ข้อมูลเบื้องต้น
ลำดับซีรีส์ของมานาโรบอต
ซีรีส์ ความสามารถทางมานาที่ต้องการ
กลุ่มดาวทั้งแปดสิบแปด/คอนสเตลเลชัน 20-23 (*เทียบเท่าสัตว์ประหลาดแรงก์แพลทินัมระดับต้น)
วีรบุรุษ/ลีเจนดารีฮีโร 24-26 (*เทียบเท่าสัตว์ประหลาดแรงก์แพลทินัมระดับกลาง)
ครึ่งเทพ/เดมิก็อด 27-29 (*เทียบเท่าสัตว์ประหลาดแรงก์แพลทินัมระดับสูง)
เทพปกรณัมไมเนอร์ก็อด 30-33 (*เทียบเท่าสัตว์ประหลาดแรงก์ไดมอนด์ระดับต้น)
เทพปกรณัมเมเจอร์ก็อด 34-36 (*เทียบเท่าสัตว์ประหลาดแรงก์ไดมอนด์ระดับกลาง)
เทพปกรณัมแอนเชียนก็อดตั้งแต่ 37
ป๋ายอวิ๋น
ป๋ายอวิ๋นรู้สึกร่างกายเกิดความเจ็บปวดรุนแรง
เขารู้สึกว่าตนกำลังฝันร้าย ในฝันเขาเห็นโลกหลังยุคโรคระบาด การก่อการร้าย มหาอำนาจเริ่มต้นสงคราม ซากปรักหักพังของเมืองใหญ่
แล้วก็ท้องฟ้าที่ถูกวงกลมสีดำครอบคลุมแผ่ขยายไปทุกทิศทุกทาง
ชายหนุ่มดิ้นรนทุรนทุรายเพื่อเอาตัวรอด ร่างกายเขาเต็มไปด้วยบาดแผล เขาพยายามลากขาที่บาดเจ็บออกให้พ้นรัศมีวงกลมสีดำนั้นให้มากที่สุด
แต่มันมากไม่พอ
วงกลมสีดำกลืนกินเขา ป๋ายอวิ๋นเปล่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือแต่ทุกคนต่างต้องการเอาตัวรอด เขารู้สึกร่างกายตัวเองถูกบีบรัดอย่างรุนแรง จากนั้นก็ฉีกขาด
เป็นเสี้ยววินาทีที่ชายหนุ่มตระหนักถึงความตาย
ความฝันของป๋ายอวิ๋นจบลงเมื่อเขาลืมตาขึ้น ใบหน้าของชายหนุ่มปรากฏหยาดเหงื่อไหลซึมจนศีรษะเปียกโชก ความรู้สึกเจ็บปวดเมื่อครู่คล้ายจริงคล้ายปลอม มือของเขาลูบคลำร่างกายของตัวเองไม่หยุดราวกับว่ามันจะหายไป
สัมผัสของอุณหภูมิอบอุ่นทำให้เขาใจเย็นขึ้น ลมหายใจหอบถี่เมื่อครู่ก็เปลี่ยนเป็นเข้าออกช้าลง หลังจากตั๋งสติได้เขาค่อยรู้ว่าตัวเองยังคงมีชีวิตอยู่
ที่แท้แค่ฝันไปเท่านั้น
ป๋ายอวิ๋นถอนหายใจออกแรงๆ ครั้งหนึ่ง จากนั้นค่อยหันไปมองรอบข้างก่อนจะชะงัก
“นี่มันที่ไหนกัน”
รอบข้างเป็นห้องของใครสักคน พื้นผนังเป็นวัสดุเรียบเงาที่ไม่ใช่ผนังปูนอย่างห้องของเขา เพดานก็เป็นแผ่นขาวขุ่นแปลกประหลาดไม่คล้ายฝ้าเพดานที่เขารู้จักเท่าไหร่ทั้งยังไม่มีหลอดไฟติดตั้งเอาไว้ยังดีที่แสงอาทิตย์ภายนอกทำให้เขาพอมองเห็นพื้นที่รอบข้างได้
ป๋ายอวิ๋นลุกขึ้นจากเตียงนอนค่อยพบว่าห้องเริ่มสว่างมากขึ้น จากนั้นเขาเงยหน้าไปบนเพดานอีกครั้งค่อยรู้ว่าที่แท้แสงสว่างส่องออกมาจากเพดานขาวขุ่นทั้งแผ่น ดูไปคล้ายกับบนเพดานห้องเป็นหลอดไฟทั้งหมดยิ่งเขาขยับตัวมากเพดานแสงสว่างบนเพดานยิ่งสว่างขึ้นราวกับโต้ตอบการกระทำของเขา
ป๋ายอวิ๋นเดินไปหน้าต่าง ที่ตรงนั้นมีม่านกั้นอยู่หลังจากมองหาเชือกหรืออะไรก็ตามที่ดึงม่านนี้ออกไปได้ เขากลับพบว่าม่านหน้าต่างเองก็ตอบสนองความเคลื่อนไหวของตนเช่นกัน เพียงเขายกมือขึ้นใกล้ๆ ม่านหน้าต่างก็ถูกเก็บขึ้นไปตามระดับมือของเขา
ชายหนุ่มหลับหรี่ตาลงเล็กน้อยปรับให้สายตาเข้ากับแสงจากภายนอก จากนั้นภายด้านหน้าทำให้เขาตกตะลึง
มอเตอร์ไซค์กำลังบินผ่านหน้าเขา
