณ์ของอีกฝ่าย แต่อาภรณ์ของนางก็พะรุงพะรังเช่นกัน แต่ต่างกันตรงที่นางไม่ใคร่อยากตามเสด็จเท่าใดนัก ใครจะอยากเดินทางไกลกันครั้นจะให้นั่งรถม้า หรือจะให้ใช้พลังปราณในการเดินทางก็สิ้นเปลืองไม่น้อยเลย
"สนมหนิงท่านก็กล่าวเกินไป อาภรณ์ของข้าตัดเย็บโดยช่างอาภรณ์ตระกูลหัว พวกเขามีความละเอียดพอ อาภรณ์ของข้าทนทานแน่นอนท่านไม่ต้องห่วง จะให้ข้าสังหารสตรีปากมากแถวนี้ยังได้เลยแน่นอนว่าอาภรณ์ของข้าจะไม่ขาดแม้เเต่น้อย.!!! " เสียงที่ออเซาะอ่อนหวานหายไปจนสิ้น มีแต่น้ำเสียงที่เหน็บแนมแทน และตอนนี้สายตาของพวกนางแทบจะเข้าสังหารกันจริงๆอยู่แล้ว
"พวกเจ้าไม่ต้องตามเสด็จทั้งคู่นั้นเเหละ ข้าอยากไปคนเดียว ให้ขันทีอาวุโสและท่านแม่ทัพตามไปก็พอเเล้ว คนอื่นก็รั้งรอที่นี้ก็แล้วกัน " แน่นอนว่าในจักรวรรดิของเขาไม่อาจมีสิ่งใดที่ทำให้เขาหวาดกลัวได้ สายเลือดมังกรอย่างหลงอู่ จะยังต้องหวั่นเกรงสิ่งใดอีก
ใบหน้าที่ติดไปทางคล้ำแดดเล็กน้อยแต่ก็ยังมองเห็นคิ้วหนาชัดเจน จมูกก็คมสันรับกับแสงตะวันที่สาดเทลงบนใบหน้าของบุรุษที่นับได้ว่าเป็นที่หมายปองของเหล่าสตรีนับล้าน หรือสตรีทั่วทั้งจักรวรรดิหลงอู่ก็ว่าได้ นามของเขาคือ หลงอู่ชิงหวิน หรือจักรพรรดิหวินเจิ้งแห่งราชวงศ์หลงอู่ อายุเพียงหนึ่งพันปีแต่กลับมีระดับอยู่ในขั้นราชาสวรรค์ขั้นเก้า อีกเพียงไม่กี่ก้าวจะเข้าสู่ระดับจักรพรรดิสวรรค์แล้ว
ความเบื่อหน่ายในตัวของพระสนมทำให้ฮ่องเต้พระองค์นี้เลือกที่จะเสด็จขึ้นเขาผานกู่เพื่อชื่นชมธรรมชาติเพียงลำพัง
"อ่ะ!! ท่านอ๋อง ท่านจะทำเช่นนั้นมิได้นะขอรับ.. " เสียงเอ่ยทัดทานของข้ารับใช้อย่างหานกู่ที่ตอนนี้หน้าถอดสีไปแล้วเมื่อพบว่า อ๋องศักดิ์สิทธิ์แห่งตำหนักพยากรณ์กำลังจะลงแช่น้ำ ที่น้ำตกผ่านกู่ การทำเช่นนี้เป็นการกระทำที่ไม่มีความมิดชิดเอาเสียเลย
ฉีหลินจวิ้นเต๋อ ในตอนนี้นิสัยของเขานั้นแต่งต่างไปจากเดิมค่อนข้างมาก อาจเป็นเพราะความทรงจำในตอนที่เขาเป็น 'เต๋อ' จะมีอิทธิพลต่อตัวเขามากที่สุด ความเรียบง่ายความลำบากที่ผ่านมาทำให้เขาเลือกที่จะมีความสุขในสิ่งที่อยากจะทำมากกว่าที่จะมาคอยระวัง เขาเป็นบุรุษไหนเลยจะเกรงกลัวการเปลื้องผ้ากัน ถึงจะบอกว่ามันผิดกฎ แต่ใครกันเป็นผู้กำหนดในเมื่อตอนนี้เหลือเขาเพียงผู้เดียวเท่านั้นไม่มีใครอื่นอีก
