โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

บันเทิง

กว่าจะมาเป็น ลิซ่า Blackpink ไม่ใช่เรื่องง่าย และเหตุผล ลิซ่า อาจไม่ต่อสัญญา YG

สยามนิวส์

เผยแพร่ 27 ก.ค. 2566 เวลา 01.34 น. • ทีมข่าวสยามนิวส์
กว่าจะมาเป็น ลิซ่า Blackpink  ไม่ใช่เรื่องง่าย และเหตุผล ลิซ่า อาจไม่ต่อสัญญา YG
กว่าจะมาเป็น ลิซ่า Blackpink ไม่ใช่เรื่องง่าย และเหตุผล ลิซ่า อาจไม่ต่อสัญญา YG

สะเทือนวงการไปทั่วโลก หลังจากที่มีประแสข่าวว่า "ลิซ่า Blackpink" หรือ "ลิซ่า ลลิษา มโนบาล" อาจจะไม่ต่อสัญญากับทาง YG Entertainment ซึ่งอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ก็ใกล้ถึงเวลาที่ BLACKPINK จะสิ้นสุดสัญญากับทางค่ายแล้ว

เราจะพาทุกคนย้อนกลับไป ว่าจะมาเป็น ลิซ่า แบล็กพิงค์ ไม่ใช่เรื่องง่าย จุดเริ่มต้น ศิลปินฝึกหัดของ YG Entertainment

"ลิซ่า" เริ่มสนใจวงการเคป็อปและอยากเป็นศิลปินเกาหลี ในปี 2553 โดยทาง YG Entertainment ค่ายเพลงชื่อดังของเกาหลีใต้ ได้มาเปิดออดิชันในประเทศไทยเป็นครั้งแรก หลังออดิชั่นผ่านไปไม่ถึงสัปดาห์ YG ยังไม่ติดต่อกลับมา หมอดูเลยทักว่าให้ ลิซ่า เปลี่ยนชื่อจาก ปราณปรียา เป็นลลิษา ในปัจจุบัน หลังจากนั้น 1 สัปดาห์ YG ก็โทรเข้ามา โดย ลิซ่า เป็นเด็กฝึกคนแรกของ YG ที่ไม่ใช่คนเกาหลี

ในโปรเจค YG ออดิชั่น 2010 โดยในปีนั้นมีคนส่งใบสมัครกว่า 4000 คน ซึ่งทาง YG ได้ออกมายอมรับ หลังจากที่ได้เดบิวต์ Blackpink แล้วว่า การมาออดิชั่นที่ไทย ทาง YG ไม่ได้คาดหวังอะไรไว้เลย แต่เมื่อมาเจอกับ ลิซ่า กลับทำให้ทีมงานถึงกับต้องค้นหาประวัติ และเดินทางมาติดต่อตัวเธอเองกับตัว เพราะความสามารถของ ลิซ่า คือสิ่งที่ YG มองเห็นและชอบมากๆ จึงได้เดินทางมาที่ไทย และได้ขอ ลิซ่า ไปเป็น เทรนนี่เกาหลี

ซึ่งหลังจากที่ ลิซ่า ได้เป็นสมาชิกในวง Blackpink ก็ได้มีแฟนคลับ หรือบลิงค์ ที่ชื่นชอบแต่สมาชิกชาวเกาหลี และไม่ได้ปกป้องลิซ่า จึงทำให้เมนของลิซ่าไม่พอใจ และได้แยกตัวออกมาจาก บลิ้งค์ และได้ตั้งกลุ่มที่เป็นแฟนคลับอีกทีว่า ลิลลี่

ซึ่ง ลิซ่า มีกระแสแอนตี้มาตั้งแต่ก่อน เดบิวต์ ถึงความไม่เหมาะสมที่จะให้เธอได้เป็นหนึ่งในเมมเบอร์ของวง Blackpink เพียงเพราะว่าเธอนั้นมาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยไม่สนใจความสามารถของเธอเลย โดยที่เธอได้เดบิวต์ใหม่ๆ เธอได้รับแรงกระแทกจากโซเชียลทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา ที่ไม่ใช่ไทป์ของเกาหลี จึงมีการลากเธอไปด่าตามบอร์ดต่างๆ และชาวเน็ตเกาหลียังได้เอาเรื่องศัลยกรรมมาเกี่ยวข้องด้วย โดยได้มีการเปรียบเทียบหน้าตาของลิซ่า ว่ามีจุดไหนเปลี่ยนไปบ้าง รวมไปถึงยังมีการขุดคุ้นว่า พ่อตัวจริงของลิซ่าเป็นใคร และแม่ของลิซ่าทำอาชีพอะไร ซึ่ง ลิซ่า ต้องอดทนกับคำด่าทอและความแอนตี้จากพวกคนเหล่านี้สูงมาก โดยสมาชิกในวง Blackpink ออกมายอมรับว่า พวกเธอต้องอดทนกับคำพูดของพวกแอนตี้ และต้องไปพบจิตแพทย์บ่อยๆ

