โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

9 วิธีเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ที่ดีต่อผู้ป่วยโรคแพ้ภูมิคุ้มกันตัวเอง

AKERU

อัพเดต 03 ส.ค. 2562 เวลา 06.02 น. • เผยแพร่ 03 ส.ค. 2562 เวลา 06.02 น.
โรคแพ้ภูมิคุ้มกันตัวเองได้กลายเป็นภาระต่อสุขภาพอย่างมาก …

โรคแพ้ภูมิคุ้มกันตัวเองได้กลายเป็นภาระต่อสุขภาพอย่างมาก มันได้ส่งผลกระทบต่อคนอเมริกันถึง 24 ล้านคน หรือระหว่าง 5-8 เปอร์เซนต์ของประชากรทั้งหมด ความจริงแล้วมีมากกว่า 80 โรคที่จัดอยู่ในกลุ่มแพ้ภูมิคุ้มกันตนเอง และยังคงมีเพิ่มขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง นั้นรวมไปถึงอาการเจ็บป่วยอื่นอย่างโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis), โรคลูปัส หรือSLE, โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple sclerosis), โรคสะเก็ดเงิน (psoriasis), โรคแพ้กลูเตน (Coeliac Disease), และโรคไทรอยด์ พวกมันมักจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มของโรคที่ยากต่อการจำแนก อย่างการอักเสบติดเชื้อ, การบาดเจ็บ, การพองหรือบวม, และความทุกข์ทรมาน

“คำจำกัดความง่ายๆ ของโรคแพ้ภูมิคุ้มกันตัวเองก็คือ เป็นโรคที่ร่างกายมีการโจมตีตนเอง เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของเรา สูญเสียความสามารถในการแยกแยะ ระหว่างเซลล์ที่เป็นของตนเอง กับเซลล์ของผู้รุกราน ทำให้ภูมิคุ้มกันของเราเบนเข็มมาโจมตีร่างกายตนเอง โดยสร้างสารโปรตีนที่เรียกว่า ออโตแอนติบอดี้ (Autoantibody) ซึ่งสารนี้ ทำให้เกิดการอักเสบ และความเสียหายในอวัยวะซึ่งเป็นเป้าโจมตี และหากเป็นอวัยวะที่สำคัญในร่างกายก็อาจทำให้คนไข้สูญเสียชีวิตได้

อาการแรกเริ่มของโรคอาจไม่จำเพาะ คนไข้อาจมีอาการเพียง เหนื่อย เพลีย อ่อนล้าง่าย มึนงง ไข้ต่ำๆ ปวดเมื่อยตามร่างกาย หรือปวดข้อ จนกระทั่งมีอาการที่เริ่มรุนแรงหรือมีอาการแสดงของอวัยวะที่ถูกภูมิคุ้มกันทำลายชัดเจนขึ้นตามมา” (source: absolute-health.org)

image-109

source: absolute-health.org

โดยปกติแล้วโรคนี้จะรักษาด้วยการใช้ยา และในหลายๆ กรณี ยาพวกนี้จะช่วยชีวิต และทำให้ผู้ป่วยได้รับชีวิตแบบเดิมกลับคืนมา แต่มันก็สามารถมาพร้อมกับผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้

Dr. Mark Hyman ผู้เขียนบทความนี้เชื่อว่า ยังมีวิธีที่ดีกว่าในการจัดการกับภาวะภูมิคุ้มกันตนเอง ปัญหาเกี่ยวกับการแพทย์แผนปัจจุบันก็คือ บรรดาแพทย์ไม่ได้ตั้งคำถามง่ายๆ อย่าง “ทำไมร่างกายถึงขาดความสมดุล และพวกเราจะทำอย่างไรให้ความสมดุลกลับคืนมา?”

การแพทย์แผนปัจจุบันมักจะจัดการกับโรคแพ้ภูมิคุ้มกันตัวเอง โดยการใช้ยาที่มีประสิทธิภาพในการกดภูมิคุ้มกัน มากกว่าการค้นหาสาเหตุ

แทนที่จะใช้วิธีนั้น Dr. Mark กลับมองหาสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการมากกว่า โดยวิธีการนี้เรียกว่า สมุทัยเวชศาสตร์ (Functional Medicine) ซึ่งเป็นวิธีพื้นฐานที่แตกต่างกันของการแก้ปัญหาทางการแพทย์ และหนึ่งในนั้นคือการอนุญาตให้แพทย์ตีความต้นกำเนิดของอาการป่วย และพิสูจน์ภาวะผิดปกติทางด้านชีววิทยา ซึ่งนำไปสู่อาการของโรค

Dr. Mark เชื่อว่า เมื่อคุณระบุแหล่งอ้างอิงที่สำคัญและซ่อนอยู่ของการอักเสบได้ คุณจะสามารถรักษาร่างกายได้ สิ่งเหล่านี้อาจรวมไปถึงความเครียด, ภาวะติดเชื้อที่ซ้อนเร้น, แพ้อาหาร, การได้รับสารพิษ, การบกพร่องทางพันธุกรรม, การขาดสารอาหาร, และภาวะลำไส้รั่ว