เหล่าสัตวอสูรเองเมื่อสัมผัสการมาถึงของผู้ยิ่งใหญ่พวกมันล้วนหนีหายไปจนหมดสิ้นเหลือไว้เพียงน้ำตกที่เวิ้งว้างตรงหน้า ความงดงามของธรรมชาติที่ได้เห็นทำให้ อ๋องจวิ้นเต๋อเผลอผ่อนลมหายใจอันอ่อนโยนออกมา ความบริสุทธิ์ของอากาศและความงดงามของทิวทัศน์ทำให้จิตใจของเขาล่อยล่องไม่ต่างจากร่างกายที่ล่องลอยในกระเเสธาราเช่นกัน
"หานหลี่เจ้าไปเฝ้าทางขึ้นเอาไว้ ไม่ว่าผู้ใดขึ้นมาจงน้อบน้อมและกล่าวว่ามีผู้ใช้งานน้ำตกนี้อยู่ขออภัยพวกเขาด้วย " ถึงจะดูว่ามันผิดกฎแต่ถามว่ากฎถูกกำหนดโดยผู้ใดบอกได้เลยว่า 'อ๋องศักดิ์สิทธิ์' ภาพความผ่อนคลายของท่านอ๋องผู้นี้ทำให้หานกู่มองเเล้วสบายใจความง่ายๆไม่เจ้ายศเจ้าอย่างเช่นเชื้อพระวงศ์ทั่วๆไป ความเป็นธรรมชาติของนิสัยใจคอ ช่างดีจริงๆ และเหมาะสมกับคำว่าท่านชายศักดิ์สิทธิ์จริงๆ
"เจ้าเป็นใครเด็กน้อยกล้าดียังไงมาขวางทางเรา ถอยไปเสีย" เสียงตะคอกด่าของชายชราที่มีใบหน้าที่ดุดัน เขาเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของจักรวรรดิ์หลงอู่ จะมาถูกเด็กที่ระดับพลังปราณเพียงเท่านี้บอกให้หยุดได้เช่นไร และถึงนายมันจะเป็นเชื้อพระวงศ์มาจากที่ใดแต่ยังไงเสียตรงหน้านี้คือฮ่องเต้ หาใช่ใครอื่น
ใบหน้าที่ดูหน่ายใจของฮ่องเต้หนุ่มเพราะเพียงอยากพักผ่อนเล็กน้อยหากต้องเห็นการฆ่าฟันคงไม่สนุกเป็นแน่ และดูจากการแต่งกายของข้ารับใช้ผู้นี้ก็ดูคุ้นตาอยู่บ้างคงเป็นคนของอาราม แต่…..
" เจ้าเป็นข้ารับใช้ตำหนักพยากรณ์เช่นนั้นหรือ แล้วเหตุใดถึงมา..อ้อเจ้าคงตามรับใช้นายใหม่แล้วแต่เหตุใดยังใส่ชุดของตำหนักพยากรณ์อยู่อีก แต่ก็ช่างมันเถอะหลีกทาง เราจะเพียงมองดูทิวทัศน์จากทางด้านโน้นเท่านั้น " ถึงจะบอกให้หลีกแต่ก็ไม่ได้รั้งรอแต่อย่างไร หลงอู่ชิงหวินเดินเลยผ่านไปอย่างไม่ใส่ใจเท่าใดนัก เพราะดูๆไปข้ารับใช้เหล่านี้ทำไปตามหน้าที่เท่านั้น
"เดี๋ยวก่อนท่าน ท่านจะไปด้านโน้นจริงๆนะ หากเป็นเช่นนั้นก็ขอเชิญท่าน แต่หากจะไปทางธารน้ำตกคงไม่ได้เพราะตอนนี้นายของข้าต้องการความเป็นส่วนตัว " เสียงเล็กๆของเด็กหนุ่มคล้ายคิดสิ่งใดออก หากตะขึ้นไปชมทิวทัศน์ของน้ำตกล่ะก็ เพียงขึ้นไปบนผาหินก็จะสามารถมองเห็นน้ำตกได้แล้ว และมันยังอยู่คนล่ะทางที่ท่านอ๋องของเขาอยู่
"บัง… " แต่ยังไม่ทันที่ขันทีเหลียนจะเอ่ยสิ่งใด ฮ่องเต้หนุ่มก็หยุดคำล่าวของเขาเอาไว้เสียก่อน เพราะไม่อยากที่จะถือสาเอาความมากมาย ถึงอยากจะเอาความเด็กน้อยผู้นี้ก็คงตายเป็นร้อยครั้ง