นอกจากคำด่าทอทางโลกโซเชียล ลิซ่า ยังเคยโดนด่าต่อหน้ามาแล้ว และยังเคยโดนชนจนแทบล้มประหนึ่งว่าไม่ใช่ศิลปินของค่าย นอกจากการกระทำเหล่านี้จะส่งผลต่อความเจ็บปวดของศิลปินแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อแฟนคลับ ว่าทำไมทางค่ายดูแลศิลปินของเธอแบบนี้ ทั้งๆที่ลิซ่าก็หาเงินมาให้ทางค่ายเหมือนกัน แต่กลับไม่ได้รับการดูแลให้เท่าเทียมกับคนอื่น

ส่วนเรื่องประเด็น Soft power ของลิซ่านั้น ลิซ่าทำมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่พึ่งเริ่มเดบิวต์ โดยลิซ่า ได้นำอาหารไทยให้กับเมมเบอร์ในวงกินกัน ได้นำเสนออาหารไทยผ่านทางสตอรี่ไอจีมาอยู่ตลอด ซึ่งความน่ารักเสมอต้นเสมอปลายของลิซ่า ทำให้แฟนคลับที่รักเธอ ได้ทำการสนับสนุนสินค้าที่ลิซ่าสวมใส่ ไม่ว่าลิซ่าจะโปรโมทอะไร แฟนคลับก็พร้อมสนับสนุน จนกลายเป็นพลังออแกนิกที่สร้างยอดขายอย่างมากมาย จนประธานเกาหลีใต้ผู้ที่อยู่กับวงการเคป๊อปมาตั้งแต่เริ่มต้น ถึงกับบอกว่า ต้องศึกษา ลิซ่า อย่างจริงจัง

โดย ลิซ่า ไม่เคยสนกระแสดราม่า แต่ยังได้ยกเอาความเป็นไทย มาใส่ในเพลง Lalisa ซึ่งเป็นอัลบั้มเดี่ยวของ ลิซ่า จนชุดไทย ได้กลายเป็น Soft power ออกมาสู่สายตาชาวโลก และสร้างปรากฏการณ์ทำลายสถิติโซโล่หญิงสูงสุดของประเทศเกาหลีใต้ โดยมียอดการจำหน่ายจากทั่วโลก 1 ล้าน 3 เเสนอัลบั้ม และมีรายได้รวมทั้งหมดทำเงินไปทั้งสิน 850 ล้านบาท บอกเลยว่าไม่ธรรมดารายได้มหาศาลจริงๆ

ลิซ่า ถือเป็นนักร้องที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา โดย ลิซ่า เป็นเพียง ศิลปิน KPOP แค่ไม่กี่คน ที่สามารถใช้คำว่า ดังระดับโลกได้อย่างเต็มปาก โดย Blackpink มีผลงานที่โดดเด่นเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นงานวง หรืองานเดี่ยว

ล่าสุดเมื่อ ช่วงต้นเดือน ม.ค. 2023 เกิดแฮชแท็ก #LisaLeaveYG ฮือฮาไปทั่วโลก หลังจากที่สื่อต่างประเทศมีรายงานข่าวว่า ค่ายต่างประเทศหลายแห่ง อาทิ ประเทศจีนต่างเสนอราคาเพื่อให้ "ลิซ่า Blackpink" ย้ายจากค่าย YG สำหรับจำนวนเงินที่เป็นกระแสข่าวนั้น สูงถึง 81 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1 แสนล้านวอน ซึ่งถ้าตีเป็นไทยจะอยู่ที่ประมาณ 2.7 พันล้านบาท

YG ขึ้นชื่อเรื่องดองงานเพลง หากย้อนไปตลอดระยะเวลาที่ BLACKPINK เดบิวต์ แม้จะมีผลงานเพลงฮิตติดชาร์จมากมาย แต่นับรวมๆแล้ว เพลงทั้งหมดไม่ถึง 50 เพลง และเคยออกอัลบั้มแค่ 2 ชุดเท่านั้น คือ The Album และ Born Pink ซึ่งไม่สมเหตุสมผลกับอายุเวลาในวงการของวง

สมาชิกในวง BLACKPINK มีความถนัด และความสนใจแตกต่างกัน และนับได้ว่าทรงอิทธิพลระดับโลก ส่งผลให้มีฐานะแฟนคลับเฉพาะตัวอยู่แล้ว รวมถึงทุกคนยังขึ้นแท่น Brand Ambassador ระดับโลก ซึ่งครองอยู่ในมือไปต่ำกว่า 1 แบรนด์

หากค่ายจะทำสัญญาให้อยู่ต่อ คาดการณ์ว่า น่าจะต้องเสนอเงินค่าต่อสัญญากว่า 2 หมื่นล้านวอน หรือ อย่างน้อยประมาณ 500 กว่าล้านบาท

สมมติ หาก BLACKPINK ไม่ต่อสัญญา แต่ยังคงเป็นสมาชิกในวง เฉกเช่นเดียวกับวง GOT7 ที่มี "แบมแบม" เป็นสมาชิก ทุกคนต่างไม่ต่อสัญญากับค่ายเดิม และแยกกันไปอยู่คนละค่าย แต่ยังคงกลับมาจับมือปล่อยเพลงร่วมกัน

อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงข้อสันนิษฐานที่รวบรวมจากข้อมูลข่าวที่เคยเกิดขึ้นทั้งหมด ซึ่งต้องรอทางค่ายต้นสังกัด รวมถึงตัวศิลปินออกมายืนยันข้อเท็จจริงอีกครั้ง

เรียบเรียง siamnews

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0