โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

โปสเตอร์ 2 ใบกับข้อคิดในวิกฤติหุ้น

Finnomena

เผยแพร่ 28 เม.ย. เวลา 04.43 น. • Dr.Niwes Hemvachiravarakorn

ผมเพิ่งกลับจากการท่องเที่ยวที่ลอนดอนและจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งก็เป็นสถานที่ที่ผมไปมาหลายครั้ง ส่วนใหญ่ก็ไปที่เดิม ๆ ซึ่งก็มักจะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง อังกฤษเองนั้นก็เป็นประเทศและสังคมที่เปลี่ยนแปลงน้อยเพราะเศรษฐกิจของอังกฤษค่อนข้างอิ่มตัวมานานแล้ว สิ่งที่น่าสนใจในอังกฤษก็คือ “ประวัติศาสตร์” ซึ่งบังเอิญเป็นสิ่งที่ผมชอบ ดังนั้นผมก็มักจะไปดูพิพิธภัณฑ์และของเก่า รวมถึงตลาดขายของเก่า และคราวนี้ผมก็ได้เห็นและซื้อโปสเตอร์“เก่า” ที่เขาเอามาทำเป็นของที่ระลึก 2 ใบ เพราะข้อความในโปสเตอร์นั้นให้ข้อคิดเตือนใจที่ผมคิดว่าตรงกับสถานการณ์ของตลาดหุ้นในช่วงนี้ โปสเตอร์ใบแรกก็คือ โปสเตอร์เก่าที่ “ดังที่สุดตลอดกาล” ในอังกฤษ และก็น่าจะดังมากในอเมริกาโดยเฉพาะในช่วงวิกฤติซับไพร์มปี 2009 ในตลาดหุ้นวอลสตรีท ที่มีการพูดถึงข้อความที่เขียนอยู่ในโปสเตอร์ว่า “Keep Calm and Carry On” ซึ่งมีความหมายว่า “ใจเย็น ๆ และ สู้ต่อไป” หรือพูดง่าย ๆ เวลาเกิดปัญหาใหญ่ระดับ “วิกฤติ” จะต้องใจเย็น มีสติ และก็สู้ต่อไป อย่าตกใจและยอมแพ้ แล้วทุกอย่างก็จะดีขึ้น เฉกเช่นที่อังกฤษในช่วงปี 1939 ที่เกิดเหตุการณ์วิกฤติ เกิดสงครามกับเยอรมันในช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งอังกฤษต้องปลุกขวัญกำลังใจให้คนทั้งประเทศเตรียมตัวรับสงคราม และวิธีปลุกใจคนในสมัยนั้นที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งก็คือการทำโปสเตอร์ไปติดทั่วอังกฤษ โปสเตอร์ “Keep Calm and Carry on” เป็น 1 ใน โปสเตอร์ 3-4 แบบ จำนวน กว่า 2.4 ล้านแผ่นที่ถูกทำขึ้น แต่สุดท้ายก็ไม่ได้นำไปใช้ อาจจะเพราะว่ามันฟังดูไม่ค่อยจะเข้ากับสถานการณ์ในตอนนั้น เพราะการรบยังไม่เกิดขึ้นจริง เป็นช่วง “สงครามเก๊” เมื่อเทียบกับโปสเตอร์แบบอื่น เช่น ที่เขียนว่า “เสรีภาพอยู่ในอันตราย ปกป้องมันสุดกำลัง” หรือ “ความกล้าหาญ ความคึกคัก และ ความเด็ดขาด จะนำเราสู่ชัยชนะ” เป็นต้น และในเวลาต่อมาเมื่อการรบเกิดขึ้นจริง โปสเตอร์ Keep Calm ก็ไม่ได้ถูกใช้และถูกนำไปรีไซเคิลเพราะกระดาษในช่วงสงครามจริงขาดแคลน จนเวลาผ่านไปประมาณ 60 ปี คือปี 2000 เจ้าของร้านหนังสือเก่าแห่งหนึ่งไปพบโปสเตอร์นี้เข้า และคงเห็นว่าดี จึงนำไปทำกรอบและแขวนโชว์ที่ร้าน ซึ่งก็ทำให้ลูกค้าจำนวนมากสนใจอยากได้บ้าง เจ้าของร้านจึงไปทำก็อปปี้ขาย และคนก็นิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และแค่ในปี 2009 ปีเดียวก็ขายไป 40,000 ใบ อานิสงส์ส่วนหนึ่งจากภาวะวิกฤติตลาดหุ้น สัญลักษณ์ คำพูด Keep Calm and Carry On บูมมาก และถูกนำไปใช้ในสินค้าและของที่ระลึกอื่น ๆ ตั้งแต่เสื้อยืด ถ้วยกาแฟ หมวก