โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

เพ็ญสุภา สุขคตะ : "พระเจ้าอุ้มโอ" แค่บิณฑบาต ปัดเป่า ขอความอุดมสมบูรณ์ หรือทวงคืนแผ่นดิน?

มติชนสุดสัปดาห์

อัพเดต 28 พ.ย. 2562 เวลา 03.45 น. • เผยแพร่ 28 พ.ย. 2562 เวลา 03.45 น.

ภาษาล้านนาเรียก “พระพุทธรูปปางอุ้มบาตร” ว่า “พระเจ้าอุ้มโอ” คำว่า “โอ” หมายถึงภาชนะรูปทรงกลมหรือค่อนข้างกลม ใช้เรียกบาตรพระ ขันน้ำมนต์ ส้มโอก็เรียก บะโอ/มะโอ ฯลฯ

ความเป็นมาของ “พระเจ้าอุ้มโอ” เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อไหร่

การถือบาตรของพระพุทธรูปนั้น มีนัยยะอะไรบ้าง แค่สะท้อนถึงวิถีแห่งสมณะผู้ครองบาตรเท่านั้น หรือยังรวมถึงการขอให้ฝนฟ้าตกปัดเป่าภัยแล้ง

ฤๅแฝงด้วยวาระซ่อนเร้นทางการเมือง?

 

ปางนั่งรับบาตรจากพญาวานร
เก่ากว่าพระพุทธรูปยืนอุ้มบาตร

น่าสนใจทีเดียวที่ “บาตร” 1 ในเครื่องอัฐบริขารของพระสงฆ์ ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์สำคัญของพระพุทธรูปประจำตัวให้กับคนเกิดวันพุธทั้งกลางวันและกลางคืน

ต่างกันแค่ พุธกลางวันยืนหรือกำลังเดินบิณฑบาต แต่พุธกลางคืนนั่ง มีสัตว์สองชนิดคือลิง ช้างจากป่าเลไลยก์ เอาอาหารมาถวายพระพุทธเจ้า เรียกโดยรวมว่า “ปางรับบาตรจากพญาวานร”

ในทางประวัติศาสตร์ศิลปะพบว่า ปางนั่งรับบาตรนี้มีมาก่อนปางยืนถือบาตร เหตุที่ปางรับบาตรจากพญาวานรเป็น 1 ในพระพุทธรูป 8 ปางรุ่นเก่าของอินเดียตั้งแต่สมัยคุปตะ (พุทธศตวรรษที่ 9-12) ท่านั่งมีทั้งนั่งห้อยพระบาทและทั้งนั่งขัดสมาธิเพชร

สังเกตว่าบาตรมีขนาดเล็กมาก ประคองได้ด้วยมือข้างเดียว ไม่ต้องยืนอุ้ม

ปางรับบาตรจากพญาวานรนี้ถือเป็นต้นกำเนิดให้แก่ปางประทานพรในยุคต่อมา เพราะเมื่อรับอาหารเสร็จก็ต้องให้พรและแผ่เมตตาแก่สัตว์โลก

น่าแปลกทีเดียวที่ในประเทศอินเดียไม่พบพระพุทธรูปยืนปางอุ้มบาตรแต่อย่างใด

 

พระเจ้าอุ้มโอองค์เก่าสุดพบในล้านนา?

ในประเทศไทยไม่พบพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรในศิลปะยุคทวารวดี ศรีวิชัย ลพบุรี ช่วงพุทธศตวรรษที่ 11-18 พบเพียงประติมากรรมดินเผาแสดงลำตัวพระสงฆ์ 3 รูปถือบาตร มีอายุอยู่ในช่วงรอยต่อจากยุคสุวรรณภูมิสู่ยุคต้นทวารวดี (จัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง)

ส่วนพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรที่นักประวัติศาสตร์ศิลปะยอมรับว่าเก่าสุดในสยาม ก็คือองค์ที่หล่อด้วยสำริดประดิษฐานในวิหารหลวงวัดเชียงหมั้น จังหวัดเชียงใหม่ มีจารึกที่ฐานเป็นอักษรฝักขาม ดร.ฮันส์ เพนธ์ ถอดความได้ว่าสร้างโดยพระเจ้าติโลกราช ปี พ.ศ.2008

