โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

ตำนาน "โบสถ์ ก. ข. ค." ชาตินิยมในศิลปกรรมไทยประเพณีภาคกลาง

ศิลปวัฒนธรรม

อัพเดต 03 ส.ค. 2567 เวลา 18.02 น. • เผยแพร่ 03 ส.ค. 2567 เวลา 17.57 น.
ภาพปก-โบสถ์

ตำนาน “โบสถ์ ก. ข. ค.” ชาตินิยมในศิลปกรรมไทยประเพณีภาคกลาง

เมื่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม ก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ท่านผู้นำก็โหมกระแส “ชาตินิยม” ในทุกด้าน ที่ก่อให้เกิดการแพร่อิทธิพล “วัธนธัม” ไทยประเพณีภาคกลางไปยังท้องถิ่นในทุกภูมิภาค โดยเฉพาะศิลปกรรมและสถาปัตยกรรม หนึ่งในนั้นคือ “โบสถ์ ก. ข. ค.” ที่รัฐไทยเป็นผู้ออกนโยบายให้แต่ละวัดสร้างโบสถ์ตามแบบที่ส่วนกลางกำหนด

โบสถ์ ก. ข. ค. ถือกำเนิดขึ้นเมื่อราว พ.ศ. 2483 จุดประสงค์เพื่อกำหนดรูปแบบการก่อสร้างโบสถ์หรือวิหารให้กับวัดทั่วประเทศ โดยยึดรูปแบบศิลปกรรมตามแบบแผนสถาปัตยกรรมไทยประเพณีภาคกลาง หรือแบบกรุงเทพฯ มีพระพรหมพิจิตร (อู๋ ลาภานนท์) เป็นผู้ออกแบบ

พระพรหมพิจิตรออกแบบโบสถ์ 3 รูปแบบ คือ แบบ ก. แบบ ข. และแบบ ค. ลักษณะโดยรวมคล้ายกัน คือ ผังอาคารเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า เป็นอาคารทรงเครื่องลำยองแบบจั่ว การประดับตกแต่งอาคารนั้น ส่วนฐานประดับลวดบัวฐานสิงห์ ตัวอาคารประดับซุ้มประตูหน้าต่างทรงบันแถลง และคันทวยรับชายคา ส่วนหลังคาประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ และลายหน้าบัน

แบบ ก. ขนาดใหญ่ที่สุด กว้าง 8.15 เมตร ยาว 23.00 เมตร มีขนาด 7 ห้อง หลังคาด้านหน้าและหลังซ้อน 3 ชั้น ชั้นละ 3 ตับ ออกแบบให้มีมุขยื่นด้านหน้าและหลัง

แบบ ข. กว้าง 7.50 เมตร ยาว 12.70 เมตร มีขนาด 6 ห้อง หลังคาด้านหน้าซ้อน 3 ชั้น ด้านหลังซ้อน 2 ชั้น หลังคาทุกชั้นซ้อน 3 ตับ ออกแบบให้มีมุขยื่นด้านหน้าด้านเดียว

แบบ ค. ขนาดเล็กที่สุด กว้าง 7.00 เมตร ยาว 13.75 เมตร มีขนาด 7 ห้อง หลังคาด้านหน้าและหลังซ้อน 3 ชั้น ชั้นละ 3 ตับ ออกแบบให้มีมุขยื่นด้านหน้าและหลัง แต่มุขยื่นขนาดเล็กกว่าแบบ ก.

เหตุที่ต้องมี 3 รูปแบบก็เพื่อเป็นทางเลือกให้แต่ละวัดสามารถเลือกรูปแบบก่อสร้างได้ตามความเหมาะสม และงบประมาณ

รัฐไทยส่งเสริมโบสถ์ ก. ข. ค. อย่างจริงจังให้วัดทั่วประเทศสร้างโบสถ์หรือวิหารขึ้นใหม่ตามรูปแบบที่กำหนด รูปแบบก่อสร้างถูกนำไปแจกจ่ายทั่วประเทศ รวมถึงมีการตีพิมพ์เผยแพร่ในลักษณะหนังสือเพื่อชักจูง โน้มน้าว หรือกึ่งบังคับให้มีการสร้างด้วยรูปแบบข้างต้นนี้

นอกจากนี้ โบสถ์ ก. ข. ค. ยังถูกออกแบบให้ใช้คอนกรีตเสริมเหล็กเป็นโครงสร้างหลักในการก่อสร้าง ซึ่งคอนกรีตเสริมเหล็กเป็นวัสดุสมัยใหม่ที่กำลังเป็นที่นิยมมากในยุคนั้น นี่จึงทำให้โบสถ์ ก. ข. ค. ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม การก่อสร้างโบสถ์ ก. ข. ค. กลับเป็นการทำลายความหลากหลายทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมของท้องถิ่น