การค้นหาและการกำจัดต้นกำเนิดของการเกิดโรคแพ้ภูมิคุ้มกันตัวเองต้องใช้การทำงานที่มีการสืบค้น, การลองผิดลองถูก และความอดทน แต่ก็ได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่า

และด้านล่างนี้ก็คือ 9 กลยุทธ์ที่ Dr. Mark มักจะใช้กับคนไข้ของเขาในการมองหาต้นตอปัญหาของพวกเขา

1. เลือกทานอาหารทั้งหมดที่ต่อต้านการอักเสบ

source: www.zmescience.com

ให้ความสนใจกับอาหารต้านการอักเสบอย่าง โอเมก้า-3 จากปลาธรรมชาติ, ผักใบเขียว และขมิ้น หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดการอักเสบเช่น น้ำตาล และน้ำมันข้าวโพด

2. ค้นหาการติดเชื้อที่แฝงอยู่

สิ่งเหล่านี้รวมไปถึงยีสต์, ไวรัส, แบคทีเรีย, และไลม์ (Lyme) แพทย์ทางด้านสมุทัยเวชศาสตร์สามารถช่วยคุณระบุและกำจัดการติดเชื้อเหล่านี้ได้

3. รับการทดสอบโรคแพ้กลูเตน (Celiac Disease) และภูมิแพ้อาหารแฝง

แพทย์ของคุณสามารถใช้ผลการตรวจเลือดในการช่วยวินิจฉัยโรคแพ้กลูเตน ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายของคุณมีปฏิกิริยาของภูมิคุ้มกันต่อการทานกลูเตน

แพทย์สมุทัยเวชศาสตร์ยังสามารถค้นหาโรคภูมิแพ้อาหารแฝง เช่นพวกถั่วเหลืองหรือนม ด้วยการตรวจปฏิกิริยาภูมิแพ้ต่ออาหาร (IgG food)

4. เข้ารับการตรวจหาสารโลหะหนัก

ปรอทและโลหะอื่นๆสามารถเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการแพ้ภูมิคุ้มกันตัวเองได้

5. ซ่อมแซมลำไส้

ประมาณ 60-70 % ของระบบภูมิคุ้มกันของคุณอยู่ภายใต้เยื่อบุเซลล์หนาชั้นหนึ่งในลำไส้ หากพื้นผิวส่วนนี้ถูกทำลาย ระบบภูมิคุ้มกันของคุณจะทำงาน และเริ่มมีปฏิกิริยาต่ออาหาร, สารพิษ, และความบกพร่องในลำไส้ของคุณ

6. ใช้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม

สารอาหารเช่น น้ำมันปลา, วิตามินซี, วิตามินดี, และโพรไบโอติคส์ (Probiotics) จะช่วยลดอาการตอบสนองของภูมิต้านทานของคุณอย่างเป็นธรรมชาติ และยังสามารถพิจารณาอาหารต้านการอักเสบเช่น เควอซิทิน (Quercetin), สารสกัดจากเมล็ดองุ่น,และรูทิน (Rutin)

7. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

effects-excercise-social-anxiety

source: www.learntolive.com

การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเป็นการต้านการอักเสบตามธรรมชาติ คุณไม่จำเป็นต้องไปเข้ายิม, วิ่งบนลู่วิ่ง, หรือเล่นเวทเพื่อรักษารูปร่าง เพียงแค่เริ่มขยับไปรอบๆ บ่อยๆ, ใช้ร่างกายของคุณให้มาก, และสนุกไปกับมัน

8. ฝึกการผ่อนคลายอย่างลึกซึ้ง

healthy-habits-aging-yoga-620x340

source: news.health.com

ความเครียดทำให้ภูมิคุ้มกันของคุณมีการตอบสนองแย่ลง เทคนิคการผ่อนคลายนั้นรวมถึง โยคะ, การหายใจลึกๆ, และการนวด ที่สามารถลดความเครียดและความวิตกกังวล ไปถึงการส่งเสริมการผ่อนคลาย

9. นอนหลับ 8 ชั่วโมงทุกคืน

sleep-clock-sleeping-woman

source: www.health.harvard.edu

การนอนไม่พอ หรือการหลับไม่สนิท สามารถทำลายกระบวนการเผาผลาญอาหารของคุณ ก่อให้เกิดความอยากน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรต ทำให้เราทานมากขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่2 ไปจนถึงโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง การนอนหลับเพียงพอเป็นสิ่งจำเป็นต่อการมีสุขภาพที่ดีมีชีวิตชีวา และต่อต้านการติดเชื้อ

ทั้งหมด 9 วิธีที่กล่าวมานี้เป็นคำแนะนำ Dr. Mark Hyman ใช้แนะนำคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคแพ้ภูมิคุ้มกันตัวเองของเขา ใครที่ป่วยหรือมีคนรอบข้างที่เป็นโรคนี้ก็สามารถนำวิธีการเหล่านี้ไปปรับใช้ได้ แต่ว่าก็ควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวร่วมด้วยเพื่อความปลอดภัยค่ะ

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...