"ช่างเถอะ พวกเราไปกันเถอะ ข้าไม่อยากเสียเวลาอีก …. " ตรัสเพียงเท่านั้นก็เดินออกหน้าในทันทีเพร่ะไม่อยากที่จะต่อความให้มากอีกอย่างฐานะเช่นนี้ก็ไม่ควรเปิดเผยปล่อยให้นักบวชเหล่านั้นชะล้างร่างกายให้สะอาดเสียเถิด
นักบวชที่คนเหล่านั้นกำลังเอ่ยถึงตอนนี้นั้นกำลังสนุกสนานกับการว่ายน้ำไปมาภายในอ่างหยก ที่เรียกว่าอ่างหยกเพราะน้ำตกผานกู่มีอ่างรองรับน้ำจากด้านบนที่มีขนาดใหญ่และน้ำในอ่างยังมีสีเขียวคล้ายหยกเขียว ผิวกายขาวผ่องมีประกายอ่อร่าสีทอง เวียนว่ายในอ่างหนกยิ่งทองยิ่งความความรู้สึกสุขใจ คงไม่มีอื่นใดงดงามเท่านี้อีกแล้ว
ผ่านกู่แทบอยากจะมาฉุดรั้งให้อ๋องของตนขึ้นจากน้ำ การที่อ๋องศักดิ์สิทธิ์ออกนอกตำหนักพยากรณ์นั้นหาได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งเพราะการไปมาแต่ล่ะครั้งล้วนสูงส่งราวจักรพรรดิ
"เจ้าบอกคนพวกนั้นหรือไม่ว่าผู้ใดที่ขึ้นมาแช่น้ำที่นี่ "หานกู่รู้สึกพึงพอใจที่หานหลี่ส่ายหัวเเทนคำพูดเพราะหากบอกว่ามีอ๋องศักดิ์สิทธิ์เสด็จมาที่นี้ พวกเขาคงไม่อาจทำใจยอมรับให้เชื่อถือได้ และคงหัวเราะทำร้ายหานหลี่ว่าเป็นคนเสียสติเป็นแน่
"ทิวทัศน์ที่นี้เห็นทีไรก็ทำให้ข้าหวนนึกถึงอดีตจริงๆ เสด็จแม่ของข้าท่านคงชื่นชอบสถานที่เช่นนี้มาจนไม่อยากเสด็จเข้าวังหลวงเป็นแน่ บุปผางามกลางป่าเขาเป็นคำนิยามที่ท่านพ่อเรียกท่านแม่ " ถึงจะเอ่ยเช่นนี้แต่เสด็จแม่ที่เอ่ยถึงก็ไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ถึงผู้คนจะมีอายุยืนยาวนับพันๆปี แต่ก็หาได้อยู่อย่างสุขสบายไม่ ความอันตรายรอบด้านยิ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ยิ่งต้องระวังทุกฝีก้าวที่ย่างเดิน การแก่งแย่งเช่นนี้แม้เเต่ตัวเขาผู้เป็นถึงฮ่องเต้ยังไม่อาจจัดการได้โดยง่าย หากตระกูลใดมีรากฐานที่มั่นคงพอตระกูลเหล่านั้นล้วนหยัดยืนอยู่ได้
ดินแดนผานกู่ถึงจะขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่ของเหล่าผู้ฝึกปรือพลังลมปราณ แต่ก็มีความสงบสุขเสมอมาด้วยการร่วมมือร่วมใจของห้าราชวงศ์หนึ่งอาราม ทุกอย่างล้วนถูกตัดสินโดยตำหนักเทพยุทธพวกเขาเข้ามาจัดการดูแลความขัดแย้งทุกอย่างทำให้เหตุการณ์บ้านเมืองในหกอาณาจักรล้วนเงียบสงบเสมอมา ความเงียบสงบนี้เองเป็นบ่อเกิดของความอ่อนแอ่ ความปลอดภัยมีมากการระมัดระวังตัวก็มีน้อยลง และยังฝึกปรือลมปราณน้อยลงอีกด้วย เพราะประชากรเฉลี่ยของแต่ล่ะจักรวรรดิมีลมปราณเพียงระดับปราณจิตเท่านั้นเอง หากมิใช่ผู้ที่ได้ฝึกปรือในตำหนัก หรือตระกูลยุทธต่างหาผู้มีระดับพลังที่สูงส่งได้ยาก พร้อมกับความหายากของเหล่าสมุนไพรหนุนปราณ หรือแม้แต่เหล่าสัตว์อสูรที่ไม่ใช่จะพบเห็นได้โดยง่าย