หากพูดให้ถูกเป็นบางอย่างที่ดูคล้ายมอเตอร์ไซค์ที่ไม่มีล้อ ด้านบนมีชายคนหนึ่งกำลังขับอยู่ ปัญหาคือมันมันลอยจากพื้นสูงมาก เสื้อผ้าที่ชายคนนั้นสวมใส่ก็เป็นชุดที่เขาไม่ค่อยคุ้นตา ไม่ทราบว่าเป็นแฟชั่นจากประเทศอะไร
ไม่ได้มีมอเตอร์ไซค์บินผ่านเขาคันเดียว ยังมีคันที่สองคันที่สาม มีกระทั่งรถยนต์บินได้หรือพูดให้ถูกมันดูคล้ายกับยานขนาดเล็กลำหนึ่งมากกว่า ป๋ายอวิ๋นค่อยสังเกตเห็นว่าด้านหน้าของตรงมีหลอดกลมสีแดงสะดุดตาลอยเรียงรายกันอยู่ ทำหน้าที่คล้ายกำหนดเส้นทางของพาหนะ
หลังจากนั้นชายหนุ่มทอดสายตาไปไกลขึ้น ตึกรูปทรงแปลกประหลาด มีทั้งเป็นทรงกลมหรือแท่งสูงเหนือพื้นดินเป็นจำนวนมาก แม้ว่าเขาจะเคยอยู่ในมหานครที่ใหญ่ติดอันดับโลกแต่เขาก็รู้สึกว่าเมืองของตนมีตึกสูงสู้ที่นี่ไม่ได้ อยู่ในนี้บ้านสักหลังมองเห็นได้น้อย ส่วนใหญ่แล้วเป็นตึกสูงเสียมากกว่า
พอมองออกไปไกล ป๋ายอวิ๋นค่อยมองเห็นกำแพงสูงสีขาว กำแพงนั่นสูงยิ่งกว่าตึกที่เขาเห็นเสียอีก สูงจนเขาคิดรู้สึกว่าขอบบนมันอยู่เหนือก้อนเมฆ
ชายหนุ่มอ้าปากค้างแล้วค่อยตั้งสติขึ้นมา เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองตื่นแล้วจริงหรือไม่ ที่นี่ไม่ใช่เมืองที่เขาอยู่แน่นอน เมืองที่เขาอยู่นั้น…
ป๋ายอวิ๋นเริ่มรู้สึกปวดหัวอีกครั้ง ความรู้สึกเริ่มรุนแรงขึ้นทีละน้อยจนแทบจะทนทานไม่ไหว
เขาพยายามนึกถึงเมืองของตัวเองแต่ก็ภาพความทรงจำช่างพร่าเลือน จากนั้นเขารู้สึกว่ามีความทรงจำของใครอีกคนเข้ามาแทนที่ เป็นเด็กชายกำพร้าที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่แห่งนี้ เขามองเห็นเด็กคนนั้นกำลังมองมายังตัวเขาเองเช่นกัน
ความทรงจำสลับไปมา จากนั้นป๋ายอวิ๋นเริ่มนึกความทรงจำของตัวเองได้ เขาแน่ใจว่าตัวเองไม่ใช่คนที่นี่ แต่กลับไม่แน่ใจว่าตัวเองไม่ใช่เด็กคนนั้น
จากนั้นความทรงจำของเด็กชายเริ่มพร่าเลือน เขาเริ่มนึกความทรงจำของเด็กชายไม่ออก
ป๋ายอวิ๋นค่อยๆ นั่งคุกเข่าใช้มือยันพื้นเอาไว้ เหงื่อเริ่มไหลออกมาอีกครั้ง ลมหายใจของเขาหอบถี่
จากนั้นเสียงกระดิ่งก็ดังขึ้น
เสียงกระดิ่งปลุกให้ป๋ายอวิ๋นรู้สึกตัวก่อนจะกลับมาหายใจได้อย่างปกติ เสียงนั่นยังดังขึ้นอีกสองสามครั้ง เขาค่อยรู้สึกตัวก่อนจะหันไปมองที่ประตู
มีคนอยู่ตรงนั้น
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนก่อนตรงไปหน้าห้อง ตรงนั้นมีแผ่นสี่เหลี่ยมขนาดมือของเขาอยู่ป๋ายอวิ๋นคิดอยู่ชั่วครู่ก็ประทับมือลงไปบนแผ่นสี่เหลี่ยมนั้นประตูค่อยเลื่อนออกไปด้านข้าง
“นี่มันสายแล้วนะ นายยังไม่อาบน้ำอีกเหรอเนี่ย” เสียงหวานใสดังขึ้นที่เบื้องหน้า สายตาประหลาดใจก่อนจะเปลี่ยนเป็นหงุดหงิดมองมาทางเขา ป๋ายอวิ๋นต้องก้มศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อให้มองดูอีกฝ่าย แต่มองเพียงครู่เดียวก็ตกตะลึง
เด็กสาวตรงหน้าเขาผิวขาวผุดผ่อง ริมฝีบางบางใบหน้างดงามออกไปทางชาวตะวันตก เส้นผมของอีกฝ่ายสีทองเป็นประกายแต่ที่เขาตกตะลึงกลับเป็นใบหูแหลมยื่นออกมาของเธอ
เอลฟ์?