ศาสตราจารย์ ดร.ชาตรี ประกิตนนทการ อธิบายว่า สถาปัตยกรรมไทยประเพณีภาคกลางของรูปแบบโบสถ์ ก. ข. ค. สะท้อนถึงอุดมการณ์ชาตินิยมไทยทางสถาปัตยกรรมในช่วงเวลานั้น ที่เลือกยกย่องรูปแบบสถาปัตยกรรมไทยแบบกรุงเทพฯ เพียงแบบเดียวให้เป็นตัวแทนของชาติและความเป็นไทย ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบตามมาทั้งอาจตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ คือ ความรู้สึกรังเกียจศิลปกรรมของท้องถิ่นว่าไม่สวยงาม และไม่มีคุณค่าทางศิลปะมากพอ

“…’พระอุโบสถมาตรฐานแบบ ก. ข. ค.’ ได้กลายเป็นต้นเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการรื้อถอนพระอุโบสถแบบดั้งเดิมที่ถูกออกแบบด้วยศิลปะท้องถิ่นลงอย่างมากมาย รูปแบบพระอุโบสถฉบับมาตรฐานกลางจากกรุงเทพฯ ของพระพรหมพิจิตรได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความทันสมัยและสวยงามแบบใหม่ในสายตาของชนชั้นนำท้องถิ่นโดยเฉพาะเจ้าอาวาสตามวัดต่าง ๆ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา…แม้หลายวัดจะมีการออกแบบปรับแปลงในรายละเอียดตกแต่งทางสถาปัตยกรรมให้แตกต่างออกไปบ้างตามแต่ละท้องที่ แต่โครงสร้างภาพรวมทางรูปแบบและแผนผัง ก็ยังอาจกล่าวได้ว่ามีกลิ่นอายของงานออกแบบของพระพรหมพิจิตรชุดนี้ผสมอยู่ไม่มากก็น้อย…” ศาสตราจารย์ ดร.ชาตรี กล่าว

ขณะที่ ภูวดล ภู่ศิริ อธิบายว่า รูปแบบศิลปกรรมที่รัฐไทยสนับสนุนในยุคนี้ ไม่มีแนวคิดในเรื่องงานศิลปกรรมของท้องถิ่นแต่อย่างใด มีเพียงรูปแบบศิลปกรรมแบบภาคกลาง หรือรูปแบบศิลปะที่ชนชั้นนำเชื่อว่าเป็นต้นกำเนิดของอาณาจักรไทยอย่างสุโขทัยหรือเขมร ที่เรียกว่าศิลปะแบบลพบุรีเท่านั้น โดยจะเห็นได้ในงานออกแบบสถาปัตยกรรมไทยทั้งหมดของพระพรหมพิจิตร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการของรัฐ ไม่มีงานใดที่อ้างอิงรูปแบบสถาปัตยกรรมของท้องถิ่นเลย

โบสถ์ ก. ข. ค. จึงเป็นงานสถาปัตยกรรมที่สะท้อนรูปแบบศิลปกรรมประจำชาติในยุค “ชาตินิยม” ที่รัฐไทยพยายามสร้างขึ้นได้เป็นอย่างดี แต่ก็เป็นแบบแผนสถาปัตยกรรมไทยประเพณีภาคกลางเท่านั้น ส่วนศิลปกรรมของท้องถิ่นกลับถูกหลงลืม เพราะ “ความเป็นไทย” ในมุมของรัฐไทย คือศิลปกรรมไทยแบบกรุงเทพฯ เท่านั้น

ท่านผู้อ่านลองกลับไปสังเกตโบสถ์วิหารที่วัดใกล้บ้าน ท่านอาจเห็นร่องรอยศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมจาก “วัธนธัม” ในยุค “ชาตินิยม” โดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม หลงเหลืออยู่

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่

อ้างอิง :

ชาตรี ประกิตนนทการ. “พระพรหมพิจิตร กับงานสถาปัตยกรรมไทยใหม่ ในระบอบประชาธิปไตย (จบ)” ใน, มติชนสุดสัปดาห์, ฉบับวันที่ 4-10 กุมภาพันธ์ 2565.

ภูวดล ภู่ศิริ. “งานออกแบบสถาปัตยกรรมของพระพรหมพิจิตร (อู๋ ลาภานนท์) : รูปธรรมแห่งอุดมการณ์ชาตินิยม พ.ศ. 2475-2490” ใน, วารสารวิชาการสถาปัตยกรรมศาสตร์, ฉบับที่ 74 มกราคม-มิถุนายน 2565.

เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 2 สิงหาคม 2565

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ตำนาน “โบสถ์ ก. ข. ค.” ชาตินิยมในศิลปกรรมไทยประเพณีภาคกลาง

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.silpa-mag.com

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0