ฟิววววว ฉึกกกกก เสียงของลูกธนูที่แหวกอากาศอันเงียบสงบก่อเกิดเสียงกรีดสายลมอันแสบหู แต่มันไม่เป็นไปตามจุดประสงค์ของมันเพราะเป้าหมายตอนนี้ไหวตัวทันเสียเเล้ว ปราณระดับราชาสวรรค์ถูกปลดปล่อยออกมาเพื่อตรวจสอบระดับและจำนวนของผู้ที่คิดจะสังหาร
' จักรพรรดิสวรรค์สอง นอกนั้นระดับปราณราชาสวรรค์สิบคน 'คำกล่าวทางลมปราณที่ถูกเอ่ยขึ้นมาให้ผู้ติดตามทั้งสองได้รับรู้การเสด็จมาที่นี้ไม่ใช่คนภายนอกจะรับรู้ได้ง่าย อย่างน้อยพวกเขาก็น่าจะรู้ว่าผู้ที่พวกเขาคิดจะสังหารคือผู้ใด
"เป็นมือสังหารไม่ผิดแน่พวกมันมีวิชาเร้นกาย " เสียงของแม่ทัพหยางเอ่ยขึ้นมาอย่างเป็นกังวล จะมิให้เป็นกังวลได้อย่างไร ถึงระดับของเขาจะสูงถึง 'จักรพรรดิสวรรค์ ขั้น1 ' แต่ก็คงไม่สามารถต้านเหล่ามือสังหารในเงามืดที่มีระดับปราณราชาสวรรค์ได้ เพราะด้วยจำนวนและเล่ห์เหลี่ยมที่พวกมันไม่เลือกวิธีที่จะสังหาร กระบี่ขนาดใหญ่ถูกชักออกจากฟักพร้อมกับตั้งท่ารับมือการโจมตีในคราถัดไป
ฟิว ฟิว ฟิว ธนูนับสิบดอกถูกปล่อยออกมาอย่างพร้อมเพียงแน่นอนว่าเป้าหมายคือคนที่สวมอาภรณ์สีน้ำเงินครามปักด้วยลวดลายของมังกรวารีผู้โอบอุ้มผืนน้ำอันกว้างใหญ่
แน่นอนว่าเกราะลมปราณนั้นไม่อาจต้านทานอาวุธเหล่านี้ได้นาน แต่ด้วยจำนวนที่มากและประกอบด้วยสถานที่เเห่งนี้เป็นที่โล่งแจ้ง เป็นผาหินที่รอบๆเต็มไปด้วยทิสขพฤกษาหลากหลายชนิดที่ขึ้นปะปนกันอย่างสวยงาม เสียงของทั้งสามเหนือยหอบไปเลยเมื่อพายุของศรเหล่านั้นเลือนหายไป ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไปพวกเขาคงไม่รอดเป็นแน่
'ส่งหินสื่อสารเร็วเข้า อย่างน้อยพวกเราคงต้านได้ทันเวลาที่องครักษ์จะมาถึง เสียงของเหลียนกงกงที่ตอนนี้น่าจะเป็นผู้ที่น่าเป็นห่วงที่สุดเเล้ว เพราะเมื่ครู่เขาถูกลูกธนูเฉี่ยวที่แขนข้างขวาและเป็นดังที่คิด มือสังหารพวกนี้เล่นสกปรก เพราะในศรทุกดอกถูกอาบด้วยยาพิษ
"เจ้ายังไหวหรือไม่ เหลียนกงกง นี่โอสถมันอาจพอบรรเทาอาการของเจ้าได้ เราต้องเร่งไปจากที่นี้ " เสียงของฮ่องเต้หนุ่มดูห่วงใยข้ารับใช้ประจำตัวอย่างถึงที่สุดเพราะตอนนี้มันคือความผิดของเขาเองที่อยากมาเพียงลำพังไม่อยากให้มีองครักษ์มากมายมันจึงกลายเป็นช่องว่างให้ถูกลอบสังหารเช่นนี้ ครั้นจะว่าฝีมือเขาก็พอมีอยู่บ้างแต่ศัตรูเล่ยไม่สื่อพวกเขาไม่ปะทะตรงๆ