ป๋ายอวิ๋นนึกคำจำกัดความของเด็กสาวตรงหน้าได้ทันที เพียงแต่เขาไม่ได้โต้ตอบกลับไปยิ่งทำให้เอลฟ์ข้างหน้าหงุดหงิดโมโห อีกฝ่ายผลักเขาสองสามทีแล้วบอก “อาบน้ำได้แล้ว เดี๋ยวออกไปไม่ทัน”
“ออก? จะออกไปไหนงั้นเหรอ” ป๋ายอวิ๋นถามกลับตามน้ำด้วยสีหน้ามึนงง
“นี่วันนี้เป็นวันวัดระดับนะ! ป๋ายอวิ๋นนายยังไม่ตื่นดีใช่ไหมเนี่ย” เอลฟ์สาวร้องดังขึ้น
“เธอรู้จักฉันด้วยเหรอ” ชายหนุ่มยิ่งมึนงงกว่าเดิม เห็นอีกฝ่ายขมวดคิ้วเรียวบางนั่นแล้วค่อยรู้สึกว่าเอลฟ์นี่มีคิ้วน้อยไปหน่อยนะ
เห็นอีกฝ่ายเอาหลังมือมาทาบหน้าผากของตนแล้วค่อยถอนหายใจบอก “นึกว่าป่วยเสียอีก ที่แท้ยังสะลึมสะลืออยู่ไปอาบน้ำเถอะ ถ้าช้าฉันไม่รอด้วยนะ”
หลังจากกล่าวจบแล้วหญิงสาวค่อยโบกมือแล้วเดินออกไป
ป๋ายอวิ๋นพกพาความมึนงงกลับเข้าห้องก่อนจะทำตามแต่โดยดี ในห้องของเขายังมีห้องเล็กๆ อยู่ภายในชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าตรงนั้นเป็นห้องน้ำ พอเข้าไปก็พบกับพื้นที่แตกต่างจากพื้นห้องด้านนอก ตรงกลางด้านบนเพดานเป็นรูคล้ายรูของฝักบัว ป๋ายอวิ๋นถอดเสื้อผ้าออกค่อยรู้ว่าชุดที่ตัวเองสวมใส่เมื่อครู่ดูดีกว่าบอกเซอร์กับเสื้อยืดที่เขาเคยใช้เมื่อก่อนมาก เนื้อผ้าบางเบาสวมใส่สบายแต่พอถอดออกค่อยทราบว่าอากาศตอนนี้หนาวเย็นไม่น้อย
ไม่ทราบเพราะเหตุใดแต่ป๋ายอวิ๋นกลับรู้สึกว่าตนใช้งานห้องน้ำได้แม้จะไม่เคยทำมาก่อน ที่นี่ไม่ใช้ก๊อกน้ำแบบที่เขาเคยเห็น ไม่ใช่ถังตักให้อาบ เพียงแต่มีระบบเซนเซอร์ที่ใช้ตรวจจับบางอย่างเพียงแค่เคลื่อนไหวร่างกายน้ำก็ไหลออกมาพอดี
ป๋ายอวิ๋นชอบน้ำร้อนพอประมาณแต่ไม่รู้ว่าน้ำที่ออกมาทราบได้อย่างไร อุณหภูมิกำลังพอเหมาะกับความต้องการของเขา หลังจากเคลิบเคลิ้มไปกับความสะดวกสบายเช่นนี้หมอกไอจากน้ำร้อนลอยสูงขึ้นเกาะตามผนังทำให้รอบข้างพร่าเลือนไปหมด แต่หลังจากอาบเสร็จไอน้ำที่เกาะก็ค่อยๆ หายไปในเวลาไม่นาน
ลมอุ่นโดยรอบค่อยๆ ปรับอุณหภูมิร่างกายหลังอาบน้ำของเขาทั้งทำให้หยดน้ำที่เกาะแห้งลง ผนังห้องน้ำเดิมอยู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นกระจกเงาทำให้เขามองเห็นร่างกายของตัวเองได้
ร่างกายของตัวเอง?
ป๋ายอวิ๋นเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง กระจกเงาตรงหน้ามีร่างกายของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
แต่นั่นไม่ใช่ร่างกายของเขา
ราชการ
ป๋ายอวิ๋นเก็บความสับสนเอาไว้ก่อนจะเดินออกนอกห้อง
“ดีขึ้นแล้วแน่นะ” เอลฟ์สาวมายืนรอที่ระเบียงด้านหน้า พอมองออกไปทิวทัศน์ที่อยู่ตรงข้ามก็เป็นตึกสูงรูปทรงเดียวกัน
“อา…” ชายหนุ่มตอบรับ
“แล้วตกลงจำฉันได้หรือยัง”
“พวกเรารู้จักกันด้วยเหรอ” ป๋ายอวิ๋นทำท่าแกล้งจำไม่ได้เหมือนว่าตัวเองกำล้อเล่นอยู่ อีกฝ่ายจึงหัวเราะแล้วเอานิ้วโป้งชี้เข้าหาตัวเองก่อนจะบอก
“งั้นต้องแนะนำตัวเองก่อนสินะ ฉันชื่อวาวา เป็นเพื่อนบ้านของนาย” เด็กสาวเหลือบมองมาทางเขาแล้วใช้กำปั้นผลักอกทีหนึ่งก่อนจะบอก “ตานายแล้ว”
ชายหนุ่มเบิกตาค้าง เอลฟ์ชื่อวาวาเนี่ยนะฟังดูเหมือนคนจีนเกินไปแล้ว
ฉันชื่อป๋ายอวิ๋น เป็นเพื่อนบ้านของเธอ” ถึงจะสับสนแต่เขายังคงเล่นตามอีกฝ่าย
“ดีมาก งั้นพวกเราไปกันเถอะ”
ป๋ายอวิ๋นเดินตามอีกฝ่ายอย่างว่าง่าย ในใจครุ่นคิดเรื่องราวต่างๆ ไม่หยุด ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ ทันใดนั้นความทรงจำเลือนรางเกี่ยวกับวาวาก็ไหลเข้ามาหาเขา ข้อมูลอย่างๆ ของอีกฝ่ายปรากฏขึ้นในหัวของชายหนุ่มเหมือนกับว่าตนเองรู้จักกับเธอมานานตั้งแต่สมัยเรียนระดับเริ่มต้น
ตั้งแต่สมัยเรียน?