อันที่จริงมีวัดร้างแห่งหนึ่งสร้างในสมัยล้านนาตอนต้น มีอายุเก่าแก่กว่าสมัยพระเจ้าติโลกราช

น่าเสียดายที่วัดนี้ตั้งอยู่ในชุมชนด้านหลังโรงพยาบาลเชียงใหม่รามถูกบ้านเรือนโอบล้อม จนหามุมถ่ายรูปลำบาก ชื่อวัดอุ้มโอ เป็นการเรียกตามลักษณะพระพุทธรูปในซุ้มจระนำที่ยืนถือบาตร 4 ทิศ

แต่เนื่องจากพระพักตร์หักหายไปหมดแล้วจึงยากที่จะกำหนดอายุได้ว่าพระเจ้าอุ้มโอในซุ้มเหล่านี้มีมาแต่เดิมพร้อมการสร้างเจดีย์ (คือสมัยล้านนาตอนต้นช่วงพุทธศตวรรษที่ 19) หรือทำขึ้นภายหลังในยุคพระเจ้าติโลกราช

หากสืบค้นได้ว่า พระเจ้าอุ้มโอในซุ้มจระนำนี้มีมาแต่ดั้งเดิม ทฤษฎีที่ว่าพระเจ้าอุ้มโอองค์เก่าสุดคือที่วัดเชียงหมั้นก็จะถูกเปลี่ยนแก้ไขใหม่

และยิ่งน่าสนใจไปกว่านั้นคือจะเก่าไปถึงยุคพระญามังราย ปฐมกษัตริย์ล้านนาหรือไม่

อย่างไรก็ดี ในเมื่อสามารถสืบสาวราวเรื่อง ถึงจุดเริ่มต้นในการทำพระเจ้าอุ้มโอได้ว่าเก่าสุดแค่สมัยพระเจ้าติโลกราชเท่านั้น อีกทั้งยังพบว่านับแต่รัชสมัยของพระองค์เป็นต้นมาในดินแดนล้านนาได้เกิดความนิยมการทำประติมากรรมรูปพระเจ้าอุ้มโออย่างแพร่หลาย

ทำให้ครั้งหนึ่งเมื่อ 4-5 ปีก่อนในวงเสวนาประวัติศาสตร์ นักวิชาการหลายคนได้ตั้งคำถามกันว่า “การพบพระเจ้าอุ้มโอจำนวนมากในสมัยพระเจ้าติโลกราชนั้น มีนัยยะทางการเมืองอะไรซ่อนอยู่หรือไม่

อาทิ เป็นปฏิกิริยาตอบโต้ต่อการที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ แห่งกรุงศรีอยุธยาได้ผนวชเป็นพระภิกษุ แล้วเดินธุดงค์ขึ้นมาขอบิณฑบาตเมืองเชลียง สองแคว ที่ล้านนายึดไปจากอยุธยากลับคืน?”

นัยยะทางการเมืองเช่นนี้ไม่ควรมองข้าม คงต้องช่วยกันสืบค้นวิเคราะห์กันต่อไป เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า พระพุทธปฏิมาหลายองค์มักสร้างขึ้นด้วยวาระซ่อนเร้นทางการเมือง

 

รับอิทธิพลลังกาวงศ์ คณะมหาวิหาร

เท่าที่ตรวจสอบพระพุทธปฏิมาทั่วประเทศไทย ยังไม่พบว่าจะมีพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรองค์ใดที่มีอายุเก่าไปกว่าที่วัดเชียงหมั้นอีกแล้ว ไม่ว่าองค์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ “หลวงพ่อวัดบ้านแหลม” วัดเพชรสมุทร จังหวัดสมุทรสงคราม ก็ยังมีอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 23 ตอนปลาย

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.พิริยะ ไกรฤกษ์ อธิบายไว้ในหนังสือ “พระพุทธปฏิมา” ในหนังสือชุด “ลักษณะไทยเล่ม 1” ว่า การทำพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรในล้านนาและอยุธยา ต่างได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ ฝ่ายคณะมหาวิหาร