"ที่น้ำตกมีคนของอาราม พวกเขาน่าจะมีอยู่หลายคน ยังไงเสียพวกเราไปขอความช่วยเหลือจากพวกเขาเถิด " แม่ทัพหยางเอ่ยขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าตนเองจะลากผู้อื่นมาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ แต่หากชั่งใจความปลอดภัยของนายเหนือหัวล่ะก็คงไม่ต้องคิดให้มากมาย
ปัง ปัง ปัง การวาดกระบี่เกล็ดมังกรวารีเพียงครั้งเดียว ปรากฏคมมีดที่ก่อเกิดขึ้นจับตัวจนกลายเป็นน้ำเเข็งโจมตีออกไปอย่างไร้ทิศทาง เพราะถึงจะจับสัมผัสได้แต่พวกเขาล้วนเคลื่อนไหวไม่อยู่นิ่งๆรอการโจมตี วิชากระบี่เกล็ดมังกรนั้นเป็นวิชาของราชวงศ์หลงอู่ กระบี่ที่สามารถแยกตัวจากหนึ่งเป็นสอง สองเป็นสี่ และทวีจำนวนขึ้นตามความเข้าใจของผู้ใช้ ทุกรังสีกระบี่ล้วนมีพลังปราณที่อัดแน่นของผู้โจมตีและมันยังแหลมคม
"โอกาสนี้ล่ะ ไปกัน…. "เมื่อโจมตีเปิดทางแล้วทั้งสามก็เร่งใช้ท่าเท้าพันเงาออกจากสถานที่แห่งนี้ทันที แน่นอนอยู่แล้วว่าไม่สามารถสลัดคนเหล่านี้ให้หลุดลอยไปได้ เพราะพวกเขาจะติดตามแม้ตนเองต้องตกตาย มือสังหารเหล่านี้หากทำงานไม่สำเร็จล้วนต้องตกตาย ไม่รู้ว่าใครกันถึงลงแรงและทุนมหาศาลเช่นนี้
ใบหน้าที่ลอยปริ่มน้ำ แพขนตากระเพื่อมเป็นบางครั้ง ความผ่อนคายของจวิ้นเต๋อต้องมาจบลงด้วยการสัมผัสพลังปราณฆ่าฟันที่รุนแรง เหล่ามือสังหารหรือแม้เเต่หลงอู่ชิงหวินไม่อาจสัมผัสถึงเขาได้คงเพราะเขาปลดปล่อยปราณธาตุไปตามอารมณ์หาได้กะเกณฑ์มัน ดวงตาสีแดงโลหิตราวกับทับทิมสุกสกาวดั่งดวงธาตุอัคคี การตื่นตัวของจวิ้นเต๋อเร็วกว่าข้ารับใช้ทั้งสองมาก
เสียงของการสู้รบยังคงดังมาเป็นระยะและรู้สึกว่าจะเข้ามาใกล้ตัวเขาไม่น้อย สีหน้าที่ไม่ทุกข์ร้อนทำเอาหานกู่ถึงกับทำสิ่งใดไม่ถูกครั้นจะถามว่าหนีหรือไม่ มันคงเป็นการดูหมิ่นศักดิ์ศรีของนายตนมากเกินไป
"ท่านอ๋อง…" แต่ผู้ที่อดรนทนไม่ได้จนต้องเอ่ยปากก็คือผู้ที่มีวัยวุฒิน้อยที่สุดเป็นผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ในเรื่องนี้เลย ความเกรงกลัวถึงภัยอันตรายในเเววตาของเขาไม่ต้องพูดถึงความคิดอ่านของเขาเลยเจ้าเด็กน้อนหานหลี่กำลังจะฉี่ราดอยู่แล้วตอนนี้