“นายมีเงินพอหรือค่าธรรมเนียมวัดระดับหรือเปล่า” วาวาหันมาถาม
“เอ่อ”
“อาทิตย์ก่อนไม่ใช่ว่าจ่ายเงินค่าโรงพยาบาลไปหรือไง ออกมากลางคันแบบนั้นแล้วบอกว่าสบายเนี่ยไม่ใช่ว่าเงินไม่พอหรอกนะ”
“คือ ฉัน”
ป๋ายอวิ๋นรู้สึกจนมุม เงินที่นี่เป็นยังไงเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำคงไม่ใช่เหรินเมินปี้กระมังแต่ถ้าเอลฟ์ชื่อวาวาได้มันก็ไม่แน่
เอลฟ์สาวถอนหายใจ จากนั้นยกมือซ้ายขึ้นสะบัดออกมาครั้งหนึ่ง หน้าต่างข้อมูลบางอย่างก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ
ตรงนั้นมีข้อมูลประชาชนคร่าวๆ หลายส่วนเป็นภาพเบลอ หลายส่วนไม่มีข้อมูลต่อท้าย ป๋ายอวิ๋นค่อยรู้ตัวว่าตอนนี้พวกเขาไม่ได้ใช้ภาษาจีนกันอยู่ แถมตัวอักษรแปลกประหลาดนั่นเขากลับอ่านมันรู้เรื่องทั้งหมด
“เปิดหน้าต่างข้อมูลของนายมาให้ฉันดูซะดีๆ” วาวากล่าวน้ำเสียงฉุนเฉียว ผิดภาพลักษณ์เอลฟ์ที่สมควรในเย็น สุขุม งดงาม ไปโดยสิ้นเชิง โอเค มีแค่เรื่องงดงามที่เธอไม่ได้ผิดก็แล้วกัน
ป๋ายอวิ๋นไม่รู้ว่าหน้าต่างข้อมูลนี่เปิดยังไง เขาลองทำตามอีกฝ่ายสะบัดมือขวาขึ้นครั้งหนึ่งแต่ไม่มีอะไรปรากฏขึ้น
“ผิดข้างแล้วย่ะ” วาวาเริ่มโมโหขึ้นเรื่อยๆ “วันนี้ฉันอารมณ์ไม่ค่อยดี นายอย่ากวนให้มากนัก”
ชายหนุ่มหัวเราะแห้ง เปลี่ยนไปใช้มือซ้าย ในใจกลับปรากฏความรู้สึกบางอย่างบอกไม่ถูก ราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังเชื่อมต่อกับตัวเองอยู่
ป๋ายอวิ๋นคิดถึงหน้าต่างข้อมูล ทันใดนั้นเหมือนกับบางอย่างตอบสนองความคิดของเขา ด้านบนของมือซ้ายปรากฏหน้าต่างข้อมูลของเขาออกมาจริงๆ
ข้อมูลในนั้นปรากฏขึ้นมามากมาย มีรายละเอียดยิบย่อยหลายหมวดหมู่ มีกระทั้งแฟ้มประวัติการเข้าโรงพยาบาลรวมไปถึงสถิติส่วนตัวของร่างกายในการวิ่ง ว่ายน้ำ กระโดด ต่ออัตราส่วนของแรงดึงดูด อัตราการเผลาผลาญพลังงานและอื่นๆ ให้เขาอ่านชัดเจน
วาวาหันไปมองซ้ายขวา จากนั้นบอก “เปิดให้ฉันดูเงินของนายหน่อย”
“เอ๊ะ”
“ก็ถ้านยไม่อนุญาตฉันก็มองไม่เห็นนี่” วาวาหน้าแดง ความจริงแล้วเรื่องเงินเป็นเรื่องละเอียดอ่อนปกติมีแต่คนที่เป็นครอบครัวหรือไม่ก็แฟนกันเท่านั้นถึงพอจะยอมให้ดูได้ แต่ตอนนี้เป็นกรณีพิเศษนอกเหนือจากนั้นเพียงแต่เด็กสาวก็อดคิดไม่ได้จริงๆ
“เอ่อ ได้สิ” ความทรงจำเลือนรางบอกวิธีการให้กับเขา ป๋ายอวิ๋นทดลองใช้ความคิดออกคำสั่งอีกครั้ง จากนั้นตัวอักษรตรงจำนวนเงินกระพริบขึ้นมาหลายครั้งเขาค่อยเห็นวาวาดูอยู่
“หมดจริงๆ ด้วย” เด็กสาวถอนหายใจ จากนั้นสะบัดมือเล็กน้อยตัวเลขที่หน้าต่างข้อมูลของเขาก็เพิ่มขึ้นเป็นสองพัน
“ฉันแค่ให้ยืมหรอกนะ ค่าธรรมเนียมหนึ่งพันเครดิต ที่เหลือนายเก็บไว้ใช้ก่อนแล้วกันไว้กลับไปทำงานแล้วค่อยชดใช้ให้ฉันทีหลัง” วาวาบอก
ทั้งคู่ลงมาด้านล่างตึกโดยลิฟต์แก้วแปลกๆ ที่ไม่มีเส้นเชือกรับน้ำหนักทั้งด้านบนด้านล่าง หลังจากยืนรอบนถนนไม่นานก็มีรถโดยสารขนาดใหญ่สักหน่อยลอยมาหยุดตรงหน้าพวกเขา แน่นอนว่ามันไม่มีล้อ
หลังจากวาวาหันมาบ่นเมื่อป๋ายอวิ๋นเอาแต่เปิดหน้าต่างข้อมูลเขาจำต้องปิดมันเอาไว้ก่อน แม้ปกติคนจะมองไม่เห็นข้อมูลของผู้อื่นแต่ก็มีพวกมิจฉาชีพที่มีความสามารถสูงเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นได้โดยไม่ต้องขออนุญาต แม้ปิดท้ายเด็กสาวจะบอกว่าอาชญากรรมคงไม่เล็งคนจนๆ เหมือนพวกเขาก็ตาม
“ข้าราชการ ข้าราชการ ข้าราชการ”
ป๋ายอวิ๋นเหล่มองเด็กผู้หญิงที่ชื่อไม่สมกับหน้าตาสักนิด เอลฟ์ที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนรถกุมมือตัวเองเอาไว้บนอกก่อนสวดภาวนาแปลกๆ บางทีที่นี่ยังมีศาสนาอยู่
“ทำอะไรของเธอเนี่ย”