พรมเช็ดเท้าและอื่น ๆ รวมถึงการโฆษณาขายเค๊กและกาแฟ เช่น “Keep Calm and Have a Cup Cake” หรือ “Keep Calm and Have a Cup of Coffee” ว่าที่จริงมีการใช้คำนี้แบบดัดแปลงในการโฆษณาเป็นร้อย ๆ รายการ ตัวอย่างที่ผมเห็นในตลาดของเก่านั้นก็เช่น “Keep Calm and Drink Coca Cola” “Keep Calm and Listen To the Beatles” “Keep Calm and I Love Arsenal” เป็นต้น ว่าที่จริงผมเองก็เคยเขียนในบทความนี้เมื่อ 3-4 ปีก่อน ซึ่งผมดัดแปลงให้เข้ากับสถานการณ์ตลาดหุ้นที่กำลังลงแรงแต่ผมไม่แนะนำให้ขายหุ้นหนีตายว่า “Stay Calm Stay Invested” หรือ “ใจเย็น ๆ ถือหุ้นต่อไป” ผมคิดว่าเหตุผลที่ทำให้คำ ๆ นี้ถูกใช้มากมายส่วนหนึ่งก็เพราะมันสั้นและเสียงมันคล้องจอง คำพูดติดปาก มีความหมายที่ดี และสามารถนำไปใช้กับอะไรก็ได้โดยดัดแปลงเพียงเล็กน้อย ถ้าจะพูดเกี่ยวกับตลาดหุ้นก็อาจจะคล้าย ๆ กับ “Sell In May and Go Away” ที่คนพูดจนติดปากว่า “ขายหุ้นในเดือนพฤษภาคมแล้วก็หนีไปเลย” (เพราะเดือนพฤษภาคมนั้นหุ้นจะไม่ดี--ซึ่งอาจจะไม่จริง) สำหรับวิกฤติหุ้นช่วงนี้ ถ้าคิดว่าเดี๋ยวมันก็จะดี เราก็อาจจะใช้คำนี้ คือ “Keep Calm and Carry On” คือให้ทำใจเย็น อย่าตกใจขายหุ้นทิ้ง ถือหุ้นต่อไปหรือ “สู้ต่อไป” อย่างไรก็ตาม สำหรับผมเอง คราวนี้ผมไม่มั่นใจเท่าไรนัก ถ้าถามผมว่าควรจะทำอย่างไร ผมก็จะบอกว่า “Keep Calm, Keep Cash” คือ “ใจเย็น ๆ มีสติ เก็บเงินสด” นั่นก็คือ ผมไม่ได้ขายหุ้นอย่างตกใจ ผมถือเงินสดที่มีและอาจจะขายหุ้นเพิ่มบ้าง และรอว่าเมื่อหุ้นตกลงไปอีก ผมถึงจะนำเงินสดออกมาเก็บหุ้นที่มีราคาถูกหรือสมเหตุผลในกรณีของหุ้นที่ดีสุดยอดแบบซุปเปอร์สต๊อกที่ราคาลงมามาก โปสเตอร์ใบที่ 2 ที่ผมซื้อเป็นแผ่นโลหะติดแม่เหล็กที่ผมเห็นเมื่อผมไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ “ไททานิค” ที่เมืองเซ้าแทมป์ตัน เมืองท่าสำคัญใกล้กรุงลอนดอนซึ่งเป็นท่าเรือที่เรือไททานิคออกเดินทางไปสู่เมืองนิวยอร์กของอเมริกาของสายการเดินเรือ White Star Line ในปี 2455 โปสเตอร์โฆษณาก่อนการเดินทางเที่ยวแรกที่ประกาศชักชวนให้คนร่วมเดินทาง “ครั้งประวัติศาสตร์” มีภาพเรือไททานิคที่ใหญ่โตพร้อมกับข้อความเขียนว่า “ไททานิค ขนาด 45,000 ตัน เรือกลไฟขนาดใหญ่ที่สุด และปลอดภัยที่สุดในโลก” แถบล่างของโปสเตอร์เขียนว่า ออกเดินทางเที่ยวแรกวันที่ 10 เมษายน 1912 สู่มหานครนิวยอร์ก จากเมืองเซ้าแทมป์ตัน และ ก็อย่างที่เรารู้กัน ไททานิคจมลงหลังจากออกเดินทางได้เพียง 4-5 วัน ในวันที่ 14-15 เมษายน เมื่อเรือชนภูเขาน้ำแข็งกลางทะเลพร้อมกับผู้โดยสารที่เสียชีวิตประมาณ 1,500 คน “ข้อเตือนใจ” สำหรับผมก็คือ “หายนะ” นั้น เกิดขึ้นได้เสมอแม้จะคิดว่าเราอยู่ในที่ที่“ปลอดภัยที่สุด” ใครจะไปคิดว่าเรือที่ออกแบบมาอย่างดีสุดยอด ใหญ่ที่สุดในโลก โดยเทคโนโลยีที่ดีที่สุดของอังกฤษซึ่งเป็นมหาอำนาจทางเรือ “อันดับหนึ่ง” ของโลกในช่วงนั้น พร้อม ๆ กับกัปตันเรือ “หมายเลข 