แต่ในตอนนั้นเองปราณธาตุอบอุ่นที่เป็นดังสายน้ำอุ่นโฉลมจิตใจให้เข้าสู่สภาวะผ่อนคลาย สายตาที่หานหลี่หรือแม้แต่หานกู่ที่จ้องมาพวกเขาทั้งสองล้วนขอบคุณ ด้วยระดับพลังปราณที่เหนือกว่าทำให้จิตสังหารของคนพวกนี้รุนแรงจนพวกเขาเองนั้นไม่อาจทานทนได้ เเต่เมืออยู่ข้างกายอ๋องศักดิ์กลับให้ความรู้สึกถึงการอยู่ภายในร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ที่แม้แต่พายุคลั่งก็มิอาจสั่นคลอนความแข็งแกร่งได้
ขลุ่ยหยกปรากฏในมือพร้อมกับพลังปราณที่โคจรเร่งเล้าให้มีความกดดันแผ่ออกไปจนผู้คนที่กำลังมุ่งหน้ามาต้องสัมผัสถึงการมีอยู่ของตนเองได้
แม่ทัพหยางถึงกับชะงักงันเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังปราณที่อยู่ตรงหน้า มันไม่สามารถบรรยายได้เลยว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้านั้นมีระดับขั้นใดและตอนนี้ทำให้เขาไม่มั่นใจเท่าใดนักเพราะหากระปราณเช่นนี้มีเพียงเหล่าผู้เล้นกายเท่านั้นกระมัง
"ขอความกรุณาท่านผู้อาวุโส พวกเราถูกลอบทำร้ายและหมายเอาชีวิตจากมือสังหารชั่วช้าเหล่านี้ " การเตือนโดนการที่ปลดปล่อยลมปราณออกมาให้ผู้อื่นสัมผัสได้นั้นนับว่สเป็นการเตือนที่สุภาพไม่น้อย ทำให้แม่ทัพหยางที่ตอนนี้ดูท่าจะจนตรอกจริงๆต้องฝืนใจสักคราเสี่ยงเข้าไปขอความช่วยเหลือ ฮ่องเต้ยังทรงมีพระชนย์ชีพไม่มากแต่ระดับพลังลมปราณนั้นล้ำหน้าคนในรุ่นเดียวกันไปมาก ทำให้เป็นเป้าหมายในการลอบสังหารเป็นอย่างดรด้วยเกรงอนาคตของคนตรงนี้นั่นเอง สีหน้าที่ซีดขาวของฮ่องเต้หนุ่มมิได้เกิดขึ้นเพราะความเหน็ดเหนือยแต่เป็นเพราะในตอนที่กำลังหลบหนี เหล่ามืงสังหารต่างระดมกำลังกันอย่างเต็มที่เพื่อไร้ล่า ทำให้ลูกดอกอาบยาพิษถูกยิงออกมาอย่างต่อเนื้อง เพราะธนูใช้ได้ลำบากในป่ารก
"หยุดด หยุดอยู่ตรงนั้น พวกท่านขึ้นมาที่ตรงนี้มิได้แล้วอย่าได้เงยหน้าขึ้นมา " ในความเกรงกลัวอยู่นั้นนับว่าข้ารับใช้เก่าของตำหนักเทพพยากรณ์ยังคงมีสติอยู่บ้าง ในฐานะของอ๋องศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถให้ผู้ที่ไร้ความบริสุทธิ์สัมผัสหรือเข้าใกล้ได้ และอีกอยาางห้ามผู้ใดเห็นพักตร์ของอ๋องศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย แต่สำหรับจวิ้นเต๋อ จะเป็นผู้บริสุทธิ์หรือเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์เขาล้วนไม่ให้ความสำคัญ ชาติภพของเต๋อนั้นสอนให้รู้ว่าความดีงามนั้นอยู่ที่จิตใจความโอบอ้อมอารีและแบ่งปันคือความสุขทางจิตใจ

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0

ความเห็น 0

ยังไม่มีความเห็น