“ถึงตอนนี้ก็มีแต่สวดมนต์ไม่ใช่หรือไง ถ้าหากว่าวัดระดับได้ผลดีฉันจะไปสมัครงานราชการน่ะ” วาวาหันมาคุยด้วย “แล้วนายจะเอายังไง”
“แล้วเธอคิดว่ามันต่างกันยังไงบ้าง” ป๋ายอวิ๋นทำทีเป็นสอบถาม ตอนนี้เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้างหน้าเป็นยังไงต่อ รู้แต่ว่าตอนนี้ตัวเขาเป็นคนที่จนเอามากๆ ขนาดไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าธรรมเนียม
“งานราชการดีกว่าอยู่แล้ว ทั้งมั่นคงทั้งสวัสดิการดี แต่คนต้องการเป็นเยอะแยะจะเข้าไปไม่ใช่เรื่องง่าย”
“เอกชนก็ดีเหมือนกันไม่ใช่หรือไง รายได้ออกจะเยอะแยะ” ป๋ายอวิ๋นลองแหย่เรื่องนี้ดูบ้าง ถ้าความเข้าใจของเขาไม่ผิดเรื่องพวกนี้น่าจะเหมือนกันกับโลกของเขา
“รายได้เยอะแยะนั่นมันจะกี่คนกันเชียว สุดท้ายเข้าสู่ระบบลูกจ้างแรงงาน ไต่เต้าขึ้นอย่างยากลำบากหากบริษัทล้มขึ้นมาก็ได้แต่หน้าหงาย” วาวาชะงักก่อนจะถาม “นายคงไม่ใช่เล็งงานนักสำรวจเอาไว้หรอกนะ”
“เอ่อ ก็”
“เพ้อฝันเกินไปแล้วย่ะ ผลทดสอบรอบก่อนของนายเท่าไหร่กันเชียว นักสำรวจมีโอกาสร่ำรวยก็จริงแต่กว่าจะไปถึงจุดนั้นจะมีคนเหลือสักกี่คนเชียว ส่วนใหญ่ตายก่อนจะรวยกันทั้งนั้น แถมศพถูกทิ้งในดาวอันไกลโพ้นเหลือแต่ข้อมูลชีพถูกส่งกลับมาบอกคนอื่น อาชีพนี้แย่พอๆ นักบินรบของราชการ สบายพันวันแต่เกิดต้องเข้าร่วมสงครามโอกาสตายเก้าในสิบ”
วาวาเริ่มเกลี้ยกล่อมให้เขาล้มเลิก ทั้งแนะนำว่าหากเข้าสู่งานราชการไม่ได้เป็นลูกจ้างก็ไม่เลว แม้ต้องฝืนใจบางอย่างยังดีกว่าเอาชีวิตไปทิ้ง
นั่งรถอยู่นาน ในที่สุดก็มาถึงสบาบันประชาชน
คราวนี้มีห้องเล็กๆ ส่วนตัวสำหรับเข้าคิวรอ ปกติแล้วเข้าไปคนหนึ่งแต่ห้องของป๋ายอวิ๋นกลับมีวาวาอยู่ด้วย คราวนี้เธอไม่ขัดขวางเรื่องการเปิดหน้าต่างข้อมูลแล้ว ทั้งคู่ต่างเปิดหน้าต่างข้อมูลออกมาดู
“อยากจะหลุดพ้นจากรูหนูนั่นชะมัด” นั่งอยู่สักพักวาวาก็เริ่มบ่นที่พักของพวกเขา
“มันก็ไม่เลวร้ายเท่าไหร่นี่”
“หา! นั่นมันเลวร้ายที่สุดของที่สุดในเขตเราแล้วนะ อย่างมากดีกว่าดาวตกสำรวจเท่านั้นแหละย่ะ”
ป๋ายอวิ๋นไม่เข้าใจสิ่งที่เธอพูดมากนัก สำหรับเขาแล้วนี่มันหรูหรามากแต่เมื่อนึกดูว่าคนในโลกของเขาเพียงคนธรรมดาที่มีเครื่องปรับอากาศอยู่ในห้องอาจจะรู้สึกสบายกว่าจักรพรรดิในอดีตก็ได้ก็เริ่มเห็นภาพขึ้นมา
เทียบกับที่นี่เขามาจากสถานที่ด้อยพัฒนาเกินไป
ป๋ายอวิ๋นหัวเราะเบาๆ ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าจะเรียกตัวเองว่าอย่างไร อายุแท้จริงของเขาเกือบจะสามสิบปีแล้วด้วยซ้ำ แต่ร่างที่เขาเห็นเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง หน้าต่างข้อมูลก็แสดงว่าอายุสิบเจ็ดปี อยู่ในวัยที่สมควรเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในโลกเดิม
แต่มาอยู่ที่นี่เป็นวัยที่เริ่มต้นการทำงานแล้ว ที่นี่ทำงานไปเรียนรู้กันไป อายุไม่มากพอมีเรี่ยวแรงมีโอกาสเปลี่ยนสายงานได้ หากเรียนจนแก่ตัวจะทำอะไรก็ลำบากแล้ว หลักสูตรการเรียนการสอนมุ่งเน้นไปทางแสวงหาความเหมาะสมของเด็กเพื่อช่วยกำหนดทิศทางในการทำงานของอนาคต คะแนนผลการเรียนของป๋ายอวิ๋นในหน้าต่างข้อมูลอยู่ระดับกลางๆ เหมาะสมกับเป็นลูกจ้างที่อาจไต่เต้าขึ้นได้เล็กน้อย
เขามองค่าสถานะของตัวเอง
ป๋ายอวิ๋น อายุ 17 ปี เขตการปกครอง แซนเดียรา(นอกกำแพง) ระดับ 5
ความสามารถทางกาย
ความว่องไว 5 (หมายเหตุ ยังไม่ถึงขีดจำกัด)
ความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อ 6 (หมายเหตุ ยังไม่ถึงขีดจำกัด)
ความเร็วในการตอบสนอง 8 (หมายเหตุ ยังไม่ถึงขีดจำกัด)
ความอึด 6 (หมายเหตุ ยังไม่ถึงขีดจำกัด)
สุขภาพ ดีเยี่ยม
ความสามารถทางมานา ระดับ 8
ปริมาณของมานา 240/240 (หมายเหตุ ยังไม่ถึงขีดจำกัด)