ถือเป็นกุญแจสำคัญที่เราควรศึกษาแนวคิดการทำพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรในศิลปะลังกาของคณะสงฆ์ฝ่ายมหาวิหารอย่างเจาะลึกต่อไป ในเมื่อไม่พบปางนี้ในอินเดีย

พระพุทธรูปปางอุ้มบาตรได้รับความนิยมอย่างสูงในสมัยอยุธยาตอนปลายและรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยเฉพาะเหตุการณ์สำคัญคือพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ได้โปรดให้สร้างพระพุทธรูปปางต่างๆ ในลักษณะเป็นองค์แทนพระชนมวารประจำรัชกาล อุทิศพระราชกุศลถวายแด่อดีตบูรพกษัตริย์ทุกพระองค์ ทรงกำหนดให้พระพุทธรูปปางอุ้มบาตร เป็นพระชนมวารประจำรัชกาลสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 9 (พระเจ้าท้ายสระ)

ซึ่งก็ไม่มีใครทราบถึงเหตุผลที่รัชกาลที่ 3 ทรงตัดสินพระทัยในการเลือกทำปางใดปางหนึ่ง ให้กับพระมหากษัตริย์องค์ต่างๆ ว่าทรงใช้หลักคิดเช่นไร และทำไมพระเจ้าท้ายสระจึงเป็นปางอุ้มบาตร?

จากนั้นสมัยรัชกาลที่ 4 ได้พบการทำพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรอย่างกว้างขวาง กระทั่งกลายมาเป็นพระประจำวันของคนเกิดวันพุธกลางวัน แนวคิดนี้ก็เกิดขึ้นในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้น

วิถีของผู้ครองบาตร

การบิณฑบาตถือเป็นพุทธกิจแรกสุด ในบรรดา 5 พุทธกิจประจำวันของพระพุทธองค์ เป็นวัตรปฏิบัติสำคัญตลอดพระชนม์ชีพ

วิถีแห่งผู้ครองบาตรเป็นหนทางในการลดทิฐิมานะและความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน สะท้อนความแน่วแน่ของผู้ละทิ้งบ้านเรือนทรัพย์ศฤงคารก้าวเข้าสู่วิถีธรรม สมัครใจดำรงชีพด้วยการภิกขาจาร ขอรับอาหารตามแต่จะมีผู้ศรัทธาสละให้

ดังนั้น การทำพระพุทธรูปปางอุ้มบาตร นัยยะแรกสุด หากตีความตรงตัว น่าจะหมายถึงปางที่สะท้อนถึง “วิถีของนักบวช” ผู้สละละซึ่งทางโลกย์ ดำรงชีพอย่างสมถะ ยังอายุให้ยืนยาวด้วยบาตรเพียงใบเดียว

 

ประเพณีชักพระ ตักบาตรเทโว

นัยยะประการถัดมา ได้พบการใช้จุดเด่นของ “บาตร” เป็นสัญลักษณ์ประกอบการตักบาตรเทโวโรหณะช่วงออกพรรษา ไม่จำเพาะในวัฒนธรรมล้านนาเท่านั้นแต่พบได้ทั่วทุกภูมิภาคในประเทศไทย

โดยเฉพาะที่ภาคใต้จังหวัดสงขลา เช่น วัดโคกเหรียง มีประเพณีชักพระ หรือประเพณีลากพระอันเป็นที่รู้จัก ด้วยการนำพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรยืนวางหน้ารถลากนำขบวนสาธุชนที่จะไปร่วมตักบาตรเทโว จึงเรียกพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรในเทศกาลนี้ว่า “พระลาก”

การนำพระเจ้าอุ้มโอหรือพระลากมาใช้ในช่วงตักบาตรเทโวนี้ มีความหมายว่า หลังช่วงเทศกาลออกพรรษาแล้ว สาธุชนเกิดความปีติใจที่ได้ทำบุญใหญ่ ใส่บาตรกับพระพุทธเจ้าที่เพิ่งเสด็จกลับจากการโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ณ เมืองสังกัสสะ