1” ในยุคนั้น ซึ่งคงจะทำให้คนเชื่อว่านี่คือเรือที่“ไม่มีวันจม” จะจมลงตั้งแต่การเตินทางเที่ยวแรก! หุ้นก็เช่นเดียวกัน ไม่ว่าเราจะเชื่อมั่นแค่ไหนว่าพอร์ตของเรา “ปลอดภัย” หรือด้วยการออกแบบที่ลดความเสี่ยงโดยการกระจายความเสี่ยงเป็นอย่างดี ถือหุ้นกระจายไปทั่วทุกตลาดหรือทั่วโลก หุ้นที่ถือก็เป็นหุ้นที่ดีมีส่วนเผื่อความปลอดภัยสูง ไม่มีการใช้มาร์จินในการลงทุน และเราคิดว่า ยังไงเสีย การขาดทุนก็ไม่น่าจะเกิน 20-30% ในกรณีเลวร้ายที่สุด เราก็ยังจะต้องระมัดระวังอยู่ดีว่า ยังมีโอกาสที่พอร์ตจะเกิด “หายนะ” ระดับ “ไททานิค” ได้ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ การ “กระจายความเสี่ยง” โดยการถือหุ้นหลาย ๆ ตัวนั้น จริง ๆ สามารถลดความเสี่ยงได้เฉพาะความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากหุ้นแต่ละตัวเท่านั้นกรณีที่เราเลือกหุ้นผิด แต่มันจะไม่สามารถลดความเสี่ยงได้ถ้า“ทั้งตลาดล่มสลาย” ซึ่งกรณีแบบนั้น “ไม่มีหุ้นตัวไหนหรือใครรอด” สำหรับคนที่ลงทุนแบบ Focus หรือทั้งพอร์ตและเงินแทบทั้งหมดนั้น อยู่ในหุ้นเพียงไม่กี่ตัว หรือเพียงตัวเดียวอย่างเช่น เจ้าของธุรกิจที่มีหุ้นจดทะเบียนในตลาดส่วนใหญ่ ความเสี่ยงของเงินลงทุนก็จะสูงมาก และในความเห็นของผมก็คือ “รับไม่ไหว” โดยเฉพาะในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในช่วงนี้ที่เกิดสงครามการระหว่างมหาอำนาจสองขั้วระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ที่อาจจะเปลี่ยนเกมการค้าของโลกไปอย่างสิ้นเชิง และธุรกิจที่น่าเป็นห่วงที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ คนที่ขายสินค้าส่งออกเป็นหลัก กล่าวโดยสรุปก็คือ “วิกฤติ” รอบนี้ ถ้าเกิดขึ้นเต็มรูปแบบจริง ซึ่งก็อาจจะในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า ผมยังไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วหุ้นจะตกลงมาแค่ไหน และเมื่อตกลงมาแล้ว ราคาหุ้นจะฟื้นกลับคืนมาเมื่อไรในเวลากี่ปีหรือกี่เดือน เมื่อเปรียบเทียบกับวิกฤติรอบก่อน ๆ ที่เราพบว่าหุ้น เมื่อวัดจากดัชนีจะตกลงมาประมาณ 50% และใช้เวลา อาจจะซัก 2-3 ปีที่จะกลับมาที่เดิม ดังนั้น สิ่งที่ผมทำก็คือ ใจเย็น ตั้งสติ เก็บเงินสดไว้ระดับหนึ่งและทยอยเก็บเพิ่มโดยการขายหุ้นที่ยังไม่ได้ตกลงมามากนักในช่วงนี้ เพื่อเตรียมตัวซื้อหุ้นดีที่ตกลงมามากเกินไปเมื่อสถานการณ์เศรษฐกิจแย่ลงเนื่องจากสงครามการค้า อย่างไรก็ตาม ผมไม่คิดและไม่หวังว่าผมจะได้กำไรงดงามในยามวิกฤติครั้งนี้ เพราะผมกลัวว่า วิกฤติอาจจะไม่ฟื้นง่ายและอาจจะลากยาวเป็นหลาย ๆ ปีมากโดยเฉพาะถ้าโลกเปลี่ยนจากการค้าเสรีเป็นการค้าแบบปิดกั้นซึ่งจะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งโลกเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น หุ้นก็อาจจะมีแต่ดำดิ่งคล้ายเรือไททานิค ในกรณีแบบนั้น กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...