ความเร็วในการตอบสนองการใช้งาน 12 (หมายเหตุ ยังไม่ถึงขีดจำกัด)
หลังจากอ่านข้อมูลบางอย่างป๋ายอวิ๋นทราบว่าใต้ผิวหนังในมือซ้ายของเขาฝังด้วยชิปขนาดเล็กที่ทำด้วยวัสดุบางอย่างที่แข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อ นอกจากนี้มันยังตอบสนองโดยตรงกับสารสื่อประสาทของเจ้าของส่งข้อมูลเข้าสู่สมองทำให้ออกคำสั่งได้เพียงแค่ใช้ความคิด
สำหรับมานานั้นเป็นพลังงานที่ค้นพบมานับหมื่นปีแล้ว หลังจากทำการศึกษามานานจนพอใช้พลังงานมานาได้ทำให้เกิดการสร้างอุปกรณ์เพื่อรองรับมานาขึ้นมามากมาย อุปกรณ์เหล่านั้นมีศักยภาพดีกว่าอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานอื่นอย่างเทียบไม่ติด
“มานาของเธอระดับเท่าไหร่” ป๋ายอวิ๋น
“ปกติใครเขาถามของคนอื่นกัน” วาวาตอบแต่ยังมีรอยยิ้มภูมิใจ “ของฉันขึ้นระดับ 4 เมื่ออาทิตย์ก่อนนี่เอง”
ปกติแล้วมีแต่เจ้าหน้าที่วัดระดับทราบข้อมูลเหล่านี้
“อ่อ งั้นเหรอ” ป๋ายอวิ๋นคิดว่าระดับ 4 นี่มันมากแล้วหรือยัง ไหงเอลฟ์สาวนี่ถึงทำหน้าภูมิใจแบบนั้น
“เอาเถอะ ระดับมานาไม่ใช่จะขึ้นมาโดยง่าย พวกในกำแพงเองก็มีมาตรฐานวัดเข้มข้นกว่าพวกเราอีกถ้าฉันไปวัดที่นั่นบางทีอย่างมากก็ได้แค่ระดับสองเองมั้ง” วาวาออกความคิดเห็นและปล่อยผ่าน เธอเพิ่งนึกได้ว่าระดับมานาเป็นคำต้องห้ามของป๋ายอวิ๋น วันนี้อีกฝ่ายต้องตรวจวัดจึงไม่แปลกที่จะพูดออกมา
“แล้วถ้าเป็นราชการนี่ต้องมีระดับประมาณไหน” ป๋ายอวิ๋นถาม
“ขั้นต่ำตอนอายุสิบเจ็ดปีต้องมีระดับ 4 ขึ้นไป ของฉันยังต้องวัดดวงอีกมาก ถ้าพวกอัจฉริยะที่มานาระดับ 5 ขึ้นไปพวกราชการต้องรับเข้าทำงานแน่”
ป๋ายอวิ๋นมองดูหน้าต่างข้อมูลของตัวเองจากนั้นสลับสายตาไปดูเด็กสาวตรงหน้าแล้ว
“งั้นเหรอ”
พรสวรรค์ระดับ 8
หลังจากเหลืออีกสิบคิว ป๋ายอวิ๋นกับวาวาค่อยถูกเรียกให้ไปเตรียมพร้อม
สถานที่ทดสอบศักยภาพเป็นห้องห้องหนึ่ง หน้าประตูมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยควบคุมอยู่คนที่ยังไม่ถึงคิวจะต้องยืนรออยู่ภายนอก ข้อมูลส่วนบุคคลถูกปิดเป็นความลับแต่หากเป็นคนมีพรสวรรค์สูงจะมีเจ้าหน้าที่จากทางราชการมายื่นข้อเสนอ เป็นอภิสิทธิ์เฉพาะรัฐบาลที่จะได้ยื่นข้อเสนอก่อนผู้อื่น หากมีความเป็นไปได้อย่างวาวาเมื่อทดสอบแล้วเจ้าหน้าที่จะไม่ออกมาเอง เพียงแต่ตั้งโต๊ะรอการลงทะเบียนอยู่ด้านข้าง
“อ้าว อ้าว นี่ใครกัน” เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่คนหนึ่งผลักไหล่ผู้อื่นตรงมาหาป๋ายอวิ๋น อีกฝ่ายมีผิวคล้ำใบหน้าเหลี่ยมไหล่กว้างเอวหยาบใหญ่ เห็นแววตาอีกฝ่ายก็ทราบได้โดยง่ายว่ากำลังมาหาเรื่อง
“โจวต้าเอี่ยน นายมีธุระอะไร” วาวาเดินอยู่อยู่ด้านข้างป๋ายอวิ๋นก่อนพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ไม่ใช่ว่าพวกเราเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันหรอกเหรอ ฉันก็แค่มาทักทายเท่านั้น” โจวต้าเอี่ยนหัวเราะในลำคอ ส่งสายตาดูถูกออกมา
“ทักทายเสร็จก็ไสหัวไปได้แล้ว” ฝีปากวาวาร้อนแรงไม่น้อย พูดออกมาไม่มีคำว่าไว้หน้า
“เอาแต่คลุกคลีกับหมอนี่ ไม่กลัวชีวิตตกต่ำหรือไงกัน” โจวต้าเอี่ยนหันมาคุยกับเด็กสาว
“อย่างน้อยเขาก็เป็นคนดี ขยันขันแข็งกว่านายแล้วกัน”
โจวต้าเอี่ยนหัวเราะฮ่าฮ่าแล้วส่ายศีระษะบอก “ขยันกว่าฉันแล้วมีประโยชน์อะไร อย่างหมอนี่จะทำอะไรได้มาก”
หลังจากมานาเข้ามามีบทบาทในชีวิตคน อุปกรณ์ต่างๆ ใช้ประโยชน์จากพลังมานาจำนวนมากคนที่มีพรสวรรค์มากกว่าย่อมเจริญก้าวหน้ากว่าเป็นหลักเหตุผลที่ถูกต้อง หากว่าคนที่พรสวรรค์ต้อยต่ำกว่าคนอื่น ไม่อาจใช้มานาออกมาได้จะถูกจำกัดสิ่งที่ทำได้โดยปริยาย เรื่องเหล่านี้เพียงแค่เล่าเรียนยังไม่เพียงพอ หากขาดประสบการณ์จริงย่อมมองไม่เห็นภาพ