บาตรน้ำมนต์ ปัดเป่ามลทิน

ในวัฒนธรรมล้านนา ยุคปัจจุบันพบว่า นิยมนำพระเจ้าอุ้มโออัญเชิญออกมาในที่สาธารณะ 2 กรณี คือช่วงที่บ้านเมืองเกิดเหตุอาเพศ และช่วงฝนแล้ง

ประการแรก เมื่อบ้านเมืองเกิดเหตุไม่ดี เช่นวาตภัย อุทกภัย อัคคีภัย ทุพพิกขภัย วินาศภัย โจรภัย ฯลฯ สิ่งศักดิ์สิทธิ์แรกสุดที่คนในชุมชนนึกถึงก็คือ “พระเจ้าอุ้มโอ”

โดยพระสงฆ์จะเดินไปรอบๆ ปะรำพิธีของวัด ท่องคาถาปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายกาลีบ้านกาลีเมืองให้ปลาตหายสูญ ด้วยการอาราธนาพระเจ้าอุ้มโอออกมาแห่ ในบาตรนั้นไม่ใช่บาตรเปล่า แต่ใส่น้ำมนต์ที่ปลุกเสกเพื่อประพรมให้แก่ฆราวาสผู้ประสบเคราะห์กรรม

ฉะนั้น นัยยะนี้ พระเจ้าอุ้มโอกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการปัดเป่ามลทินเสนียดจัญไร

ประการที่สอง ในบางพื้นที่ช่วงฝนแล้งนาล่ม ชุมชนพร้อมใจกันนำพระเจ้าอุ้มโอออกแห่ คล้ายกับการแห่พระเจ้าฝนแสนห่า โดยใช้สัญลักษณ์ “บาตร” เป็นสัญลักษณ์เสมือนเครื่องรองรับน้ำฝนให้หล่นโปรยสู่ภาชนะ

 

บาตรใบเดียวกัน แต่ผันแปรหน้าที่

เห็นได้ว่า พระเจ้าอุ้มโอ แม้ว่าในยุคแรกสร้าง อาจมุ่งเน้นเรื่องการแผ่เมตตา การประทานพรให้แก่ผู้ใส่บาตร โดยเริ่มจากแนวคิดเรื่องการรับบาตรจากพญาวานรในป่าเลไลยก์ สัตว์กับมนุษย์ต่างพึ่งพาเกื้อกูลกัน

ต่อมาเมื่อทำพระพุทธรูปอุ้มบาตรแบบยืน สัญลักษณ์จึงเปลี่ยนจากแค่ปางประทานพร ไปเป็นเครื่องประกาศความสมถะของผู้ภิกขาจาร บาตรตอนยืนใบใหญ่ขึ้นกว่าเดิมตอนนั่ง

แต่ในยุคสมัยของเราตั้งแต่ 200 ปีที่ผ่านมา พระเจ้าอุ้มโอหรือพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรได้ถูกนำมาใช้สอยใหม่ในความหมายที่เป็นสิริมงคล หรือใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวมมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าเรื่องการตักบาตรเทโว การวิงวอนขอให้ช่วยปัดเป่าบรรเทาทุกข์ การขอฝน ขอความอุดมสมบูรณ์แห่งผลาหาร

กล่าวให้ง่ายก็คือ หน้าที่ใช้สอยของพระเจ้าอุ้มโอหรือพระพุทธรูปปางอุ้มบาตร มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง จนมีนัยยะแฝงเร้นที่ตัว “บาตร” มากกว่าตัว “ผู้ถือบาตร”

บาตรในมือที่อุ้มนั้น นับวันเข้าก็ยิ่งมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ใหญ่มากกว่าเดิมยุคล้านนาเมื่อ 500 ปีก่อน เพราะหน้าที่ของ “บาตร” ถูกนำมาใช้งานสารพัดสารเพ กลายเป็นความสำคัญหลักมากกว่าหน้าที่ของ “ผู้ถือบาตร”

ซึ่งเนื้อแท้แล้วบาตรใบเดียวกันนี้ ในอดีตเคยทำหน้าที่แค่ “เดินรับก้อนข้าวจากชาวบ้านในยามเช้าเพื่อประคองตน” มาก่อนเท่านั้นเอง

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...