เมื่อก่อนป๋ายอวิ๋นมีมานาเพียงระดับหนึ่งเท่านั้น กว่าจะขึ้นระดับสองก็ตอนอายุสิบเจ็ดปีเข้าไปแล้วเป็นช่วงที่เรียนจบพอดี พรสวรรค์ของชายหนุ่มมีใครบ้างไม่รู้
มีความสามารถแค่นี้อนาคตของป๋ายอวิ๋นถูกจำกัดให้เป็นเพียงคนใช้แรงงาน
การโต้เถียงกับเด็กหนุ่มเป็นเรื่องไร้สาระ ป๋ายอวิ๋นความจริงอายุจะสามสิบปีอยู่แล้วเขาจึงทำเป็นไม่สนใจ
“เสี่ยวป๋าย ทำไมนายถึงไม่พูดอะไรสักหน่อยเอาแต่ให้ผู้หญิงปกป้องแบบนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน” โจวต้าเอี่ยนใช้คำพูดกดศีรษะให้ป๋ายอวิ๋นเป็นคนรุ่นหลังทั้งยังดูถูกเพิ่มเข้าไปอีก
ความจริงแล้วผู้ชายคนนี้อิจฉาป๋ายอวิ๋นที่มีสาวงามอย่างวาวาอยู่ข้างๆ ตลอดเวลาทำให้เขาหมั่นไส้มาโดยตลอด
“หรือว่านายเพิ่งสำนึกตัวได้ถึงได้เงียบอยู่แบบนั้น ตอนนี้พวกเราถึงจุดเปลี่ยนของชีวิตแล้วต่อจากนี้ต้องอาศัยความสามารถของตัวเอง สำหรับนายคงแย่หน่อยนะ”
ป๋ายอวิ๋นเหลือบมองเด็กหนุ่มตรงหน้าก่อนจะเปิดปาก
“โจวต้าเอี่ยน เมื่อกี้แม่นายขับรถมาส่งหรือเปล่า”
“แล้วยังไง”
“ลูกแหง่ชะมัด” ป๋ายอวิ๋นพึมพำเบาๆ ให้ได้ยินไม่กี่คน แต่คนที่ได้ยินกลับหัวเราะอย่างอดไม่ได้
“บัดซบ!” โจวต้าเอี่ยนโมโหขึ้นมา ทำท่าจะลงมือ
“อยู่นี่ห้ามใช้ความรุนแรง” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพูดเสียงดังปรามสถานการณ์ จากนั้นเขาค่อยกล่าวเพิ่ม “โปรดรักษาความสงบ”
แม้จะเป็นเจ้าหน้าที่เล็กๆ แต่ก็เป็นคนจากฝั่งรัฐบาลความสามารถไม่มีทางต่ำกว่าระดับ 4 ยิ่งคนของฝ่ายรักษาความปลอดภัยยิ่งมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ
หลังจากนั้นเสียงเรียกชื่อของโจวต้าเอี่ยนก็ดังขึ้นมา เด็กหนุ่มหันมาสบถใส่ครั้งหนึ่งค่อยตรงออกไปที่ประตูเข้าสู่ห้องวัดระดับ
“นายเปลี่ยนไปนิดหน่อยนะ” วาวาหันมามอง
เด็กหนุ่มชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะถามกลับ “ยังไงงั้นเหรอ”
“เมื่อก่อนไม่เคยเห็นนายตอบโต้สักครั้ง แต่ไม่ได้ดูใจเย็นแบบวันนี้”
“แล้วไม่ดีหรือไง”
“ดีแล้ว เกิดเป็นคนบางครั้งก็ต้องสู้เสียบ้าง” วาวาเงียบอยู่สักพักค่อยบอก “ไม่ต้องห่วงนะถึงผลลัพธ์จะเป็นยังไงฉันก็เป็นเพื่อนของนายเหมือนเดิม”
“อะ…อืม”
ป๋ายอวิ๋นรับคำแบบครึ่งๆ กลางๆ แม้ว่าวาวาจะบอกแบบนั้นแต่ตัวเขาล่ะ ตอนนี้ตัวเขาไม่ใช่ป๋ายอวิ๋นที่เธอเคยรู้จักเสียแล้ว
หลังการทดสอบของโจวต้าเอี่ยน พออีกฝ่ายออกมาก็เดินไปลงทะเบียนเจ้าหน้าที่ราชการ
เด็กหนุ่มหันมามองคนอื่นก่อนจะยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจในหลายสิบคนจะมีสักคนที่มาลงทะเบียนตรงนี้ คนที่ลงทะเบียนได้ย่อมแสดงว่าพรสวรรค์ของตัวเองสูงกว่าคนอื่น
วันนี้ทั้งวันเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่มานั่งรอผลการทดสอบยังไม่เคยลุกขึ้นมาเพื่อยื่นข้อเสนอให้คนอื่นสักครั้ง
เขตซานเดียรานอกกำแพงถือว่าเป็นเรื่องปกติ หากว่าต้องมายื่นข้อเสนอบ่อยเกินไปป่านนี้คงไม่เหลือตำแหน่งงานไปนานแล้ว อันที่จริงหากให้คนด้านในกำแพงทำการทดสอบคงได้เจ้าหน้าที่เป็นจำนวนมากเพียงแต่คนฝั่งในกำแพงส่วนใหญ่ไม่ต้องการออกมาอยู่ในสถานที่ที่ให้ความรู้สึกไม่ต่างกับสลัมแบบนี้ ทั้งที่พักคับแคบ ความแออัด รวมไปถึงคุณภาพชีวิตที่ด้อยกว่าด้านในชัดเจน นอกจากพวกที่แย่มากในกำแพงอย่างแท้จริงบางคนอยู่ไม่ไหวอาจจะยอมรับตำแหน่งนอกจากแพงอยู่บ้าง
วาวาเข้าไปทดสอบแล้วออกมาก็ลงทะเบียนเพื่อคัดเลือกเป็นข้าราชการเช่นกัน
คราวนี้มีเสียงฮือฮาขึ้นมาหน่อย มีคนลงทะเบียนต่อกันสองคนถือว่าเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง
“ป๋ายอวิ๋น!”
เสียงเจ้าหน้าที่เรียกเขา ป๋ายอวิ๋นค่อยเดินเข้าไปยังห้องตรงข้ามเพื่อรับการทดสอบวัดระดับมานา
การทดสอบไม่ยากนัก เพียงแค่ขึ้นไปยืนบนเครื่องจักรที่มีฐานเป็นพื้นเรียบวงกลม จากนั้นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งออกคำสั่งให้ทำงาน ส่วนอีกคนหนึ่งทำหน้าที่จดบันทึกลงฐานข้อมูลของเขต
การจดบันทึกเจ้าหน้าที่ใช้แผ่นสี่เหลี่ยมใสทำหน้าที่คล้ายกับแท็บเล็ต เพียงแต่ไม่ใช่การพิมพ์อักษรแต่เป็นการขยับมือด้วยมุมต่างๆ ให้ความรู้สึกว่ารวดเร็วกว่าพิมพ์ทีละตัวมาก แต่มือของเจ้าหน้าที่จดบันทึกกลับชะงักค้าง จากนั้นหันไปมองเจ้าหน้าที่ควบคุมเครื่องจักรอีกคน
“เครื่องเสียหรือเปล่า”
“ไม่นะ มีปัญหาอะไรงั้นเหรอ”
“นายมาดูตัวเลขนี่สิ”
เจ้าหน้าที่สองคนคุยกัน ปล่อยให้ป๋ายอวิ๋นยืนรออยู่ที่เดิม
เห็นอีกคนขมวดคิ้วสูง เขาเห็นผลการทดสอบเดิมอยู่ที่มานาระดับ 2 แต่ตอนนี้กระโดดมาถึงระดับ 8 ผลการทดสอบห่างกันไม่กี่เดือนในสถานการณ์ปกติไม่น่าจะเป็นไปได้
ใบหน้าของเจ้าหน้าที่เคร่งเครียดจากนั้นเขาค่อยบอก “ขอโทษทีนะพ่อหนุ่ม ฉันขอเช็คเครื่องวัดระดับสักครู่”
“ไม่มีปัญหาครับ”
การทดสอบเครื่องใช้เวลาอยู่สักพักแต่แสดงออกมาว่าไม่มีปัญหา เขาเรียกคนอื่นมาทดสอบก็แสดงผลได้แม่นยำดีแล้ว
แต่ว่า…ระดับ 8
เขตแซนเดียรานอกกำแพงเคยปรากฏตัวคนที่วัดได้ระดับ 5 อยู่บ้าง ส่วนระดับ 6 นั้นแทบจะเป็นตำนานไปแล้วแถมคนที่ได้ระดับ 6 นั้นมีแววมาแต่แรก แต่ตอนนี้พนักงานทั้งสองกำลังเห็นสถิติในตำนานถูกลบไป
เป็นระดับ 8 จริงๆ ด้วย
เจ้าหน้าที่พอมั่นใจแล้วก็ไม่ชักช้า ใบหน้าพวกเข้าแฝงแววตื่นเต้น คนหนึ่งวิ่งออกไปหาเจ้าหน้าที่จากรัฐบาลที่อยู่ด้านนอกทันที
“ผมออกไปได้หรือยังครับ” รอสักพักป๋ายอวิ๋นไม่เห็นเจ้าหน้าที่เมื่อครู่กลับเข้ามาค่อยสอบถามเจ้าหน้าที่อีกคน
“เอ่อ” เจ้าหน้าที่หนุ่มที่ควบคุมการทดสอบลังเล ไม่นานก็ได้รับสัญญาณติดต่อเข้ามาเขาค่อยบอก “โอเค เธอไปได้แล้ว”
ประตูห้องทดสอบถูกเปิดขึ้น ตรงหน้าไม่ใช่พนักงานอาวุโสที่แต่งนั่งรอคอยยื่นข้อเสนอแต่แรก ทว่าเป็นสาวสวยผิวขาวผ่องผมสีดำในชุดสีเขียวหม่นกำลังยืนกอดอกอยู่ตรงหน้าเขา
ด้านหลังเป็นคนที่เข้ารับการทดสอบก่อนหน้า ไม่มีใครกลับออกไปก่อนสักคน สามวันมานี้เพิ่งมีคนแรกที่รัฐบาลยื่นข้อเสนอ แถมยังเปลี่ยนคนมาเสียด้วย
ป๋ายอวิ๋นเข้าไปนาน วาวารอจนใจร้อนแต่แรกแล้ว ส่วนโจวต้าเอี่ยนยืนอ้าปากตาค้าง เขาเห็นคนเข้าไปมากมายไม่นึกว่าสาวงามในชุดเขียวไม่รั้งไว้สักคน กระทั่งคนออกมาเป็นป๋ายอวิ๋นเธอค่อยขยับตัว
เห็นหญิงสาวคนนั้นส่งยิ้มเย็นอยู่ตรงหน้าจากนั้นค่อยบอกข้อเสนอออกจากปาก
“หนุ่มน้อย ต้องการเข้าร่วมกองทัพหรือเปล่า”
ความเห็น 0